ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1274 : เสถียรภาพของสถานการณ์

ราชันเร้นลับ 1274 : เสถียรภาพของสถานการณ์

บนผิวกระจกเงา ข้อความสีเงินจางพรั่งพรูออกมาท่ามกลางคลื่นกระเพื่อม

“…เทพธิดายอมรับการสวามิภักดิ์จากผู้วิเศษของโบสถ์เทพสงครามและกองทัพฟุซัคบางส่วน และเลือกกวาดล้างเฉพาะนักบวชเคร่งศาสนาที่ติดสู้จนวาระสุดท้ายของชีวิต รวมถึงผู้วิเศษลำดับกลางและสูงอีกจำนวนหนึ่ง นี่มิใช่เพียงพระเมตตาและความเห็นใจจากเทพธิดา แต่ยังเป็นการวางแผนเผื่ออนาคต… เมื่อวันสิ้นโลกค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา เหตุการณ์เหนือธรรมชาติย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง เพื่อให้โลกยังคงสงบสุข ทางศาสนจักรก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งให้มากที่สุด… ถ้าเราสังหารผู้วิเศษของโบสถ์เทพสงครามและกองทัพฟุซัคไปจนหมด และนำตะกอนพลังมาแจกจ่ายให้ฝ่ายโลเอ็นเพื่อบ่มเพาะ นั่นคงมิอาจสร้างผู้วิเศษที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ระดับเดียวกันได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ไม่ว่าจะเป็นการย่อยโอสถหรือสั่งสมความรู้ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลา…”

เมื่ออ่านจบ ไคลน์พึมพำในใจทันที มันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ลีลาการเขียนตามปรกติของอาโรเดส แต่คล้ายกับเอกสารของทางการมากกว่า

หมอนี่นำเอกสารที่ตัวเอง ‘แอบส่อง’ มาแสดงให้เรา… มีการใช้คำว่า ‘ย่อยโอสถ’ หมายความว่าทั้งผู้เขียนและผู้อ่านต้องเข้าถึงเทคนิคการสวมบทบาทอย่างกระจ่าง และพิจารณาจากสำนวน ดูแล้วน่าจะเป็นเอกสารของโบสถ์รัตติกาล… ทั้งสองข้อสังเกตุช่วยบอกกับเราว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะถูกเผยแพร่ภายในหมู่อาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่… ผู้เขียนคงเป็นสันตะปาปาจากมหาวิหารสุขสงบ… พลังในการส่องความลับของอาโรเดสน่าทึ่งมาก… ไคลน์ผงกศีรษะเล็กน้อยและรอให้กระจกวิเศษ ‘พลิกหน้า’ เอกสาร

อักษรสีเงินเลือนหายไปและปรากฏขึ้นใหม่ เพียงไม่นานก็เรียงตัวกันเป็นประโยคและย่อหน้า

“สำหรับขุนนางทั่วไปและประชาชนชาวฟุซัค ไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้พวกเขาทราบว่าเทพธิดาได้เข้ามาแทนที่เทพสงครามแล้ว เพราะการปล่อยให้พวกเขายังศรัทธาเทพสงครามต่อไปจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรามากกว่า ในแง่หนึ่ง บรรดาบิชอปและนักบวชที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเราจะได้ทำงานง่ายขึ้น รักษาเสถียรภาพภายในฟุซัคได้เร็วขึ้น ในอีกแง่หนึ่ง สิ่งนี้ทำไปเพื่อป้องกันมิให้เทพธิดาถูกรบกวนจากความเชื่อแปลกปลอมก่อนที่พระองค์จะครอบงำอำนาจของเทพสงครามได้อย่างสมบูรณ์… เมื่อมีวิวรณ์ใหม่ถูกส่งมาถึง ผมจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติม ตอนนี้ให้ดำเนินการตามข้อมูลปัจจุบันไปก่อน”

“…พยายามอย่าไปกระตุ้นกลุ่มต่อต้านหัวรุนแรงจากฟุซัคและอาณาจักรอื่น ฝ่ายเราสูญเสียผู้วิเศษและทหารมากเกินไป แถมยังใช้ทรัพยากรและวัสดุไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นศาสนจักร อาณาจักร หรือผู้คนในทุกชนชั้น ทางเรากำลังอ่อนแออย่างมาก จำเป็นต้องพึ่งพาช่วงเวลาที่สงบสุขในการฟื้นฟูอย่างมั่นคง… พวกเราต้องร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตัน โบสถ์ปัญญาความรู้ โบสถ์พระแม่ธรณี และอาณาจักรอย่างเฟเนพ็อตกับลุนเบิร์กเพื่อกดดันให้อินทิสและฟุซัคยอมจำนนอย่างไร้เงื่อนไข จนกระทั่งนำไปสู่การเปิดโต๊ะเจรจา ระหว่างนั้นก็จัดการเชือดบรรดาสาวกเดนตายที่ยังคงดื้อรั้นเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างและเพิ่มแรงกดดัน”

