NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่604 คุณขู่ผม?

บทที่604 คุณขู่ผม?

แสดงความสามารถ?

หลี่ฝางนิ่งไปเล็กๆ พ่อของเขากลับมาตั้งนาน แค่นั้นยังแสดงให้เห็นไม่พอหรือไง?

ทั้งกำลังเงินทั้งกำลังคน หลี่ฝางเองก็เห็นมานับไม่ถ้วนแล้ว

แต่ได้ยินสิ่งที่ส้าวส้วยต้องการจะสื่อ เหมือนจะยังมีอะไรแอบแฝงไว้อยู่?

หลี่ฝางเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาถามส้าวส้วย “ทำไมฟังที่นายพูดแล้วฉันรู้สึกเหมือนว่าตระกูลตัวเองกำลังซ่อนความสามารถอะไรไว้อยู่อย่างนั้นแหละ?”

“ถ้าตระกูลหลี่มีของแค่นี้ คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากต่างประเทศได้จริงไหมครับ? ไหนจะกล้าถอนรากถอนโคนคนของสำนักหยิ่งซาอีก?”

ส้าวส้วยหัวเราะหึๆ เสียงหัวเราะดูไม่ใส่ใจนัก “ความจริงแล้วตระกูลหลี่ของเราซ่อนของไว้ครับ แต่พยายามทำตัวให้คนอื่นประเมินเราต่ำๆ เพราะกลัว”

“กลัว?” หลี่ฝางขมวดคิ้ว “กลัวอะไร?”

“กลัวสี่ตระกูลใหญ่จะตื่นตระหนกจนไม่กล้าโผล่หัวออกมาให้เห็น” ส้าวส้วยพูดเรียบๆ

หลี่ฝางมองส้าวส้วย ไม่ได้พูดอะไรไปพักใหญ่ คำพูดคำจานี้มันโคตรขี้โม้ซะไม่มี

“ซุนจิ้นขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจูเก่อหรือยัง?” หลี่ฝางถาม

“ใช่ครับ หลังจากที่ซุนจิ้นออกมาจากถ้ำ ก็ได้เพชรพลอยติดมือมาไม่น้อย บรรพบุรุษของตระกูลจูเก่อขึ้นชื่อเรื่องขโมยสมบัติในสุสาน ทำให้สมบัติตกทอดมาถึงคนรุ่นหลังไว้ไม่น้อย ทั้งหมดนั้นถูกซ่อนไว้ในถ้ำหลายแห่ง บนโลกนี้นอกจากนอกจากซุนจิ้นก็คงไม่มีใครเข้าไปในนั้นได้ง่ายๆ ตระกูลจูเก่อสืบทอดวิชาที่ฝึกฝนกันมารุ่นต่อรุ่น ใครก็ตามที่เข้าไปในถ้ำแล้วสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือชาย ก็จะได้รับการสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ซุนจิ้นในตอนนี้กลายเป็นจูเก่อจิ้นไปแล้วครับ แต่แน่นอนว่าในตอนแรกซุนจิ้นเองก็ปฏิเสธ แต่เพราะเป็นปรารถนาของลูกพี่ เขาอยากให้ซุนจิ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอย่างถูกต้อง แต่เพราะพวกเราล้างโคตรตระกูลนั้น คนเก่าแก่หลายๆคนของจูเก่อไม่ยอมรับในตัวซุนจิ้น บางส่วนก็ออกมาต่อต้านอย่างเปิดเผย แต่บางส่วนก็ออกมาจากตระกูลอย่างเงียบๆ”

“ชายแก่ที่คิดจะลอบฆ่าคุณที่โรงเรียนมัธยมโบตั๋น เป็นแค่หนึ่งในนั้น”

หลี่ฝางขมวดคิ้ว “ทำไมพูดอย่างกับว่าฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย?”

“ทำไมพวกมันจะอยากฆ่าฉัน? การที่ตระกูลจูเก่อถูกทำลายเกี่ยวอะไรกับฉัน? เป้าหมายของพวกมันควรจะเป็นซุนจิ้นหรือไม่ก็พ่อของฉันสิถึงะถูก?” หลี่ฝางพูดด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะคุณอ่อนแอ” ส้าวส้วยพูดไม่อ้อมค้อม

“งั้นซุนจิ้น? ฉันว่าเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนะ” หลี่ฝางเถียงกลับไม่ยอม

“ถึงซุนจิ้นจะไม่ได้เก่ง แต่ก็ฆ่ายาก ตอนนี้ซุนจิ้นเองก็คนกลุ่มนึงคอยคุ้มกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสายเลือดของตระกูลจูเก่ออยู่ ไม่ว่ายังไง เขาก็คือคนของตระกูลจูเก่อ ถ้าฆ่าซุนจิ้น ก็เท่ากับเป็นการถอนรากถอนโคนตระกูลจูเก่อ เพราะแบบนั้นพวกมันถึงไม่ฆ่าซุนจิ้น”

“ส่วนลูกพี่ เดาว่าพวกมันคงไม่รู้ว่าลูกพี่อยู่ที่ไหน เพราะแบบนั้นพวกมันถึงได้เลล็งเป้ามาที่คุณ”

ส้าวส้วยพูด “แต่คุณไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ รับรองว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายคุณได้”

ส้าวส้วยพูดประโยคนั้นออกมาด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่า ส้าวส้วยเองก็ทำตามที่พูดได้จริงๆ

หลี่ฝางคิดมาตลอดว่า ถ้าไม่นับพ่อของตัวเอง ส้าวส้วยก็ถือว่าเป็นคนที่ฝีมือขั้นเทพที่สุดในตระกูลหลี่

“ฉันจะเข้าไปก่อน เดี๋ยวคุยกับจูฟิ่งปินเสร็จฉันจะแวะไปหาพวกจูเปิ่น เฮ้อ เรื่องคราวนี้…” พอคิดถึงเรื่องที่พวกจูเปิ่นโดนตัดหู ตัดนิ้ว ในใจของหลี่ฝางก็รู้สึกไม่ปกติ

ถึงพวกเขาจะทำงานเอาชีวิตเสี่ยงเพื่อแลกกับเงิน แต่หลี่ฝางก็อดรู้สึกผิดต่อพวกเขาไม่ได้อยู่ดี

แค่นึกๆว่าตอนที่เดินไปไหนต่อไหนข้างนอกด้วยสภาพที่มีหูข้างเดียว คงดึงดูดสายตาคนอื่นไม่น้อย

หรือจะพูดง่ายๆ คนที่ขาดหูไปข้างนึง ก็ไม่นับว่าเป็นคนสมบูรณ์แล้ว แต่นับว่าเป็นคนพิการ

“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ แค่มีชีวิตรอดกลับมาก็ดีแล้ว”

ในขณะที่ส้าวส้วยกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ “ไม่เผชิญกับความเสี่ยงก็ไม่มีทางรวย ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร คนจากยุทธภพที่มาเสี่ยงตาย ถ้าไม่ได้รับบาดแผลซะบ้าง ก็คงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วก็คงหาเงินไม่ได้จริงไหมครับ?”

“ใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบ ปลอดภัย แล้วปีๆนึงหาเงินได้มากขนาดนั้น? เหอะๆ ถ้ายุทธภพเป็นแบบนี้ได้จริง งั้นทุกคนก็คงไม่ต้องแข็งขันกันเรียนหนังสือ แล้วออกมาทำงานเสี่ยงตายแบบนี้กันหมดแล้วสิครับ”

หลี่ฝางพยักหน้านิดๆ รู้ดีว่าส้าวส้วยกำลังปลอบใจเขาอยู่

คำพูดของส้าวส้วยก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ถ้าออกมาทำงานแบบนี้แล้วไม่ต้องเสี่ยงตาย งั้นใครๆก็คงออกมาทำกันหมดแล้ว

หลี่ฝางเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปในห้องพักของจูเฟิ่งปิน ส่วนจูเฟิ่งปินเมื่อเห็นหน้าหลี่ฝาง ก็รีบวิ่งเข้ามาหา

“น้องสาวผมล่ะครับ?” สีหน้าของจูเฟิ่งปินร้อนรน

“คุณชายหลี่ พาน้องสาวผมกลับมาด้วยไหมครับ?” จูเฟิ่งปินเหล่มองไปที่นอกประตู

“โทรศัพท์ของผมหาย ติดต่อใครไม่ได้เลย…อยากจะโทรหาน้องสาวก็ยังทำไม่ได้” จูเฟิ่งปินมีสีหน้าที่ร้อนรน ราวกับว่าในใจของเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

“ไม่มีอะไรหรอก”

หลี่ฝางมองจูเฟิ่งปิน แล้วถาม “ความผิดของมู่เสี่ยวไป๋ เขียนมาหมดหรือยัง?”

“เขียนเสร็จแล้วครับ” จูเฟิ่งปินลังเลเล็กน้อย แต่ก็ส่งกระดาษให้หลี่ฝาง

หลี่ฝางก้มหน้ากวาดสายตาดูนิดนึง เนื้อหาที่จูเฟิ่งปินเขียนลงบนกระดาษกับที่เฉิงหยุนเขียน โดยภาพรวมไม่ได้ต่างกันนัก หรือจะพูดอีกอย่าง จูเฟิ่งปินไม่ได้เขียนเรื่องใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ให้กับหลี่ฝาง

“น้องสาวผมกับพี่หยุนล่ะครับ คุณชายหลี่ เหมือนจะยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะ” ท่าทีของจูเฟิ่งปินเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายขึ้นมา

ในยุคสมัยนี้ โทรศัพท์เป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเรารู้สึกปลอดภัย เมื่อไม่มีมัน เราก็จะรู้สึกโหวงๆไม่สบายใจขึ้นมา

และโทรศัพท์ของจูเฟิ่งปิน ถูกส้าวส้วยยึดไป

ที่ต้องยึดโทรศัพท์ของจูเฟิ่งปิน ก็เพื่อป้องกันการทำภารกิจช่วยเหลือล้มเหลว เมื่อมู่เสี่ยวไป๋ข่มขู่จูเฟิ่งปินผ่านโทรศัพท์

“พวกเขาปลอดภัยดี” หลี่ฝางพูดเรียบๆ

“คุณชายหลี่โกหกผม ถ้าพวกเขาปลอดภัยจริงทำไมถึงไม่พาพวกเขามาหาผม? ไหนจะเอาโทรศัพท์ผมไปอีก? ตอนที่พวกคุณมาช่วยผมโทรศัพท์ยังอยู่ แต่หลังจากที่ผ่าตัดเสร็จ พวกคุณก็เอาโทรศัพท์ของผมไป แล้วที่น่าสงสัยที่สุด สายโทรศัพท์ในโรงแรมนี้ก็ถูกตัดทั้งหมด ไม่มีทางติดต่อภายนอกได้เลย คุณชายหลี่จะช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

สายตาของจูเฟิ่งปินที่มองไปยังหลี่ฝางเต็มไปด้วยความระแวดระวังไม่ไว้ใจ

หลี่ฝางไม่ตอบ แต่สบตาจูเฟิ่งปินแล้วถามกลับ “แค่นี้หรอ? นายกุมความลับไว้แค่นี้? ยังมีอะไรที่ยังไม่ต้องเขียนลงไปอีกหรือเปล่า?”

“คุณชายหลี่คิดจะทำอะไรกันแน่?” จูเฟิ่งปินขมวดคิ้ว “ทั้งขโมยโทรศัพท์ ทั้งตัดสายโทรศัพท์ การกระทำทุกอย่างของคุณ ทำให้ผมรู้สึกว่าคุณเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมู่เสี่ยวไป๋เลย”

“คุณชายหลี่ ผมเริ่มจะไม่เชื่อคุณแล้ว เงินสดสิบล้านคุณคงไม่ได้คิดจะให้ผมจริงๆใช่ไหม? คุณไม่ได้ตั้งใจจะพาผมหนี? แผนการของคุณคือต้องการให้พวกเราเขียนความผิดที่มู่เสี่ยวไป๋ทำ พอหลอกใช้พวกเราเสร็จแล้ว คุณก็จะฆ่าปิดปากสินะ?”

จูเฟิ่งปินมองหลี่ฝาง ขบกรามแน่น “คุณชายหลี่ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอครับ?”

“ฉันไม่เคยหลอกนาย”

หลี่ฝางพูด “ฉันเตรียมการพาพวกนายหนีแล้ว หลังจากนี้ครึ่งชั่วโมงจะมีรถบรรทุกคันนึงขับออกจากเมืองเอก ฉันสั่งให้พวกเขามารับพวกนายแล้ว”

“ส่วนเงินสิบล้าน หึ ตระกูลหลี่ของฉันขัดสนเรื่องแบบนี้หรือเปล่า ฉันว่านายเองก็น่าจะรู้ดี”

หลี่ฝางมองจูเฟิ่งปิน “หลอกหรือฆ่าปิดปากพวกนายทิ้ง ส่งผลดีกับฉันตรงไหน?”

จูเฟิ่งปินคิด แล้วพูดต่อ “แน่นอนว่าไม่ได้ส่งผลดีกับคุณสักนิด แต่เรื่องสายโทรศัพท์ที่ถูกตัดจะอธิบายว่ายังไงล่ะครับ? โทรศัพท์ผมถูกขโมยไป ผมยังพอหลอกตัวเองได้ว่ามันอาจจะหล่นระหว่างทาง แต่สายโทรศัพท์ในโรงแรมที่ถูกตัด…”

“นี่เป็นโรงแรมของตระกูลหลี่ แล้วห้องที่นายอยู่ เป็นห้องที่ฉันเอาไว้ขังคนโดยเฉพาะ เพราะงั้นถ้าสายโทรศัพท์จะถูกตัดก็เป็นเรื่องธรรมดา” หลี่ฝางคิดข้อแก้ตัวไว้ได้สักพักแล้ว

“จูเฟิ่งปิน ดูเหมือนนายจะตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า?”

หลี่ฝางมองหน้าจูเฟิ่งปินแล้วยิ้ม “คิดดูใหม่ให้ดีๆ นายยังทำงานอะไรให้มู่เสี่ยวไป๋อีกหรือเปล่า อะไรที่สามารถทำให้มู่เสี่ยวไป๋กลัว?”

“ไม่มีแล้วครับ” จูเฟิ่งปินส่ายหน้า “ทั้งหมดที่จำได้ผมก็เขียนลงไปบนกระดาษแล้ว อย่างอื่นผมจำไม่ได้จริงๆ”

“คิดดูให้ดีๆ” หลี่ฝางฉีกยิ้มเย็นยะเยือก “อย่าลืมสิ น้องสาวนายยังอยู่ในมือฉันนะ”

“คุณขู่ผมหรอ?” สีหน้าของจูเฟิ่งปินที่มองไปยังหลี่ฝาง จู่ๆก็เปลี่ยนไป…

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท