NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่611 หลอซ่าลงมือแล้ว

บทที่611 หลอซ่าลงมือแล้ว

หลี่ฝางรู้สึกได้ว่า ความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้ สุดยอดกว่า คนกลุ่มนั้นที่ตอนนั้นเจอที่ตระกูลจูเก่อ

ถึงแม้คนกลุ่มนี้ ล้วนแต่เป็นคนวัยกลางคนหรือคนแก่ มีเพียงคนหนุ่มอยู่ในนั้นคนเดียว

แต่คนพวกนี้ จะต้องเจ๋งมากแน่ๆ

ไม่อย่างนั้น พ่อตัวเอง แล้วก็ส้าวส้วย ไม่มีทางกังวลมากขนาดนั้นแน่

โหจื่อมองชายชรากลุ่มนี้ แล้วหัวเราะเหอะเหอะ:“นี่กากเดนของตระกูลจูเก่อใช่ไหม?ไพ่ใบสุดท้าย?”

“ถือว่าใช่แหละ”ส้าวส้วยพยักหน้า

“ไม่ถือว่าแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอไป”ส้าวส้วยวิจารณ์เบาๆ:“คนที่นำพวกมา จัดการยากหน่อย”

โหจื่อเม้มปาก พูดว่า:“มองออก”

กังฟูในมือของโหจื่อ ไม่ได้แข็งแกร่งมาก เขาพอๆกับเจ้าหัวแบน แน่นอนว่า วันนั้นตอนที่ประลองยุทธที่สถานตากอากาศ โหจื่อ อ่อนให้อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้อ่อนให้มากนัก

ทักษะที่ดีที่สุดของโหจื่อ ก็คือการแม่นปืนของเขา

หลี่ฝางมองไปที่โหจื่อ ถามเสียงทุ้มต่ำว่า:“ถ้าคุณใช้มือ คุณคิดว่า คุณสู้คนที่นำพรรคพวกมานั่นได้ไหม?”

“พูดยาก ถ้าแอบโจมตี ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าประชิดตัว ก็พูดยาก ต่อหน้าปรมาจารย์ บางครั้งโอกาสที่คุณจะใช้อาวุธลับยังไม่มีเลย แล้วนับประสาอะไรกับหยิบปืน”

โหจื่อพูดเบาๆ:“แต่ว่า ความแม่นปืนของผมอยู่ขั้นเทพ ถ้าสู้จริงๆ คนที่ตาย ต้องเป็นเขาแน่”

“อย่าดูถูกเขานัก ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เขา พวกเราคงไม่ต้องหนี วินาทีสุดท้ายนั้น เป็นเขาที่บีบให้ลูกพี่ต้องหนี”ส้าวส้วยกลอกตาใส่โหจื่อ แล้วพูด

ใบหน้าของโหจื่อเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ จึงทำเสียงฮึดฮัดไป:“ผู้ชายคนนี้ เป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำช้าไร้ยางอาย ยังดีที่เขายังเป็นนักศิลปะการต่อสู้คนหนึ่ง ความชอบธรรมในตัวไม่มีเลยสักนิด”

“ตอนนั้นลูกพี่ของพวกเรา ร่างกายก็เหนื่อยจนเพลียอยู่แล้ว แต่หลังจากเขามา ก็ยังพาปรมาจารย์มาด้วยคนหนึ่ง แม่เอ๊ย ทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ยังสู้ลูกพี่ของพวกเราไม่ได้ แล้วยังถูกลูกพี่พวกเราฆ่าตายคนหนึ่งอีก”โหจื่อพูดด้วยใบหน้าดูถูก

“เห้อ ก็ตอนนั้นคนที่ด้านหลังเขายืนอยู่เยอะ ไม่อย่างนั้น เขาต้องไม่รอดแน่”

โหจื่อพูดจบ ประตูรถของออดี้ a4 คันนั้น ก็ถูกเปิดออก

หลอซ่าลงมาจากรถ ใบหน้า สวมหน้ากากผีนั้น

“ห่า ไม่มั้ง?ลูกพี่จะลงมือด้วยตัวเองเหรอ?”เห็นหลอซ่าออกมา ปากของโหจื่อ ก็กลายเป็นตัว O ทันที

และสีหน้าของส้าวส้วย จู่ๆก็เคร่งขรึมทันที

“นานแล้วที่ไม่เห็นลูกพี่ลงมือ”

