NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่605 แผนการของหลี่ฝาง

บทที่605 แผนการของหลี่ฝาง

“จะเรียกว่าขู่ได้ยังไงกัน? ก็แค่ ฉันช่วยพวกนาย ช่วยรับน้องสาวนายมาให้ด้วยความหวังดี ให้เงินพวกนายใช้สิบล้าน ไหนจะจัดการพาหนีอีก แล้วนายกลับตอบแทนให้ฉันได้แค่นี้เนี่ย เหอะ นายไม่คิดว่ามันไม่เท่าเทียมหรือไง?”

หลี่ฝางหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่างน้อยก็น่าจะให้อะไรที่มีมูลค่ามากกว่านี้หน่อยสิ? นายกับเฉิงหยุนรับใช้มู่เสี่ยวไป๋มานานขนาดนั้น เป็นไปได้หรือไงที่จะไม่รู้ความลับอะไรสักนิดของมู่เสี่ยวไป๋?”

“ไหนบอกให้ฉันฟังหน่อยสิ” หลี่ฝางเลิกคิ้ว มองหน้าจูเฟิ่งปิน

จูเฟิ่งปินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นจนแทบจะผูกเป็นปม

หลี่ฝางรู้ดีว่าจูเฟิ่งปินจะต้องกุมความลับระดับชาติบางอย่างของมู่เสี่ยวไป๋ไว้แน่นอน

ไม่อย่างนั้นแล้ว คืนวันนี้มู่เสี่ยวไป๋คงไม่ลงทุนมากขนาดนั้นเพื่อชิงตัวน้องสาวไป

ไม่เสียดายที่จะใช้เฮลิคอปเตอร์ ไม่เสียดายที่จะให้ชางสู่เป็นคนลงมือ ทำซะอย่างกับกำลังกู้ภัยครั้งยิ่งใหญ่ก็ไม่ปาน

และในตอนนี้ หลี่ฝางไม่อาจจะใส่หน้ากากอีกต่อไปแล้ว โลกนี้ไม่มีใครเกรงกลัวคนดี มีแต่จะเกรงกลัวคนเลว ถึงเวลาที่หลี่ฝางจะต้องแสดงความชั่วร้ายออกมาให้เห็นบ้าง

ทันทีใดนั้น ที่ด้านนอกมีคนเคาะประตู หลี่ฝางเดินออกแล้วเปิดประตูออก แต่ไม่ลืมหันไปพูดกับจูเฟิ่งปิน “ค่อยๆคิดใหม่อีกที หวังว่านายจะนึกอะไรออก”

จากนั้น หลี่ฝางก็เปิดประตูออกแล้วพูดกับคนที่อยู่หน้าประตู “มีอะไร?”

“คุณชายหลี่” คนมาใหม่ยื่นสร้อยเส้นนึงให้หลี่ฝาง แล้วส่งสายตาไปยังทิศที่จูเฟิ่งปินยืนอยู่ ก่อนจะขยิบตาเบาๆ

หลี่ฝางเข้าใจความหมายนั้นโดยทันที เขาหันกลับไป เดินไปหาจูเฟิ่งปิน จากนั้นใส่สร้อยลงบนคอของตัวเองแล้วพูดว่า “สร้อยเส้นนี้สวยดีนะ”

พูดจบ หลี่ฝางก็เงยหน้าขึ้นมองจูเฟิ่งปิน สายตาของจูเฟิ่งปินจับจ้องไปที่คอของหลี่ฝางไม่วางตา

“นี่มันสร้อยของน้องสาวผม ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยถอดมันออกเลยสักครั้ง ยกเว้นตอนนอน” สีหน้าของจูเฟิ่งปินเผยความหวาดกลัว

“ถึงสร้อยเส้นนี้จะไม่ได้มีมูลค่าอะไร แต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้พวกเรา”

จูเฟิ่งปินมองหลี่ฝาง “ท่าทางน้องสาวของผมจะอยู่ในเงื้อมมือของคุณจริงๆสินะ”

“คุณชายหลี่ ผมเคยคิดว่าคุณเป็นคนดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เหอะๆ ดูท่าทางผมจะมองคุณผิดไป คุณก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมู่เสี่ยวไป๋ ถึงคุณจะไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเท่ากับมู่เสี่ยวไป๋ วิธีการก็ไม่ต่ำช้าเท่าเขา แต่ก็คงไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน”

จูเฟิ่งปินส่ายหน้าหัวเราะ สีหน้าของเขายากจะอธิบาย “ผมดูคุณผิดไปจริงๆ”

“จูเฟิ่งปิน ระหว่างเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไร ฉันช่วยนาย นายช่วยฉัน ระหว่างเราก็แค่การทำข้อแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น” หลี่ฝางยิ้มบางๆ

“ข้อแลกเปลี่ยน? เหอะ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยยุติธรรมเอาซะเลยนะครับ สิ่งที่ผมเขียนให้คุณ แค่หลับตาเอามาใช้สักข้อก็สามารถทำลายมู่เสี่ยวไป๋ได้แล้ว คุณจ่ายแค่สิบล้าน แต่อย่างน้อยๆก็สามารถทำลายมู่เสี่ยวไป๋ไปครึ่งชีวิตได้แล้ว สิ่งที่มู่เสี่ยวไป๋ต้องสูญเสียอย่างต่ำๆก็พันล้าน เกรงว่าจะมากกว่านั้นด้วยนี่สิ?”

“เพราะฉะนั้นการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นคุณที่ได้กำไร”

จูเฟิ่งปินมองหลี่ฝาง แล้วพูดด้วยความเย็นชา “คุณฉวยโอกาสแล้วยังตีหน้าซื่อ”

หลี่ฝางแสยะยิ้ม “นายก็คิดซะว่าฉันโลภแล้วกัน”

“ร้อยล้าน ผมมีหลักฐานที่สามารถมัดตัวมู่เสี่ยวไป๋ได้อย่างดิ้นไม่หลุด ให้ผมร้อยล้าน แล้วผมจะบอกคุณ” จูเฟิ่งปินพูด “นอกจากนี้ คืนโทรศัพท์ให้ผม หลังจากที่ผมแน่ใจแล้วว่าน้องสาวกับพี่เฉิงเกอปลอดภัย ผมถึงจะบอกคุณ”

“นายคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่จะมาต่อรองกับฉันได้หรอ?”

หลี่ฝางส่ายหน้า “จะพูดให้ดูดีหน่อย เราสองคนกำลังทำข้อแลกเปลี่ยนกัน นายคือคนที่ร่วมงานกับฉัน แต่ถ้าจะพูดให้ดูแย่หน่อย นายก็คือคนชนชั้นระดับล่าง เป็นผู้ลี้ภัยที่ฉันรับไปช่วยเหลือ ถ้าฉันไล่ตะเพิดออกไป นายจะต้องถูกคนของมู่เสี่ยวไป๋ฆ่าในไม่ช้าแน่นอน”

หลี่ฝางพูดเสียงเย็น “นายมีแค่ตัวเลือกเดียว นั่นก็คือบอกทุกอย่างที่นายรู้มาให้หมด แล้วฉันจะให้เงิน กับพานายหนี”

จูเฟิ่งปินลังเล ผ่านไปนานก็ไม่ได้ให้คำตอบกับหลี่ฝาง

หลี่ฝางพูดต่อ “ถ้านายยังคิดไม่เลิกอยู่แบบนี้ เกรงว่าน้องสาวนายจะไม่รอด”

จูเฟิ่งปินเงยหน้ามองหลี่ฝาง “ให้ผมเจอหน้าน้องสาวสักหน่อยเถอะ ผมสงสัยว่าเธอโดนจับตัวไป”

“ทำไม สร้อยเส้นนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้อีก?” หลี่ฝางถาม

จูเฟิ่งปินส่ายหน้า “พิสูจน์ไม่ได้ทั้งหมด”

หลี่ฝางหัวเราะ “ถ้านายบอกฉันมาสักครึ่งนึง ฉันจะให้นายคุยกับน้องสาวครั้งนึง”

จูเฟิ่งปินลังเลเล็กน้อย “มู่เสี่ยวไป๋เคยฆ่าคนคนนึง เขาเป็นคนใหญ่คนโต ถ้าพูดชื่อออกมา ตระกูลมู่จะได้มอดไหม้ราวกับตกนรกขุมสุดท้าย”

“ใคร?” หลี่ฝางไล่ถาม

จูเฟิ่งปินพูด “ให้ผมเจอหน้าน้องสาว”

“ฉันแค่บอกว่าจะให้นายคุยโทรศัพท์” หลี่ฝางพูด

พูดจบ หลี่ฝางก็เดินออกมาเจอส้าวส้วยด้านนอก ส้าวส้วยมองหน้าหลี่ฝางแล้วถาม “ได้เรื่องว่ายังไงบ้างครับ?”

“เขาพูดแม่แค่ครึ่งเดียว มู่เสี่ยวไป๋เคยฆ่าคนคนนึง เป็นคนใหญ่คนโต” หลี่ฝางขมวดคิ้ว “ฉันสงสัยว่าเขาจะแต่งเรื่อง”

“เขาตะงิดใจแล้วว่าเราไม่ได้รับตัวน้องสาวกลับมา” หลลี่ฝางพูด “ฉันรู้สึกได้ อีกอย่างตอนที่ฉันขู่ก็ไม่ค่อยมีพลังมากพอ”

“เผยไต๋แล้วหรอครับ? แต่ก็ไม่แปลก ถ้าเรามีตัวน้องสาวของเขาจริง คงเอาตัวมาโชว์ให้ดูแล้ว ไม่ใช่ลีลาเล่นแง่อยู่แบบนี้”

ส้าวส้วยหัวเราะหึๆ “ไม่ต้องห่วงครับ ตราบใดที่จูเฟิ่งปินยังไม่ตาย เราจะงัดคำพูดในปากของเขาออกมาให้จงได้”

“เมื่อกี้ฉันรับปากตูเฟิ่งปินว่าจะให้เขาคุยกับน้องสาว” หลี่ฝางพูด “ฉันคิดแผนไว้ ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่า”

“ลองพูดมาสิครับ” ส้าวส้วยพูด

หลี่ฝางเข้าไปกระซิบข้างหูส้าวส้วย เล่าถึงแผนการให้ฟังเสียงเบา หลังฟังจบ นัยน์ตาของส้าวส้วยก็เป็นประกาย “ใช้ได้นี่ เจ้านายฉลาดขึ้นแล้ว ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังคิดออกมาได้”

เมื่อถูกชม หลี่ฝางก็เอามือขึ้นมาลูบท้ายทอยด้วยความเขินอาย “จริงๆฉันก็ไม่ได้ฉลาดขึ้นหรอก แค่ได้ไอเดียมาจากหนังที่เคยดู”

“เหอะๆ แค่สามารถคิดเรื่องแบบนี้ได้ในเวลาคับขันแบบนี้ ก็เก่งแล้วครับ” ส้าวส้วยหยักหน้ายิ้มๆ

หลังจากที่ได้รับคำชมจากส้าวส้วย หลี่ฝางก็เริ่มลงมือ

“แม้จะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็คุ้มค่าจะลอง”

ส้าวส้วยพูด “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะล่อให้จูเฟิ่งปินพูดความลับออกมา ถ้าไม่สำเร็จ เราคงจำเป็นจะต้องไปเอาตัวน้องสาวเขามาจากมือของมู่เสี่ยวไป๋”

พูดจบ ส้าวส้วยก็ล้วงเอาโทรศัพท์ของจูเฟิ่งปินออกมาจากกระเป๋า

“พวกมันโทรมาตั้งหลายสายแล้วครับ” ส้าวส้วยพูด “ดังไม่หยุด แต่ผมไม่ได้รับ”

เมื่อจับตัวน้องสาวไป สิ่งแรกที่มู่เสี่ยวไป๋จะทำ แน่นอนว่าคือโทรหาจูเฟิ่งปิน

“นี่คือข้อความที่มู่เสี่ยวไป๋ส่งมาเมื่อสามนาทีที่แล้ว”

ส้าวส้วยเปิดข้อความออก ในนั้นมีรูปที่น้องสาวของจูเฟิ่งปินถูกจับแช่ไว้ในบ่อน้ำร้อนในสภาพเปลือย

น้ำในบ่อน้ำร้อนนั่นกำลังก่อคลื่น ดูก็รู้ว่าเพิ่งจะเปิดระบบทำความร้อน

หลี่ฝางดูรูปนั้นก็ขมวดคิ้ว รู้สึกขนลุกขนพอง

ไอ้มู่เสี่ยวไป๋นี่มันกำลังจะต้มคนทั้งเป็น

ที่ด้านล่างยังมีข้อความ ที่เนื้อหารวมๆก็คือให้จูเฟิ่งปินฆ่าตัวตาย แล้วน้องสาวของเขาถึงจะมีโอกาสรอด

ส้าวส้วยขมวดคิ้ว ตอนนี้เอง จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

ส้าวส้วยลากหลี่ฝางมาในห้องห้องนึง แล้วส่งไดร์เป่าผมให้หลี่ฝาง

“เจ้านาย เดี๋ยวพอผมรับสาย เอาไดร์นี่เป่าโทรศัพท์ ทำเสียงรบกวนให้ได้มากที่สุด” ส้าวส้วยพูด

“ทำไม?” หลี่ฝางไม่ค่อยเข้าใจ

“ผมจะเลียนเสียงจูเฟิ่งปิน ถ้ามีเสียงรบกวน อีกฝ่ายก็จะแยกแยะได้ยาก อีกเดี๋ยวผมจะอัดเสียงน้องสาวของเขา”

พูดจบส้าวส้วยก็กดรับสาย หลี่ฝางรีบกดเปิดไดร์ แล้วเลือกระดับลมแรงสุด หลี่ฝางได้ยินเสียงที่ดังมาจากปลายสาย “จูเฟิ่งปินทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์เอาป่านนี้วะ? ทำไม อยากให้น้องมึงตายนักใช่ไหมวะ”

ส้าวส้วยบีบลูกกระเดือก “ฉันจะคุยกับน้องฉัน”

“สัx ทำไมเสียงมันดังจังวะ? หาที่เงียบๆคุยไม่ได้หรือไง?” เสียงปลายสายส่อความไม่พอใจ

“ฉันแอบมาคุย ฉันเองก็โดนจับ” ส้าวส้วยพยายามบีบเสียง

หลี่ฝางมองส้าวส้วยด้วยความอึ้ง เสียงของส้าวส้วยมาถึงจุดที่แยกไม่ออกแล้วว่าจริงหรือปลอม เขาเลียนแบบได้เหมือนสุดๆ

ปลายสายไม่สงสัยใดๆ “ได้ กูจะให้น้องมึงรับสาย แต่บอกไว้ก่อนนะว่ามึงต้องตาย เข้าใจไหม แล้วบอกกูมาด้วยว่าของพวกนั้นซ่อนไว้ที่ไหน”

“รวมถึงตำแหน่งของโกดัง” อีกฝ่ายพูด

“ให้น้องฉันรับสาย ฉันต้องแน่ใจว่าเธอยังปลอดภัย” ส้าวส้วยบีบสียงพูด

ฝั่งนั้นยอมรับคำขอของส้าวส้วย จากนั้นพวกมันก็ส่งโทรศัพท์ของน้องสาวของจูเฟิ่งปิน น้องสาวของเขาอายุยังน้อย พอต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ จึงเสียขวัญเป็นอย่างมาก

“คุยกับพี่ชายซะสิ!”

วินาทีที่น้องสาวของจูเฟิ่งปินรับโทรศัพท์มา เสียงร้องโอดครวญก็ดังใส่โทรศัพท์ทันใด “พี่ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูที พวกเขาจะฆ่าหนู”

จากนั้นพวกมันจะแย่งโทรศัพท์ไปจากมือของน้องสาวจูเฟิ่งปิน

“รีบส่งที่อยู่โกดังมาซะ รวมทั้งบอกที่ซ่อนของมาด้วย หลังจากนั้นก็รีบไปตาย” เสียงเย็นชาจากปลายสายพูดจบ ก็วางหูโทรศัพท์ไป

หลี่ฝางขมวดคิ้ว เขาพูดด้วยความโมโหนิดๆ “แม่มึง ไอ้จูเฟิ่งปินมันโกหกจริงๆด้วย”

“มู่เสี่ยวไป๋เป็นคนระวังตัว นอกจากคุณแล้ว มันก็ไม่เคยล้ำเส้นใส่คุณชายคนไหน อีกอย่างในเมืองเอกนี้ถ้าไม่นับสี่ตระกูลใหญ่ จะมีใครใหญ่โตเท่ามู่เสี่ยวไป๋อีก? ไม่มีความน่าเชื่อถือตั้งแต่อ้าปากแล้ว”

ส้าวส้วยพูด “ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า จูเฟิ่งปินมีของจำนวนนึงอยู่ในมือ แถมมันยังรู้ที่อยู่ของโกดังอีก”

หลี่ฝางพยักหน้า “โกดังที่ว่า แม้แต่มู่เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่รู้”

หลี่ฝางแทบไม่อยากจะเชื่อ สถานที่ซ่อนของที่แม้แต่มู่เสี่ยวไป๋ยังไม่รู้ แต่ลูกน้องแบบจูเฟิ่งปินกลับรู้

“คุณกลับไปหาจูเฟิ่งปินเถอะ อีกแป๊บนึงค่อยโทรหาผม ขอเวลาห้านาทีผมจะจัดการกับคลิปเสียงให้เรียบร้อย” ส้าวส้วยพูด

หลี่ฝางตอบรับคำนึง แล้วเดินกลับเข้าโรงแรมเอื่อยๆ

เวลานี้ หลี่ฝางชักไม่แน่ใจแล้วว่า จูเฟิ่งปินคนนี้จะเป็นแค่ลูกน้องกระจอกๆจริงหรอ?

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องของจูเฟิ่งปิน เจ้าตัวเองก็กำลังรอหลี่ฝางอยู่ที่หลังบานประตูแล้ว ทันทีที่เห็นหลี่ฝาง จูเฟิ่งปินก็รีบเอ่ยถาม “โทรศัพท์ล่ะ?”

“ฉันไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของนายอยู่ไหน เดี๋ยวใช้โทรศัพท์ของฉันโทรแล้วกัน” หลี่ฝางกำลังประวิงเวลา นับจากที่เดินแยกมาจากส้าวส้วย จนเดินกลับเข้ามาที่ห้อง น่าจะผ่านไปแปดนาทีได้แล้ว

ดังนั้น ส้าวส้วยเองก็น่าจะจัดการกับคลิปเสียงแล้วเรียบร้อย

“ฉันจะให้นายฟังเสียงของน้องสาว” หลี่ฝางล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรหาส้าวส้วย

ทันทีที่กดโทรออก สีหน้าของจูเฟิ่งปินก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา

จูเฟิ่งปินจับตามองโทรศัพท์ไม่ห่าง ขนาดที่มีความคิดจะแย่งโทรศัพท์เข้ามาในหัว แต่หลังจากที่เสียงร้องโอดครวญพร้อมกับคำพูดที่ว่า’พี่ชายช่วยด้วย’ดังขึ้น หลี่ฝางก็กดวางสายทันที ปากไม่วายแสร้งบ่น “ไอ้พวกนั้นทำบ้าอะไรของมัน?”

หลังจากก่นด่าไปคำนึง หลี่ฝางก็มองหน้าจูเฟิ่งปิน ด้วยใบหนาสำนึกผิดที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษทีไอ้น้อง ฉันให้พวกมันดูแลน้องสาวนายอย่างดีแล้วแท้ๆ แต่ใครจะคิด…”

“พูดจริงๆฉันเองก็ไม่รู้ว่าไอพวกนั้นทำอะไรน้องสาวนายไปบ้าง เธอถึงได้ร้องขอชีวิตทันทีที่รับสายแบบนั้น” หลี่ฝางพูดด้วยท่าทีเสแสร้ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท