ไม่กี่วันถัดมา ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ฟางผิงขัดเกลากระดูกและฟื้นฟูปราณและเลือดเองจนถึงวันที่ 1 เมษายน
อย่างไรก็ตาม ในห้าวันนี้ฟางผิงขัดเกลากระดูกอกได้ชิ้นเดียวเท่านั้น
ถ้าเขาฝึกด้วยความเร็วอัตรานี้ เขาจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 8 เดือนเพื่อบรรลุขั้นสามชั้นสูง
อันที่จริงมันเร็วจนน่าตกใจ แปดเดือนข้างหน้าก็พึ่งสิ้นปีเท่านั้น
แต่ฟางผิงไม่พอใจ อัจฉริยะทุกคนที่เขารู้จักล้วนเติบโตกันเร็วมาก
ไม่ต้องพูดถึงเหล่าหวัง ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงบรรลุขั้นสามสูงสุดแล้ว ตอนเดือนมกราคมปี 2008 เขาพึ่งบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุด เขาบรรลุขั้นสามตอนเดือนกรกฎาคม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ เขาใช้เวลาเพียงแปดเดือนเท่านั้นจากขั้นสามจนถึงขั้นสามสูงสุด
นี่รวมถึงระยะเวลาที่เขาฝึกฝนหลังบรรลุขั้นสามสูงสุดด้วย
เซี่ยเหล่ยบรรลุขั้นสามตอนเดือนตุลาคมปี 2008 และตอนนี้เขาเป็นขั้นสามชั้นสูง มันเป็นเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น
อัจฉริยะเหล่านี้เติบโตเร็วมาก
ฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง ดังนั้นความเร็วเขาย่อมไม่ควรเชื่องช้าเช่นนี้ เขาดูก้าวหน้าช้ายิ่งกว่าเซี่ยเหล่ยเสียอีก สหายผู้นี้บางทีอาจเจอโชคลาภอะไรเข้าให้
นักศึกษาขั้นห้าพวกนั้นฝึกกันมายังไง?
ฟางผิงสงสัยมาก พวกเขาบรรลุขั้นห้าได้อย่างไรกัน?
หวังจินหยางเกือบปีสามแล้ว เขาจะบรรลุขั้นห้าก่อนจบการศึกษาได้ไหม?
บางทีเขาอาจทำได้ อย่างไรก็ตามฟางผิงทำใจเชื่อยากว่าหวังจินหยางจะบรรลุขั้นหกก่อนจบการศึกษา
ทุกคนมีโอกาสเป็นของตัวเอง!
ฟางผิงถอนหายใจ เขามีระบบ แต่คนอื่นๆมีครอบครัวที่มั่งคั่งคอยสนับสนุน มีโอกาสอื่นๆอีก ต่อให้เขาต้องการ แต่จะตามให้ทันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
…
วันพุธ 1 เมษายน
เมื่อฟางผิงเข้ามาห้องเรียน ฟู่ชางติ่งก็เข้ามาหาทันที อันดับจัดใหม่แล้ว นายได้แค่อันดับที่ 18 พวกเขากำลังดูถูกนายนะ!
ฟางผิงหันไปมอง แต่นอกจากคำว่า ‘อือ’ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
นายไม่โกรธเลยรึไง?
ฟางผิงไม่มีอารมณ์เล่นกับอีกฝ่าย เพื่อนเขาจะโกรธไหมนะถ้าไม่เห็นชื่อเขาในอันดับรายชื่อเดือนหน้า?
เขาบอกเฉินหยุนซีเรื่องบรรลุขั้นสามแล้ว แต่เฉินหยุนซีเป็นคนเงียบๆที่ไม่ปากโป้งความลับใคร ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาบรรลุขั้นสามแล้ว
อาจารย์ส่วนใหญ่ในโม๋อู่รู้ แต่พวกอาจารย์ก็ไม่ใช่คนช่างพูด เพราะงั้นพวกฟู่ชางติ่งจึงคิดว่าฟางผิงยังเป็นขั้นสองอยู่
ฟางผิง จาก 20 อันดับแรก มี 6 คนเรียนอยู่โม๋อู่ นอกจากนายก็ยังมีอีกห้าคน
มี 3 คนอยู่ 10 อันดับแรก นายอยากไปท้าประลองเปลี่ยนอันดับไหม?
คลาสฝึกพิเศษจัดใหม่ พวกเขาก็เข้าร่วมเหมือนกัน…
อือ ฟางผิงไม่ตอบสนอง
ฉันว่าถ้าเราอยู่คลาสเดียวกัน การประลองคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่างตอนเลือกหัวหน้าคลาส ได้คะแนนฟรี นายจะยอมนั่งดูพวกเขาแย่งนายไปเหรอ?
อืม
ฟางผิง แปลว่านายเตรียมท้าพวกเขาประลองแล้วใช่ไหม? ฟู่ชางติ่งกล่าวอย่างตื่นเต้น งั้นฉันจะพาเพื่อนๆไปเชียร์นายด้วย…
ฟางผิงเหลือบมองฟู่ชางติ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม ทำไมนายถึงตื่นเต้นขนาดนั้น?
เจ้าหมอนี่ตั้งเป้าหมายให้เขาทันทีตั้งแต่วันแรก ผิดปกติ
เอ่อ…
ขณะที่ฟู่ชางติ่งกำลังหาคำแก้ตัว ถังซ่งถิงที่อยู่ข้างๆก็พูดเบาๆ เขาท้าประลองกับคนชมรมวิถียุทธเมื่อสองวันก่อนแล้วถูกอันดับ 8 เฉินเผิงเฟยอัดมา
ฟางผิงกล่าวอย่างแปลกใจ ไปท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธสิบอันดับแรกในรายชื่ออันดับขั้นสอง นายใจกล้าดีหนิ
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองต้องขัดเกลากระดูกทั้งหมด 126 ชิ้น
ผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกขาตอนขั้นหนึ่งจะต้องขัดเกลากระดูก 93 ชิ้นในชั้นสองถึงจะถือเป็นขั้นสองชั้นกลาง ส่วนผู้ที่ขัดเกลากระดูกแขนตอนขั้นหนึ่งจะต้องขัดเกลากระดูก 95 ชิ้นในขั้นสองถึงจะถือเป็นขั้นสองชั้นกลาง
ฟู่ชางติ่งขัดเกลากระดูก 71 ชิ้นตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ นับแต่นั้นมาผ่านไปไม่ถึง 50 วัน เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขัดเกลาไป 88 ชิ้นแล้ว เฉลี่ย 3 วันต่อชิ้น
แต่เขายังไม่ถึงชั้นกลาง…และตอนนี้เขากำลังรนหาที่ตาย ไปท้าประลองผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ากู้เสียงเสียอีก
ฟู่ชางติ่งพูดเจื่อนๆ ไม่มีอะไรแบบนั้น เชาเชาชอบใส่ร้ายฉัน
ถังซ่งถิงแค่นเสียง เขาเกลียดชื่อเล่นที่เจ้าบัดซบฟู่ชางติ่งตั้งให้!
เขาอยากได้หน้า แต่แพ้ยับแทน ไม่กี่วันก่อน รองประธานชมรมวิถียุทธฉินเฟิ่งชิงได้ประลองกับประธานชมรม ฉินเฟิ่งชิงอ้างตัวเองว่าเขาไร้พ่ายในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นสาม เขาจะทุบตีจางอวี่อย่างหนักจนต้องเรียกเขาว่าพ่อ
ผลลัพธ์…รองประธานฉินถูกหามออกจากชมรม
ฟู่ชางติ่งก็อยู่นั่นเหมือนกัน เขาตัดสินใจเดินตามรอยเท้าที่น่าอับอายของรองประธานฉิน บอกว่าไม่มีใครในขั้นสองเอาชนะเขาได้…
ถ้าแค่นั้นคงไม่เป็นไร แต่เขาดันบอกว่าจัดอันดับขั้นสองไร้ประโยชน์ มันก็แค่เห็นแก่หน้าตาเท่านั้น…สุดท้ายเป็นไงนายก็คงรู้
ฟางผิงตกใจ เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วนายยังรอดมาได้อีกเหรอ?
รนหาที่ตายชัดๆ!
เจ้าพวกนี้หุนหันพลันแล่นขนาดนั้นกันเลย?
ฉินเฟิ่งชิงบอกว่าไร้พ่ายในหมู่ขั้นสาม ฟางผิงรู้ ตอนที่ฉินเฟิ่งชิงป่าวประกาศ ฟางผิงก็อยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามฉินเฟิ่งชิงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขากล้าพูดจาสามหาวแบบนั้น
ปัจจุบันฉินเฟิ่งชิงเป็นอันดับที่ 14 ในอันดับขั้นสาม ซึ่งมันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเขาแล้ว
แต่ฟู่ชางติ่งเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นล่าง ต่อให้เขารนหาที่ตาย เขาก็ไม่ควรทำเช่นนี้ใช่มั้ย?
ฟู่ชางติ่งอารมณ์เสีย อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหล ใครพูดแบบนั้นกัน? ฉันแค่บอกว่าฉันจะไร้พ่ายเมื่อบรรลุขั้นสองสูงสุด…
คนพวกนั้นเมินคำพูด ‘ขั้นสองสูงสุด’ ที่ฉันพูด
แล้วตอนนั้นเฉินเผิงเฟย เขาก็อยู่ในชมรมวิถียุทธด้วย บัดซบ เจ้าหมอนั่นจงใจยั่วโมโหฉัน!
ฟู่ชางติ่งกล่าวอย่างเดือดดาล คนเราเสียอะไรเสียได้ แต่เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ ฉันควรวิ่งหนีหางจุกตูดเหรอ? ไม่ ถ้าอย่างนั้นเราก็สู้!
นายถูกอัดฝ่ายเดียว เรียกว่าสู้ก็ไม่ถูก ถังซ่งถิงเยาะเย้ย
ฟู่ชางติ่งโกรธเคือง ใครถูกอัดกัน? ฉันก็อัดเขาเหมือนกัน!
ใช่สิ นายไม่อายหนิที่ถูกตีก้นต่อหน้าคนมากมาย…
แค่ก! ฟางผิงแทบสำลักน้ำลายตัวเองตาย เขาถามทันที อะไรนะ?
หุบปาก! ฟู่ชางติ่งร้อนรนทันที
ถังซ่งถิงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม ฟางผิง ช่วงสองสามวันนี้นายหายหัวไปเลย นายเลยไม่รู้เรื่อง มันลือไปทั่วแล้ว
เฉินเผิงเฟยรู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าฟู่ชางติ่งมาก เขาเลยไม่อยากทำอะไรฟู่ชางติ่งมาก
ที่น่าอายกว่านั้นคือ เฉินเผิงเฟยใช้สันดาบตีก้นเขาไปหลายสิบครั้ง นายดูไม่ออกเหรอ สองสามวันมานี้เขาฝึกแค่จวงกงอย่างเดียว
ฟางผิงได้ยินแบบนั้นก็ก้มมองสะโพกของฟู่ชางติ่งทันที
ฟู่ชางติ่งเดือดดาล เขาถลึงตามองถังซ่งถิงอย่างแค้นเคือง ขยับสะโพกอย่างไม่สบายใจ เรื่องมันจบไปแล้ว…แถมฉันก็ได้อัดเขาเหมือนกัน!
ฟางผิงอดหัวเราะไม่ได้ เขาถาม แล้วตอนนี้นายก็ยุยงให้ฉันไปสร้างปัญหาให้เขาสินะ?
ยุยง หมายความว่าไง? ฟู่ชางติ่งตอบด้วยความไม่พอใจ ขอถามนายหน่อย ถ้าพวกเขาอยากเป็นหัวหน้าคลาส นายจะสู้เพื่อตำแหน่งไหม?
ขึ้นอยู่กับว่าผลประโยชน์พอไหม
แค่นั้นก็พอแล้ว เมื่อผู้ฝึกยุทธเห็นผลประโยชน์ พวกเขาต้องสนใจแน่นอน เฉินเผิงเฟยอยู่อันดับ 8 ส่วนนายอยู่อันดับ 18 นายคิดว่าเขาจะยอมยกตำแหน่งให้นายอย่างนั้นเหรอ? ฟู่ชางติ่งแย้ง สรุปนายถูกลิขิตให้สู้กับเขาแล้ว ฉันแค่เตือนนาย ไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัว
ฉันอาจสู้เขาไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรอีก ถ้าเขาอยู่ขั้นสามชั้นสูง เฉินเผิงเฟยคงโง่แล้วถ้าจะมาสู้กับเขา
ตอนนี้แม้ว่าฟางผิงจะเป็นเพียงขั้นสามชั้นล่าง แต่ถ้ามีผลประโยชน์จริง เฉินเผิงเฟยอาจไม่กลัวความแข็งแกร่งขั้นสามของเขา
พวกเขาคุยกันอยู่สักพัก ฟู่ชางติ่งอดพูดขึ้นมาไม่ได้ ฟางผิง นายก้าวหน้าเร็วเกินไป ตอนนี้ฉันแค่ขัดเกลาไป 88 ชิ้น ซึ่งแปลว่าว่าฉันจำเป็นต้องขัดเกลาอีก 38 ชิ้นฉันถึงบรรลุขั้นสองสูงสุด ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่เดือน ฉันอาจถึงเป้าตอนเดือนสิงหาหรือเดือนกันยา
ฉันจะต้องรอจนเปิดเทอมหน้าเพื่อทะลวงสู่ขั้นสาม…
พวกเขาไม่ได้ถือว่าบรรลุสามขั้นในหนึ่งปี เพราะพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยแล้ว
ถ้าพวกเขาบรรลุขั้นสามในเทอมหน้า นั่นจะนับเพียงแค่บรรลุสองขั้นในหนึ่งปี
ฟู่ชางติ่งคิดว่าตนเองคืบหน้าช้ามากเมื่อเทียบกับฟางผิง
เขาคิดว่าตัวเองช้า แต่ถังซ่งถิงพูดเสียงอ่อน ฉันขัดเกลาแค่ 75 ชิ้น
เมื่อเทียบกับฟู่ชางติ่งแล้ว เขาอยู่ห่างไกลเป้าหมายมาก เขาต้องรอจนสิ้นเทอมหนึ่งปีสองกว่าจะบรรลุขั้นสองสูงสุด
ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธขั้นเกลาหนึ่งครั้งกับขัดเกลาสองครั้งกำลังปรากฏอย่างช้าๆ ผลลัพธ์จะแตกต่างกันแม้พวกเขาจะฝึกเหมือนกันก็ตาม
เมื่อฟังบทสนทนาของพวกเขา จ้าวเสวี่ยเหมยที่นั่งอยู่แถวหน้าก็พูดขึ้นทีฉับพลัน ฉันขัดเกลาแค่ 70 ชิ้น
ช่องว่างของพวกเขากว้างใหญ่มาก
จ้าวเสวี่ยเหมยเป็นผู้ฝึกยุทธตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยแล้ว แถมเธอยังเริ่มขัดเกลาแขนขาไปแล้ว แปลว่าหลังผ่านมานานเธอขัดเกลากระดูกไป 40 ชิ้นเท่านั้น
กระดูก 40 ชิ้นใน 7 เดือน เธอจำเป็นต้องใช้เวลาราวหนึ่งปีเพื่อบรรลุขั้นสองสูงสุด
นี่เป็นมาตรฐานนักศึกษาหัวกะทิของโม๋อู่ บรรลุขั้นสองสูงสุดตอนปลายปีสองและบรรลุขั้นสามตอนต้นปีสาม
ผู้ที่บรรลุขั้นสามได้ก่อนปีสามถือว่าเก่งมาก
คนที่ระดับต่ำกว่าพวกจ้าวเสวี่ยเหมย หากบรรลุขั้นสามได้ก่อนจบการศึกษาก็ถือว่าเป็นนักศึกษาชั้นเลิศแล้ว
พวกฟู่ชางติ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งมีโอกาสบรรลุขั้นสี่ก่อนจบการศึกษา พวกเขาเป็นนักศึกษาอัจฉริยะอย่างแท้จริง
หากไม่มีฟางผิง พวกเขาคงไม่คิดว่าตนเองก้าวหน้าได้ช้า หากจบการศึกษาตอนขั้นสามหรือขั้นสี่ได้ก็ไม่มีใครรู้สึกแย่แล้ว
ทว่าตอนนี้พวกเขาคิดว่าตนเองก้าวหน้าช้าเกินไป
ฟางผิงสังเกตเห็นความหดหู่ของจ้าวเสวี่ยเหมย เขาจึงกล่าวอย่างจนปัญญา อย่าเอาตัวเองมาเทียบกับฉัน ฉันต่างจากเธอ
ครอบครัวฉันยากจน ฉันเลยต้องเก่งกาจให้ยิ่งกว่านี้…
เฮอะ!
ทั้งกลุ่มมีสีหน้าดูถูก ฟู่ชางติ่งสบถ บอกว่าจนอีกรอบสิ เราจะอัดนาย!
จริงดิ…
อาจารย์มาแล้ว
เมื่ออาจารย์เข้ามาในห้อง พวกเขาก็เลิกคุยกันทันที
ฟางผิงคิดอย่างจนใจ ‘ฉันจนจริงๆ ทำไมถึงไม่เชื่อฉัน?’
‘ฉันจน ฉันเลยต้องขยันให้มากขึ้น พวกนายต้องเข้าใจสิ’
…
ฟางผิงฟังอาจารย์สอนในคาบเรียนจนแทบหลับ
คาบพื้นฐานวิชายุทธเป็นพื้นฐานจริงๆ
เวลาผ่านมานานมากแล้ว แต่อาจารย์ยังพูดถึงจวงกงขั้นมั่นคง ขัดเกลากระดูกขั้นหนึ่ง และพื้นฐานเคล็ดวิชายุทธ
ฟางผิงรู้สึกว่าเขาเก่งกาจเกินไป นอกจากไม่กี่คนแล้ว ปีหนึ่งคนอื่นยังคงดิ้นรนเพื่อบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดอยู่เลย
พูดตามตรง ต่อให้เป็นข้างนอก พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะ ไม่งั้นพวกเขาคงเข้าโม๋อู่ไม่ได้หรอก
ดูเหมือนฉันจะโดดเด่นเกินไปหน่อย
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ‘ฉันไม่ให้โอกาสคนอื่นเลยจริงๆ เพราะงั้นทุกคนจึงไม่ชอบฉันสินะ พวกเขาอิจฉาฉันกัน’
คาบเรียนจบลงอย่างน่าง่วงเหงาหาวนอน
ช่วงบ่าย คาบภูมิศาสตร์ธรรมชาติ ฟางผิงกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิมมาก เขาจริงจังจนทุกคนแปลกใจ
ฟางผิงไม่เพียงแต่จดบันทึกเท่านั้น เขายังยกมือถามคำถามอาจารย์อีกด้วย
อันที่จริงเขาถามคำถามคนเดียวไปครึ่งคาบ
ในมหาลัยวิชายุทธ สังคมศาสตร์ไม่ได้รับความสำคัญนัก อาจารย์สอนภูมิศาสตร์เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน แต่เขาเป็นแค่ขั้นสองชั้นล่างเท่านั้น
ในโม๋อู่ มีแต่อาจารย์สังคมศาสตร์เท่านั้นที่อยู่ขั้นสอง
ปกติแล้วทุกคนจะหลับกันในคาบนี้ อาจารย์จึงตื่นเต้นยินดีมากที่ได้ยินคำถามของฟางผิง ทั้งสองคุยกันอย่างกระตือรือร้นจนแทบลืมไปแล้วว่ากำลังอยู่ในคาบเรียน
…
สรุปแล้วการระบุทิศนั้นง่ายมาก
เมื่อจบคาบเรียน ฟางผิงรู้สึกว่าเขาได้ความรู้มากมาย
ต่อให้ไม่มีดวงอาทิตย์ก็ไม่เป็นไร
ต่อให้ไม่มีดาวเหนือบนฟากฟ้าก็ไม่มีปัญหา
ต่อให้เข็มทิศใช้การไม่ได้ก็ไม่สำคัญ
ฉันสามารถบอกทิศทางเองได้โดยการสังเกตการเติบโตของพืช ระดับความหนาแน่นของพืช หรือวงปีในต้นไม้…
ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้มากมาย ฟู่ชางติ่งที่พึ่งเดินเข้ามาเอ่ยถามทันที นายเป็นพวกหลงทิศเหรอ?
เหลวไหล!
นายกลัวหลงในถ้ำใต้ดินใช่ไหม?
ฟางผิงยังคงเงียบ
ฟู่ชางติ่งพูดอย่างแปลกใจ นายจบแล้ว ถ้าเราเข้าถ้ำใต้ดิน นายอย่าคลาดจากเรา อย่าไปเดินหลงที่ไหน ที่อาจารย์สอนเราเมื่อกี้มันขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่มีดวงอาทิตย์
พืชเป็นไปตามทิศทางของแสงอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้นายจำแนกทิศทางเองได้
แต่ถ้ำใต้ดินไม่มีดวงอาทิตย์ ฉันได้ยินว่ามีแค่แร่พลังงานลูกมหึมาทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์
แม้ว่ามันจะมีขึ้นมีลงเหมือนดวงอาทิตย์ แถมยังให้พลังงานในการเติบโตแก่สรรพสิ่ง…แต่พลังงานที่แร่ปล่อยออกมาแผ่กระจายอย่างสมดุล แปลว่าพืชจะไม่มีด้านที่หันหน้าออกจากแสงอาทิตย์ ที่นายพึ่งเรียนมาไร้ประโยชน์สิ้นเชิง!
ฟางผิงตะลึง
นั่นสิ พูดมีเหตุผล
ฟู่ชางติ่งมองฟางผิงอย่างเห็นใจ เขาตบบ่าฟางผิงแล้วพูดแกมสงสาร จำไว้ นายต้องตามเรา ถ้านายหลง นายกลับไม่ถูกแน่นอน
พวกหลงทิศจะหลงทางแน่นอนหากบอกทิศทางไม่ได้ เว้นแต่จะมีสถานที่บางอย่างเป็นจุดอ้างอิง
ฟางผิงกัดฟันกรอด ฉันไม่ได้หลงทิศ ฉันแค่จำทางไม่ได้! นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าถ้ำใต้ดินมีสิ่งปลูกสร้างเหรอ? หมายความว่าไงไม่มีจุดอ้างอิง? ‘ดวงอาทิตย์’พลังงานอันนั้นก็ใช้เป็นจุดอ้างอิงได้ ไม่จำเป็นต้องห่วง
ฉันก็หวังแบบนั้นนะ ฉันแค่กลัวว่า‘ดวงอาทิตย์’ที่ว่าจะอยู่บนหัวตลอด คำพูดของฟู่ชางติ่งโจมตีฟางผิงอย่างไร้ความปราณี
ฟางผิงก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เมื่อรับทราบเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้า ฉันจะไปถามว่ามันมีกลางคืนไหม
ถ้าก้อนพลังงานอยู่บนหัวตลอดจริง เขาจำเป็นต้องระวังเป็นพิเศษ
หลังฟางผิงรีบร้อนจากไป ฟู่ชางติ่งก็ยิ้ม ใครจะไปรู้ล่ะว่านายก็มีวันนี้ด้วย!
เขาเคยคิดว่าฟางผิงแข็งแกร่งกว่าเขาทุกด้าน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฟางผิงก็มีเรื่องไม่ถนัดอยู่เหมือนกัน
…
คืนนั้น นักศึกษาในคลาสฝึกพิเศษมารวมตัวกันครั้งแรก
นักศึกษาคลาสพิเศษครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนที่ส่วนใหญ่เป็นปีหนึ่ง ครั้งนี้มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาน้อยกว่ามาก
ครั้งนี้กลุ่มฟางผิงมีเพียงเก้าคนเท่านั้น ฟางผิง จ้าวเหล่ย ฟู่ชางติ่ง หยางเสี่ยวม่าน เฉินหยุนซี จ้าวเสวี่ยเหมย ถังซ่งถิง หลี่จ้าวซวี่และจินเหลย
จาก 10 คนที่เป็นทีมงานประลองครั้งก่อน สวี่อี้ข่ายเป็นคนเดียวที่ยังไม่บรรลุขั้นสอง เขาพึ่งบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน
นี่เป็นเพราะครั้งก่อนบาดเจ็บร้ายแรง ช่วงการประลองรอบชิงชนะเลิศ สวี่อี้ข่ายประลองกับฟางเหวินเสียงที่บาดเจ็บส่าหัส แต่เขาก็เจ็บหนักด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาใช้เวลาพักฟื้นมากกว่า
ยังมีอีก 91 คนที่อยู่ปีอื่น ฟางผิงไม่รู้จักใครสักคน
เขาอาจไม่รู้จัก แต่ฟู่ชางติ่งกับคนอื่นรู้จักอยู่หลายคนทีเดียว พวกเขาเป็นสมาชิกชมรมวิถียุทธ อันที่จริงฟางผิงเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่สมาชิกชมรม
จินเหลยกับคนอื่นๆเข้าร่วมชมรมหลังบรรลุขั้นสอง
จากคำพูดของฟู่ชางติ่ง นักศึกษา 99 คนจาก 100 คนเป็นสมาชิกชมรมวิถียุทธ
ฟางผิงต่างจากพวกอย่างเห็นได้ชัด
ฟางผิงไม่สนใจ เขาเบ้ปาก ฉันจะไม่เป็นลูกน้องใคร!
ทำไมเขาต้องเข้าชมรมตอนนี้ด้วย? ถ้าเขาเข้าชมรมตอนขั้นสามชั้นสูงหรือขั้นสามสูงสุด อย่างแย่ที่สุดเขาคงได้เป็นรองประธาน บางทีเขาอาจได้เป็นประธานด้วยซ้ำ
เข้าร่วมชมรมมีประโยชน์อะไรนอกจากเป็นเบี้ยภายใต้สังกัดชมรมวิถียุทธ?
พวกฟู่ชางติ่งเข้าร่วมชมรมนานแล้ว แต่พวกเขาได้ยาปราณและเลือดสามัญเพียงสามเม็ดในเจ็ดเดือน แถมบางครั้งพวกเขาต้องช่วยงานที่ไม่ได้คะแนนให้ชมรมด้วย
งานเหล่านี้มีทั้งเป็นกรรมการให้กับการประลองระหว่างนักศึกษา ซ่อมบำรุงในมหาลัย เดินตรวจตรา…มีเรื่องให้ทำมากมาย แถมยังต้องเข้าประชุมบ่อยๆ
แม้ว่าฟางผิงจะชอบผลประโยชน์ แต่สำหรับเขาแล้วมันลำบากเกินไป ฝึกฝนอย่างสงบยังดีกว่าอีก
เราอยากให้นายเป็นประธานทันทีเลย…น่าเสียดาย ไม่มีทางทำได้เลย
ไม่จำเป็น
ฟางผิงสงสัยว่าถ้าเขาบรรลุขั้นสามสูงสุด เขาจะผลาญปราณและเลือดจัดการจางอวี่ได้ไหม ถ้าเขาชนะ เขาอาจได้เป็นประธานสักพัก มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หยางเสี่ยวม่านกล่าวอย่างไม่พอใจ รอนายเอาชนะฉินเฟิ่งชิงได้ นายค่อยพูดถึงเรื่องเป็นประธาน เขาก็อยากเป็นประธานเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเห็นเขามาสองสามวันแล้ว เขาอาจยังรักษาตัวอยู่
ไม่ช้าก็เร็วแหละ
ไม่ช้าก็เร็วมันเมื่อไหร่? ฉินเฟิ่งชิงเทอมหน้าก็ปีสี่แล้ว นายจะรอจนเขาจบการศึกษาเลยเหรอ? หยางเสี่ยวม่านแย้ง
ฟางผิงไม่สนใจคำพูดเธอ คนธรรมดาจะอ่านความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ได้ยังไง?
เป้าหมายเขาไม่ใช่เอาชนะฉินเฟิ่งชิง แต่เป็นการเป็นปรมาจารย์ แม้แต่เหล่าหวังก็เป็นแค่ตัวแถม