ส้าวส้วยพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ:“ผมกำลังเตรียมเสื้อที่ตัว ถอดทิ้งให้หมดอยู่พอดี ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ต้องแล้วมั้ง”

หลอซ่าไม่ลงมือ ถ้าลงมือต้องฆ่าคน

นี่คือเรื่องหนึ่งที่เมื่อสามปีก่อนใครต่อใครในยุทธภพต่างรู้

ส้าวส้วยกับโหจื่อ ต่างตกใจหน่อยๆ ยังไงก็นานแล้วที่พวกเขาเห็นหลอซ่าลงมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากส้าวส้วยถูกหลอซ่าฝึกไป ศัตรูส่วนมาก ก็ปล่อยให้ส้าวส้วยมาจัดการ

แต่ครั้งนี้ หลอซ่าดันสวมหน้ากากผี ทำให้ส้าวส้วยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจริงๆ

“หลอซ่า ไม่เจอกันนาน”จูเก่อเหย่มองหลอซ่า พูดเบาๆ

“แค่สามปี”

ในเสียงของหลอซ่าไม่มีความรู้สึกใดๆ:“คุณอยู่มาสามปี น่าจะชื่นชมยินดี”

“เหอะเหอะ น้ำเสียงก็ยังดังขนาดนี้ สามปีนี้ ผมฝึกอย่าลำบากมานาน ก็เพื่อชำระล้างความอัปยศในวันนั้น”จูเก่อเหย่หัวเราะ พูดว่า:“สุภาษิตว่าไว้อย่างดี ไม่เจอกันสามปีนี้ ต้องมองด้วยสายตาที่ทึ่งแล้ว ทำไม หน้าของคุณถูกหน้ากากปกคลุมแล้ว แม้แต่ตา ก็ถูกคลุมด้วยไหม?”

“อีกอย่าง เอาแต่สวมหน้ากากนี้ขู่คนเหรอ?หน้าตาของคุณ ถูกเปิดเผยไปเมื่อสามปีก่อนแล้ว ทำไม ไม่ชอบที่ตัวเองหน้าตาขี้เหร่ ไม่กล้าไปพบเจอผู้คน?”

จูเก่อเหย่หัวเราะเหอะเหอะขึ้นมา:“ถอดดีกว่านะ”

“ในเมื่อคิดว่าสามปีนี้ตัวเองก้าวหน้า มีความแข็งแกร่งจะสู้กับลูกพี่พวกเรา แล้วทำไมต้องพาคนมาตั้งเยอะ?ไม่ใช่เพราะว่ากลัวเหรอ?”

“ดูคุณสิ อายุมากขนาดนี้แล้ว ทำไมหน้าไม่อายอย่างนี้”

โหจื่อหัวเราะอย่างเย็นชา:“สามปีก่อน พวกคุณเคลื่อนพลตั้งกี่คนเพื่อนมาจัดการลูกพี่พวกเรา แล้วก็คุณ ถ้าไม่ใช่ว่าครั้งสุดท้ายขอร้องลูกพี่พวกเรา จะรอดอยู่จนตอนนี้เหรอ?”

“ลืมแล้วเหรอว่าตอนนั้นแพ้อย่างไร?ใช่หรือไม่ แล้วยังกล้ามาท้าทาย หน้าไม่อายหรือไงกัน”

โหจื่อพูดอย่างดูถูก:“ผมไม่ได้ว่าคุณนะ ถ้าผมเป็นคุณ ก็จะรีบวิ่งหนีหางจุกตูดเลย ยิ่งอยู่ไกลจากลูกพี่พวกเราก็ยิ่งดี แบบนี้ล่ะก็ คุณก็จะได้อยู่อีกหลายปี”

“อะไรนะ ความหมายของประโยคนี้คือ ดูเหมือนว่าจูเก่อเหย่แพ้เมื่อสามปีก่อน”

ทันใดนั้น ในใจของชายชรากลุ่มนี้ ก็มีความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“จูเก่อเหย่กับฟางสงร่วมมือกัน ก็ยังสู้คนๆนี้ไม่ได้ งั้นความแข็งแกร่งของคนนี้ ไปถึงระดับไหนกันแน่เนี่ย?”

ตอนนี้ ชายชรากลุ่มนี้ฝึกศิลปะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นคนแบบนี้

สู้ชนะฟางสงกับจูเก่อเหย่ได้ด้วยมือเปล่า แล้วยังฆ่าอีกคนหนึ่งตายอีก

แป๊บเดียว หัวใจของคนพวกนี้ ก็กระวนกระวาย รู้สึกขี้ขลาด ส่วนจูเก่อเหย่ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว พูดว่า:“เหอะเหอะ สามปีก่อน ที่วิ่งหนีหางจุกตูด ไม่ใช่ผม แต่เป็นพวกคุณต่างหากล่ะ?”

“เป็นพวกเราจริงๆ แต่อย่าลืมล่ะด้านหลังคุณยังมีคนยืนอยู่อีกเท่าไหร่น่ะ แม้กระทั่งว่าในมือยังถือปืน แม่เอ๊ย คุณมันหน้าด้าน ทั้งตระกูลของคุณ ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ต่างหน้าด้าน ตอนนั้นบอกว่าประลองยุทธ แต่พวกคุณ กลับใช้ปืน”

ใบหน้าโหจื่อมีความโมโหหน่อยๆ เกือบจะหยิบปืนออกมา แต่พอคิดๆดู ก็ทนเอาไว้อีกครั้ง

“สู้มาเลยสิ”

เวลานี้ จู่ๆหลอซ่าก็พูด ก้าวเท้าเดินหน้าไปสองสามก้าว จูเก่อเหย่กลับถอยหลังไปสองสามก้าว อย่างไม่รู้ตัว

จูเก่อเหย่ถอยหลัง ชายชราพวกนั้น ก็ถอยตามไป

เป็นแบบนี้ หลอซ่าคนเดียว ข่มปรมาจารย์ฝีมือชั้นสูงให้ถอยไปกว่าสิบกว่าคนได้

ฉากนี้ น่าขันสุดๆ

ถ้าถูกคนฝึกศิลปะการต่อสู้คนอื่นๆเห็นล่ะก็ กลัวว่าคงจะประหลาดใจอย่างมาก

จูเก่อเหย่ขมวดคิ้ว ตระหนักได้ว่าตัวเองเสียสติแล้ว เขามองหลอซ่า พูดอย่างเย็นชา:“ทำไม คุณคิดจะล้อมพวกเราทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวเหรอ?”

“สามปีก่อน ไม่ใช่แบบนี้หรือไง?”

“วัยรุ่นฝีมือดีตระกูลจูเก่อหลายสิบคน โจมตีมาที่ผมพร้อมกัน ……ทำไม หรือว่า ตอนนี้ตระกูลจูเก่อมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีแล้ว จะสู้กับผมตัวต่อตัว?”

หลอซ่าหัวเราะอย่างเยาะเย้ย พูดอย่างประชดประชันหน่อยๆ:“โอเค จูเก่อเหย่ ถ้าคุณมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีนี้ ยอมสู้กับผมตัวต่อตัวล่ะก็ ผมไม่เอาคุณตายก็ได้”

จูเก่อเหย่กลืนน้ำลาย ขาดความมั่นใจหน่อยๆ

ถึงแม้หลายปีนี้ จูเก่อเหย่จะฝึกฝนมาอย่างหนัก มีความแตกฉานใหม่ๆในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่การต่อสู้ที่น่ากลัวของหลอซ่าเมื่อสามปีก่อน ก็ยังทำให้จูเก่อเหย่รู้สึกกลัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอซ่าในตอนนี้ แข็งแกร่งข่มขี่คนแบบนี้ ยิ่งทำให้จูเก่อเหย่รู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น

หลอซ่านี้ จะท้าทายพวกเขาทุกคน ด้วยพลังของคนๆเดียว?

จูเก่อเหย่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่บ้าไปแล้วหรือไง?

หรือว่าหลอซ่ามองไม่ออกเหรอว่าคนที่ตัวเองพามา ล้วนแต่เป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้มาหลายสิบปีแล้ว แล้วยังเป็นปรมาจารย์อีก?

ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่ม ที่เกิดในตระกูลศิลปะการต่อสู้ และยังชอบฝึกศิลปะการต่อสู้ การฝึกคือชีวิต หลุดพ้นออกจากสังคมนี้

“ช่างเย่อหยิ่งยโสเสียจริง”

ชายชราคนหนึ่งเดินหน้าเข้าไปหนึ่งก้าว ดวงตานกอินทรีคู่นั้น มองหลอซ่าด้วยสายตาคมกริบ:“ผมเดินอยู่ในยุทธภพนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นคนที่เย่อหยิ่งเช่นนี้”

“เย่อหยิ่ง?”

หลอซ่าส่ายหน้า:“ไม่ใช่ผมที่เย่อหยิ่ง แค่พวกคุณดูเหมือนสุดที่จะรับได้ก็เท่านั้นเอง กลุ่มคนที่เตรียมจะเข้าโลงอยู่แล้ว ทำไมต้องออกมาสู้อีก”

หลอซ่าพูดจบ มองชายชราคนนี้:“ถ้าคุณคิดว่าผมเย่อหยิ่ง งั้นคุณก็มาดับความเย่อหยิ่งของผมเสียสิ”

หลอซ่าพูดไป ก็ยื่นมือไปข้างหนึ่ง

“พี่ พี่ไปลองจัดการเขาดูไหมล่ะ”จูเก่อเหย่มองชายชราคนนี้ หัวเราะ แล้วพูด

ชายชราคนนี้ ก็รู้สึกอับอายต่อหน้าผู้คนทันที

คนที่ทำให้จูเก่อเหย่กับฟางสงร่วมมือกันแล้วแต่ยังแพ้พ่าย แล้วเขาจะไปเป็นคู่ต่อสู้ได้ไงกัน?

จูเก่อเหย่นี้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการผลักตัวเองไปที่ขอบหน้าผาหรอกเหรอ?

ชายชรามีสีหน้าหม่นลง ขมวดคิ้ว:“จูเก่อเหย่ คุณจะให้ผมไปเป็นกองหน้าเหรอ?”

“เหอะเหอะ ก็แค่ให้คุณไปลองเขาดูเท่านั้น วางใจเถอะ พวกเราอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ถ้าคุณมีอะไรผิดปกติ ผมจะไปช่วยคุณทันที”

จูเก่อเหย่หัวเราะหึหึ:“วางใจเถอะน่า ผลประโยชน์ดีๆ ผมไม่ให้คุณน้อยแน่ หลานชายคุณไม่ใช่ว่าเรียนต่างประเทศเหรอ เดี๋ยวผมจัดการให้คุณเอง”

จูเก่อเหย่พูดจบ ชายชรานั้นก็พยักหน้า พูดว่า:“จูเก่อเหย่ คุณต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ”

“วางใจเถอะ”จูเก่อเหย่พยักหน้า

“ไม่ใช่แค่ต่อหลานชายผม แต่ต้องปฏิบัติต่อผมด้วย ผมยังใช้ชีวิตไม่พอเลย”ชายชราพูดคำนี้ไป เท่ากับว่าบอกทุกคนอย่างมาต้องสงสัย ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลอซ่า

หลอซ่าส่ายหน้า พูดอย่างทนไม่ไหว:“พร่ำเพรื่อจริงๆเลย”

พูดไป หลอซ่าก็เดินก้าวใหญ่ไปสองสามก้าว ทันใดนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าของชายชรา

ชายชราตาเบิกโต จูเก่อเหย่ก็อ้าปากค้าง ทุกคนต่างตกใจ นี่คือใครกัน?

เดินมาเองเลยด้วย?

ทางนี้เป็นถึงปรมาจารย์หลายสิบคน

นี่ไม่ใช่คำพูดที่มากเกินไป ทุกคนก็เริ่มเชื่อแล้วว่า หลอซ่านี้ ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาจริงๆ

หลอซ่ามองชายชราคนนี้ แล้วถาม:“คุณจะสู้ไหม?”

“สู้……”สีหน้าชายชรานิ่งไปแล้วพูดออกมาคำหนึ่ง มองหลอซ่าแล้วถาม:“คุณมาได้ไง?”

“ผมกลัวห่างเกินไป จูเก่อเหย่มาช่วยคุณไม่ทัน”

หลอซ่าพูดเบาๆจบ ก็ยื่นมือออกไป ฝ่ามือเขาตบออกไป ความเร็วไม่ได้เร็วมากนัก ให้เวลาชายชราตอบสนองเต็มที่ มือทั้งสองของชายชรานี้พัวพัน พยายามขวางฝ่ามือของหลอซ่านี้

“ผมบอกแล้วไง คุณแก่แล้ว”

หลอซ่าพูดไปหัวเราะไป:“แก่แล้ว แรงก็ไม่มีแล้ว”

ฝ่ามือที่ดูเหมือนจะเบา แต่หลอซ่ากลับตบไปที่หน้าอกของชายชรา ตบออกไปไกลหลายเมตร

สองมือของชายชรา ไม่ใช่แค่ขวางหมัดของหลอซ่าไม่ได้ แต่ยังถูกฝ่ามือปล่อยออกไปไกลหลายเมตร ฉากนี้ ผู้คนมองเห็นในสายตา ต่างรู้สึกตกใจ

ชายชราไม่หยุดถอยหลัง ฝืนยืนให้มั่นไว้

“ดูเหมือนสามปีนี้ คุณก็ก้าวหน้าแล้ว”หลังจากเห็นฉากนี้ จูเก่อเหย่ก็ขมวดคิ้ว

ความแข็งแกร่งของชายชรานี้ จะว่าแข็งแกร่งก็ไม่แข็งแกร่ง บอกว่าอ่อนแอ ก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ

แค่ฝ่ามือเดียวก็ตบออกไปหลายเมตร จูเก่อเหย่นี้ คิดไปเองว่าสามารถทำได้ แต่ต้องใช้กำลังทั้งหมด แต่ที่หลอซ่าลงมือไปเมื่อกี๊ มองไปแล้วไม่ได้ใช้กำลังเท่าไหร่นัก

ไม่ได้ใช้กำลังไปมากเท่าไหร่ก็ปล่อยฝ่ามือออกไปได้ นี่อย่างมากก็ใช้กำลังของตัวเองไปครึ่งหนึ่ง

จูเก่อเหย่รู้ว่า สามปีนี้ ถึงแม้ตัวเองจะผ่านการฝึกฝนที่ลำบาก แต่สุดท้ายตัวเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลอซ่า

และระยะห่าง ก็ไม่น้อยด้วย

แต่ในใจของจูเก่อเหย่ ไม่มีความรู้สึกกังวลและกลัว เพราะว่าภายใต้ความแข็งแกร่งของหลอซ่าแบบนี้ ไม่มากพอที่จะเอาชนะเขากับคนด้านหลังเขาจำนวนมากขนาดนี้แน่

แค่ทุกคนลุยไปพร้อมกัน หลอซ่า แพ้แน่นอน

“แข็งแกร่งเสียจริง”

ทุกคนมองหลอซ่า แล้วก็พูดวิจารณ์:“มาน่าล่ะถึงได้เย่อหยิ่งแบบนี้”

“แต่ว่า แค่คุณคนเดียว สู้กับพวกเราทั้งหมด กลัวว่า จะเป็นไปไม่ได้น่ะสิ”

“ความแข็งแกร่งแบบนี้ บนยุทธภพ เจอได้น้อย ผมอยู่ที่ยุทธภพมาหลายปี ก็เคยเจอแค่คนสองคนเท่านั้น คนแบบนี้หากไม่ได้มาจากความเป็นอัจฉริยะ ก็บ้าระห่ำ”

“แต่ดูคุณแล้ว กลับดูปกติมาก”

ท่ามกลางผู้คน หลังจากผู้คนและเหล่าคนแก่เห็นความแข็งแกร่งของหลอซ่า ก็วิจารณ์กันเงียบๆ

สุภาษิตว่าไว้ว่า คนเจ๋งจริงไม่ต้องพูดเยอะทำให้ดูเลย ถ้าเจ๋งจริงก็จะรู้เอง

การลงมือของหลอซ่าเมื่อกี๊ ทำให้พวกเขาวิเคราะห์ออกมา ต่อความแข็งแกร่งของหลอซ่า

“ดูเหมือน คืนนี้จะมีผู้มีความสามารถพิเศษด้านศิลปะการต่อสู้คนหนึ่ง ตกมาอยู่นี่”

ชายชราคนหนึ่งมองหลอซ่า พูดเบาๆ:“ไม่กำจัดคุณ ก็จะเป็นฝันร้ายของพวกเรา”

จูเก่อเหย่กำชับตาม:“ใช่ เขาเด็กกว่าพวกเราสิบกว่าปี ความแข็งแกร่งกลับน่ากลัวเช่นนี้ ทุกคนลุยไปพร้อมกัน กำจัดเขา วันข้างหน้าจะได้ไม่มีปัญหาตามมา”

ตอนนี้เอง ชายชราคนนั้นที่ถูกหลอซ่าทำร้าย ทันใดนั้นในปากก็กระอักเลือดสดออกมา

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน