“คุณนายรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรทำยังไงดีล่ะ? ถ้าหากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อ งั้นก็คือตามใจเขาจะฆ่าจะแกงแล้ว…..”
“ฉันจะตามใจพวกเขาจะฆ่าจะแกงหรือ คุณไม่คิดหรือว่าในปีนั้นใครเป็นคนฆ่าทั้งครอบครัวเขาล่ะ? ในเมื่อฉันสามารถฆ่าทั้งครอบครัวเขา งั้นฉันก็สามารถฆ่าเขาเช่นกัน ฉันจะไม่ออกไปอยู่แล้ว ฉันจะให้เขาตาย!”
หลันเฟิงหลิงทำตาหยีทีหนึ่ง เรื่องนี้เธอยังต้องคิดให้ดีๆว่าควรจะทำยังไงต่อ
เดิมทีเนี่ยเฟิงอยากจะรีบหาหลันเฟิงหลิงให้เจอจะได้ล้างแค้นให้กับพ่อแม่ตนเอง คืนความจริงให้กับพวกเขาสักหน่อย
แต่ว่าหลันเฟิงหลิงตอนนี้ยังอยู่ในเมืองเยี่ยนตู ก็อยู่ในเขตจำกัดการเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ ดังนั้นเขาอยากจะจัดการคนทั้งหมดที่ในเวลานั้นหักหลังต่อตระกูลเนี่ย
เขาจะทำให้หลันเฟิงหลิงรู้สึกถึงความหวาดกลัว ให้หลันเฟิงหลิงได้รับความทรมานจากจิตใจ ทำให้หลันเฟิงหลิงจำเป็นต้องปรากฏตัวด้วยตัวเอง ในตอนต้นเขาได้รับความทุกข์ยากลำบากอยู่ข้างนอกมากเท่าไหร่ ตอนนี้เขาจะหาหลันเฟิงหลิงให้เจอ ขอมอบคืนเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง
เขาหามือดำที่อยู่เบื้องหลังคนนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้นยังไม่รีบร้อนในเวลานี้
เขาได้จับกุมอำนาจหลักไว้แล้ว ฆาตกรถูกผลักเข้าตาจน เพียงแค่นึกถึงคนเหล่านั้นที่ก่อนหน้านั้นร่วมมือกัน ไม่เพียงแค่หลันเฟิงหลิง เขายังจะให้คนที่อยู่ข้างกายของหลันเฟิงหลิงไม่มีที่ซ่อน
เนี่ยเฟิงค่อยๆถอนหายใจออกหนึ่งที จากนั้นหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “เกมเพิ่งเริ่มต้นในตอนนี้ล่ะ”
ช่วงเช้าวันถัดมา ชิวมู่เฉิงตื่นแต่เช้ามาก ตอนที่เธอลงมาพบเห็นอาหารเช้าวางเต็มโต๊ะแล้ว และเนี่ยเฟิงไปออกกำลังกายตอนเช้ากลับมานานแล้ว เนี่ยเฟิงมองเห็นชิวมู่เฉิง บนใบหน้าก็เบ่งบานรอยยิ้มที่เรียบง่ายไร้อุบายออกมา
“พี่ใหญ่คุณตื่นแล้วหรือ เมื่อกี้ผมออกไปวิ่ง ตอนขากลับมองเห็นบนแผงลอยอาหารเช้ามีของอร่อยมากมาย ดังนั้นซื้อมาเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่ารสชาติจะถูกใจคุณหรือไม่ พวกเรากินอาหารเช้าเสร็จค่อยออกไปเถอะ?”
เมื่อคืนชิวมู่เฉิงคิดทั้งคืน วันที่สองควรจะไปโต้ตอบกับคนชั่วที่ป่าเถื่อนโหดร้ายเหล่านั้นได้ยังไง เพราะว่าทุกคนในตระกูลชิวล้วนไม่ใช่เล่นๆ
หลังจากเธอพ้นจากตระกูลชิวก็มอบอำนาจหลักออกไปแล้ว ดังนั้นคนของตระกูลชิวจึงไม่ได้เข้ามาหา แต่ว่าในตอนต้นตระกูลฟางย่อมสร้างความกดดันให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน
เพียงแค่ว่าจุดสำคัญในประเด็นสำคัญของตระกูลฟางอยู่ที่เธอกับเนี่ยเฟิง ดังนั้นในเวลานั้นล้วนไล่ตามพวกเขาทั้งสองไม่หยุดมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ความกดดันของตระกูลชิวก็น้อยลงเยอะเลย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ตระกูลชิวไม่ได้มาหาเธอมาโดยตลอด
เพียงแต่คราวนี้คุณนายใหญ่ชิวป่วยไม่สบายแล้ว เรื่องในตระกูลอาจจะยังต้องมีคนมาจัดการ อีกทั้งหลังจากชิวมู่เฉิงออกไปแล้ว ตระกูลชิวในปัจจุบันนี้ยิ่งมายิ่งตกอับแล้ว
ชิวมู่เฉิงไม่รู้ว่าตนเองควรทำยังไงจึงจะสามารถเอาทะเบียนบ้านและเงินก้อนนั้นของตนเองกลับมาได้
“พูดถึงตรงนี้ผมกลับมีความสงสัยงงงวยเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นตระกูลชิวไม่ใช่เป็นตระกูลเล็กๆที่ธรรมดามากเหรอ? ในมือพวกเขาไม่มีเงินอะไรเลยสักนิด งั้นตระกูลของพวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ยังไงเหรอ?”
ระหว่างทางที่ขับรถ เนี่ยเฟิงดูเหมือนนึกอะไรออกมาได้? เอ่ยปากสอบถามชิวมู่เฉิงอยู่แบบนี้
“ในตอนต้น คุณตาส่งฉันไปตระกูลชิว ก็ได้มองเห็นความเรียบง่ายไม่หรูหราของเจ้าบ้านตระกูลชิว ในเวลานั้นคุณนายใหญ่ชิวรับเลี้ยงลูกสาวบุญธรรมมากมาย ตอนที่ฉันไปพกเงินสามก้อน ก้อนแรกคือหลังจากพบเจอกับคุณนายใหญ่ชิว คุณตาเอาให้เธอโดยตรง บอกว่าเป็นค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายการไปโรงเรียนทั้งหมดต่างๆในอนาคตของฉัน”
ชิวมู่เฉิงพูดถึงตรงนี้โดยจิตใต้สำนึกเม้มปากแล้วเม้มปากอีก
บนใบหน้าเธอแม้ว่าไม่มีสีหน้าอะไร แต่ว่าถ้าพบเจอกับเรื่องที่ไม่ค่อยดี เธอก็จะขมวดคิ้วนิดๆขึ้นมาและเม้มปาก
“คุณนายใหญ่ใช้เงินก้อนนั้นพัฒนาธุรกิจของครอบครัวทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้น เลี้ยงดูสั่งสอนพวกเราอย่างตั้งอกตั้งใจ แท้ที่จริงคุณนายใหญ่คนนี้เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เพียงแค่ว่าความทะเยอทะยานของเธอแม้ว่ามาก แต่ฝีมือกลับไม่ได้มากมายขนาดนั้น
แต่ในเวลานั้นแม้ว่าฉันอายุยังน้อย แต่ว่าก็แสดงความสามารถที่เหนือชั้นออกมาให้เห็น คุณนายใหญ่รู้สึกว่าฉันเป็นบุคคลที่สามารถฝึกได้ ดังนั้นส่งฉันไปเรียนด้านการเงิน
ช่วงที่ฉันอยู่ในโรงเรียนช่วยตระกูลเปล่งแสงออกมาโดยตลอด รอตอนที่ฉันเรียนจบ ธุรกิจของตระกูลเดินเข้าไปในลู่ทางที่ถูกต้องแล้ว”
เนี่ยเฟิงฟังถึงตรงนี้รู้แจ้งกระจ่างในฉับพลัน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ผมก็ว่าเห็นพวกเขาไม่ใช่เป็นคนที่มีฝีมือขนาดนั้น ตอนนี้เห็นแล้วเหมือนอย่างที่คิดจริงๆ หลังจากคุณออกไปลูกสาวบุญธรรมเหล่านั้นมีไม่กี่คนที่เก่งได้มากอย่างคุณขนาดนั้น”
โดยเฉพาะชิวซือมี่ที่ถูกเรียกว่าเป็นคุณหนูรองคนนั้น ดูเรื่องโง่เขลาที่เธอทำต่อเนื่องกันนั่นสิ เรื่องไหนล่ะที่จะสามารถพูดอย่างเปิดเผยได้?
“พูดขึ้นมาแล้วพวกเราไปตอนนี้ จะพบเจอกับชิวซือมี่หรือไม่ล่ะ?”
ชิวมู่เฉิงส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกเล็กน้อย “ฉันก็ไม่ค่อยชัดเจนว่าเธอจะเฝ้าไว้อยู่ที่นั่นหรือไม่ แต่ถึงแม้ว่าเธออยู่ที่นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน จะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้อยู่แล้ว”
พวกเขามาถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ชิวมู่เฉิงจอดรถไว้อยู่ที่จอดรถ ตอนที่ลงจากรถยังตั้งใจสอบถามเนี่ยเฟิงว่าตื่นเต้นหรือไม่ เนี่ยเฟิงส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก
“ผมล้วนไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่พบเจอกับพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังอีกขนาดไหน ผมก็สามารถโต้ตอบกลับไปเช่นกัน!”
ชิวมู่เฉิงเห็นด้วยอย่างมากพูดว่า “วิธีแบบนี้ดีมาก แกไม่ต้องคำนึงถึงใครๆ เพียงแค่มีคนอยากจะทำสีหน้าให้แกดู งั้นแกก็เพียงแต่ตอบกลับออกไปก็พอแล้ว ไม่ต้องไว้หน้าพวกเขา”
ชิวมู่เฉิงตัดใจไม่ลงที่จะเห็นน้องชายของตนเองถูกคนอื่นรังแกนะ
และเนี่ยเฟิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจเช่นกัน
ทั้งสองคนมาถึงโรงพยาบาล แม้ว่าพวกเขาตระกูลชิวจะตกอับแล้ว แต่ว่าห้องผู้ป่วยที่พักอยู่กลับยังเป็นห้องผู้ป่วยที่ดีที่สุด
ตัวชิวมู่เฉิงยังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงพูดไปหัวเราะไปจากข้างใน ชิวมู่เฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก แต่ยังคงเคาะประตูเคาะแล้วเคาะอีกตามมารยาทเดินเข้าไปเลย
การปรากฏตัวของชิวมู่เฉิงทำให้คนทั้งหลายที่ยังพูดคุยกันอย่างมีความสุขอยู่เมื่อกี้ล้วนหยุดลง พวกเขาใช้สายตาที่เย็นชาจ้องมองชิวมู่เฉิง
คุณนายใหญ่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมองเห็นชิวมู่เฉิงมาแล้ว บนใบหน้าก็เบ่งบานรอยยิ้มออกมา เพียงแค่เห็นว่าคุณนายใหญ่กวักมือแล้วกวักมืออีกไปยังชิวมู่เฉิง
“มู่เฉิง รีบมาหาย่าเร็ว!”
จากไปนานขนาดนี้ การแสดงให้เห็นว่าสนิทกันมากนั้นของคุณนายใหญ่ ทำให้ชิวมู่เฉิงรู้สึกไม่สบายเป็นพิเศษ
เนี่ยเฟิงก็รู้สึกถึงว่าในอากาศดูเหมือนเต็มไปด้วยกลิ่นพลาสติกที่เข้มข้น
แท้ที่จริงเนี่ยเฟิงก็รู้ว่าพวกเขาคนกลุ่มนี้คิดแผนอะไรอยู่
ชิวมู่เฉิงยังคงเดินเข้าไป “คุณนายใหญ่ ท่านรู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
คุณนายใหญ่ชิวส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก สีหน้าซีดขาวไปหมด
“ไอ้ ฉันอาจจะไม่หายแล้วล่ะ หมอบอกแล้วอาการของฉันในตอนนี้เร่งด่วนมาก เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว ฉันอยู่ต่อได้อีกไม่กี่วันแล้ว แต่ว่าแกก็รู้ ตระกูลชิวที่ก่อตั้งขึ้นมาจากมือของพวกเราถ้าหากว่าตกอับอย่างนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าฉันลงนรก ฉันก็จะตายตาไม่หลับเช่นกันล่ะ!”
คุณนายใหญ่พูดอยู่น้ำตาคนแก่ไหล่พราก เนี่ยเฟิงเห็นกำลังวังชาของคุณนายใหญ่นี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จริงๆ
แม้ว่าเนี่ยเฟิงเป็นหมอที่เก่งมากคนหนึ่ง แต่ว่าเนี่ยเฟิงจะไม่รักษาคนอื่นอย่างง่ายดาย
ชิวมู่เฉิงได้ยินว่าคุณนายใหญ่ชิวพูดอย่างนี้ ก็รู้สึกได้ถึงความตื่นตะลึงเล็กน้อย เธอนึกไม่ถึงว่าคุณนายใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงขนาดนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว
“มู่เฉิงเอย ฉันรู้ว่าฉันผิดต่อแก เรื่องในเวลานั้นก็เป็นฉันร้อนใจชั่ววูบ ดังนั้นจึงพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่รู้ว่าแกจะอภัยให้กับคนที่ใกล้ตายอย่างฉันคนนี้หรือไม่ล่ะ?”
คำพูดของคุณนายใหญ่ล้วนพูดถึงตรงนี้แล้ว ชิวมู่เฉิงดูเหมือนจะพูดมากก็ไม่ได้เช่นกัน