“หากต้องรับมือกับสถานการณ์ภายในอาณาจักรแทนที่ว่างของโบสถ์จักรกลไอน้ำ เทพธิดาแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าจะให้ความเคารพต่อเทพวายุสลาตัน หากจำเป็น ทางเราสามารถผ่อนปรนบางเรื่องให้พวกเขาได้… ท้ายที่สุด นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราจะลดจำนวนการเอ่ยถึงพระจันทร์สีแดงภายในภารกิจ บทสวด พิธีกรรมสังเวย และมิสซาลง โดยพระนาม ‘สตรีสีชาด’ จะไม่ถูกเอ่ยถึงอีกต่อไป…”

จะไม่มีการเอ่ยถึงสตรีสีชาดอีกต่อไป… คิ้วไคลน์กระตุกเล็กน้อย มันฉงนอย่างมากกับประโยคสุดท้าย

แต่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มหวนนึกถึงต้นตระกูลผีดูดเลือด ลิลิธ เทพบรรพกาลจากยุคสมัยที่สอง พระแม่ธรณีคนปัจจุบัน ลำดับ 0 ของเส้นทางจันทรา และ ‘สตรีสีชาด’ ตัวจริง โดยนั่นทำให้ไคลน์กระจ่างทันทีว่าเทพธิดาใช้สิ่งใดแลกเปลี่ยน ‘ใต้โต๊ะ’ กับอีกฝ่าย เป็นราคาที่พระองค์ต้องยอมจ่ายอย่างมิอาจเลี่ยง

อา… ท่าทีของเทพธิดานั้นชัดเจนมาก นั่นคือการทำให้สถานการณ์เข้าสู่เสถียรภาพโดยเร็ว… ก่อนที่พระองค์จะครอบครองอำนาจเส้นทางมรณากับเทพสงครามได้อย่างสมบูรณ์และกลายเป็น ‘วันวาน’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระองค์ไม่ประสงค์ให้มีเทพจารีตตนใดร่วงหล่นเพิ่มเติม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น จะไม่มีใครคอยใช้พลังอุดรอยร้าวของบาเรียล่องหนที่ ‘มหาต้นกำเนิด’ เหลือทิ้งไว้ นั่นจะทำให้เทพภายนอกสบโอกาสเร่งให้วันสิ้นโลกเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม… ไม่เพียงเท่านั้น พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันของโลเอ็น ยิ่งสงครามดำเนินต่อไป หลักยึดเหนี่ยวของพระองค์จะยิ่งสั่นคลอน บางทีอาจทำให้ ‘มหาต้นกำเนิด’ ตื่นขึ้นในตัวเทพธิดา…

ในระหว่างสงคราม เทพธิดายอมเสี่ยงครั้งใหญ่โดยการสั่งให้แนวหน้าทั้งหมดถอยกลับมาที่เบ็คลันด์… และเนื่องจากหลักยึดเหนี่ยวกำลังสั่นคลอน พระองค์คงต้องแบ่งพลังบางส่วนมาจัดการกับจิตของมหาต้นกำเนิดภายในตัว หากพระแม่ธรณีคิดทรยศ เทพธิดาคงร่วงหล่นไปก่อนเทพสงครามแน่นอน… หืม… หรือว่าพระองค์ยังมีไพ่ตายอื่นซ่อนไว้อีก?

ทั้งโบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตันต่างก็สูญเสียไม่น้อย เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่กลุ่มต่อต้านในบายัมประกาศว่าจะช่วยดูแลรักษาวิหารโดยยังคงศรัทธาและไม่ก้าวก่ายศาสนาวายุสลาตัน พวกบ้ากล้ามขี้หงุดหงิดถึงไม่พยายามตอบโต้ และยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องในการก่อตั้งรัฐบาลใหม่แต่โดยดี… ไคลน์พึมพำเงียบ มันเริ่มเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมมากขึ้น

ชายหนุ่มถามคำถามที่สาม

“หากเทพธิดารัตติกาลต้องการเลื่อนลำดับ พระองค์จำเป็นต้องค้นหา ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’ หรือไม่?”

นี่คือหนึ่งในเก้าแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ไคลน์ยังจำได้แม่นยำ อาโรเดสเคยกล่าวว่า ‘แม่น้ำ’ มีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับเทพมรณาบรรพกาล ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี และดูเหมือนว่าเบาะแสดังกล่าวจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมืองกัลเดรอนแห่งโลกวิญญาณ

“นายท่านเข้าใจถูกแล้ว” ตัวหนังสือสีเงินบิดเบี้ยวและดีดดิ้นเป็นคำใหม่ “ในช่วงสิ้นสุดยุคสมัยที่สี่ เทพมรณาที่น่าจะครอบครอง ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’ อยู่กับตัว พยายามอาศัยแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดชนิดนี้ฝืนปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางที่ไม่ใกล้เคียงจนเกิดเสียสติ”

นี่คือเหตุผลที่เทพมรณาเสียสติ? นั่นสินะ เทพลำดับ 0 ผู้ดำรงตนมานานถึงสามยุคสมัยและเคยเห็นศิลาเย้ยเทพ ย่อมไม่ดื่มโอสถส่งเดชจนกลายเป็นบ้าแน่ พระองค์แตกต่างจากอลิสต้า·ทูดอร์ที่เลือกได้แค่ความตายหรือกลายเป็นบ้า… เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพมรณาที่มีเพียงแม่มดบรรพกาลเป็นพวกพ้อง ถึงกล้าท้าทายเจ็ดเทพจารีตซึ่งภายในกำลังเกิดรอยร้าว… ในตอนนั้น พระองค์เป็น ‘วันวาน’ ไปแล้วครึ่งตัว… จริงสิ มิสเตอร์อะซิกมีเครื่องประดับสีทองรูปทรงนกฟีนิกซ์ที่เป็นของมรณา… ไคลน์ปะติดปะต่อเรื่องราว

ทันใดนั้น ชายหนุ่มซี้ดปากภายในใจ เพราะเริ่มสงสัยว่า การที่เทพธิดาทำดีกับตนมากมาย อีกฝ่ายอาจกำลังหวังสิ่งตอบแทนเป็น ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’

เฉกเช่นที่พระผู้สร้างแท้จริงยอมทนต่อวีรกรรมสุดแสบของไคลน์หนแล้วหนเล่า นั่นก็เพื่อหาโอกาสบังคับให้ไคลน์เข้าไปเปิดประตูตำหนักของราชาคนยักษ์และช่วงชิงศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง!

ในฐานะเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์อาจเป็นลำดับสูงคนเดียวที่สามารถต่อต้านการกัดกร่อนจากแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดชนิดอื่น

จริงอยู่ เทพธิดารัตติกาลสามารถอดทนรอสักสิบปีเพื่อให้เจตจำนงของมหาต้นกำเนิดจางลง จากนั้นค่อยช่วงชิงแม่น้ำอันธการนิรันดร์ด้วยตัวเอง แต่หากใช้วิธีดังกล่าว ไคลน์ไม่มั่นใจว่าพระองค์จะประกอบพิธีกรรมเสร็จก่อนวันสิ้นโลกมาถึงหรือไม่

มันรีบสลัดความคิดและยิงคำถามที่สี่

“เราจะหาสูตรโอสถของบริวารเร้นลับได้จากที่ใด”

กระจกวิเศษอาโรเดสเรียงแสงสีเงินเป็นเนื้อหาใหม่

“ซาราธ, ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง, ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง, ไพ่เย้ยเทพเดอะฟูล, เอกลักษณ์ของเดอะฟูลที่กลายเป็นสัตว์ในตำนาน”

ตัวเลือกแรกและตัวเลือกที่สองกำลังวางแผนฆ่าเรา… ซาราธน่ากลัวและเจ้าเล่ห์กว่าหมาป่าอสูรทมิฬมาก หากวางแผนจัดการกับอีกฝ่าย มีโอกาสสูงมากที่เราจะตกหลุมพรางเสียเอง… อันตรายจริงมาก… ตัวเลือกที่สามอยู่ในมือของพี่ชายอามุนด์ เขาคงอาศัยสงครามที่ผ่านมาผลักดันให้ตัวเองกลายเป็น ‘นักสร้างฝัน’ เรียบร้อยแล้ว หากเราไปยั่วยุเข้า แม้แต่ปราสาทต้นกำเนิดก็คงช่วยไม่ได้… ตัวเลือกที่สี่และห้าล้วนเกี่ยวข้องกับฮาล์ฟฟูลแห่งตระกูลอันทีโกนัส เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านสายหมอกของเทพธิดา… อา เทพธิดาน่าจะมีหนทางในการอ้อมผ่านฮาล์ฟฟูลและนำไพ่เย้ยเทพออกมา แต่เราอาจต้องแลกเปลี่ยนด้วยแม่น้ำอันธการนิรันดร์… ไคลน์พบว่าตนกำลังเข้าสู่ทางตัน

เส้นทางข้างหน้าคือแม่น้ำอันธการนิรันดร์ โดยที่ด้านหลังมีซาราธ ผู้นำแห่งลัทธิเร้นลับ

น่าเสียดาย ถ้าเราหาหมาป่าอสูรพบอีกครั้ง ว่าจะลองเจรจาดูสักหน่อย ทางนั้นน่าจะเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งและเข้าถึงสูตรโอสถของบริวารเร้นลับ… เฮ้อ แต่ถ้าไปตามหาตอนนี้ อีกฝ่ายคงหนีไปไกลทันทีที่ดมกลิ่นพบเรา… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดกับอาโรเดส

“คำถามที่ห้า เจ้าหมายความว่าอย่างไรในตอนที่บอกว่า เจ้ามองเห็นเสาหลักและการค้ำจุนในตัวเรา”

คลื่นน้ำบนผิวกระจกกระเพื่อมเล็กน้อย ความมืดลุ่มลึกลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวอักษรสีเงินกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเป็นความรู้สึกที่ข้ามิอาจอธิบายได้ด้วยคำพูด… อย่างไรก็ดี ข้าเคยสัมผัสถึงความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันได้จากอีกหนึ่งตัวตน หากไม่นับพระองค์ มีเพียงท่านที่มอบความรู้สึกดังกล่าว… พระองค์ที่ข้าหมายถึงคือเทพสุริยันบรรพกาล”

เทพสุริยันบรรพกาล… ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด

“พอแล้ว ถึงตาเจ้าถาม”

บนผิวกระจก ข้อความสีเงินพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านช่วยพาอาโรเดส ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนติดสอยห้อยตามไปด้วยได้หรือไม่?”

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านช่วยพาอาโรเดส ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนติดสอยห้อยตามไปด้วยได้หรือไม่?”

คำถามแบบเดียวกับปรากฏขึ้นห้าบรรทัดรวดจนเต็มผิวกระจก

ไคลน์ที่กลายเป็นเทวทูตย่อมไม่เกรงกลัวภัยอันตรายที่อาโรเดสอาจนำมา หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันยิ้มและกล่าว

“เราขอไปคุยกับเทวทูตตนนั้นก่อน นั่นเป็นมารยาท”

ลำแสงมายาหลากสีสันพุ่งออกจากกระจกประหนึ่งพลุแสง จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นดอกไม้ไฟภายในรถม้า

แทบจะในเวลาเดียวกัน ลำแสงสีเข้มสองดวงสว่างขึ้นตรงมุมกระจก สองแขนมายายื่นยาวออกมา

เดิมที ‘แขน’ ทั้งสองต้องการจะเอื้อมมาจับน่องไคลน์ แต่ในท้ายที่สุด พวกมันถูกชักกลับอย่างเงียบงันและโยกเอนเล็กน้อย

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่จงเจริญ!” หลังจากดอกไม้ไฟทยอยเลือนหาย ข้อความสีทองก็สว่างขึ้นบนกระจก

ภายในห้องเรียบง่ายกึ่งกลางขบวนรถไฟ

ชายรูปงามตัวสูง ผมยาวสีเกาลัดกำลังนั่งบนเก้าอี้ไม้เนื้อแข็ง หันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์สามเหลี่ยม ประสานมือหลับตาพลางสวดวิงวอนด้วยมาดเคร่งศาสนา

บนโต๊ะแคบๆ ด้านข้างมีตุ๊กตาที่สร้างจากชิ้นส่วนโลหะ ด้านหลังตุ๊กตาส่องแสงระยิบระยับ

ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและหันไปยังทิศทางหนึ่ง

ใครบางคนกำลังยืนอยู่ได้สักพักแล้ว

บนกระจกตาสีฟ้าของชายหนุ่ม ร่างดังกล่าวอาจดูคล้ายมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงคือวังวนล่องหนที่กำลังสวมหมวกผ้าไหมทรงสูงและเสื้อกันลมยาวสีดำ ภายในวังวนเต็มไปด้วยหนอนโปร่งใสที่กำลังจับกลุ่มดีดดิ้น

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” อีกฝ่ายเอ่ยชื่ออย่างใจเย็น

วัตถุทั้งหมดรอบตัวลอยขึ้นทันที ทั้งที่ภายในห้องไม่มีลม

ไคลน์กดหมวกทรงสูง เผยให้เห็นใบหน้ามนุษย์พลางกล่าว

“ต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”

ชายหนุ่มตาสีฟ้าพยักหน้าเล็กน้อย

“โบโนว่า·กุสตาฟ”

……………………………………………….

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท