NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่624 มู่เสี่ยวไป๋คิดจะฆ่าส้าวส้วย

บทที่624 มู่เสี่ยวไป๋คิดจะฆ่าส้าวส้วย

เริ่มจากวินาทีนี้ หลี่ฝางก็เข้าใจทันที ว่ามู่เสี่ยวไป๋ไม่ได้ล้อเล่นกับตัวเอง แต่เขามีความตั้งใจที่จะร่วมมือ และเป็นเพื่อนกับตัวเองจริง ๆ

แต่ว่า ให้ปล่อยวางเรื่องราวอคติในอดีต มันง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?

พรรคพวกของเฉินฝูเซิง ต่างก็ตายในเงื้อมมือของชางสู่ หรือว่าความแค้นนี้จะไม่ชำระแล้วเหรอ?

หลี่ฝางพยักหน้า กล่าว: “พอใจมาก”

“งั้นต่อมา พวกเราก็คุยเรื่องร่วมมือกันได้แล้ว หมู่เสี่ยวไป๋พยักหน้า พลางกล่าว

แต่หลี่ฝางกลับหัวเราะเหอะ ๆ แล้วส่ายหน้า: “ฉันรับปากร่วมมือกับแกตั้งแต่ตอนไหนกัน?”

สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋พลันเคร่งขรึมลง เขาจ้องมองหลี่ฝาง: “แกคิดว่าฉันปั่นหัวเล่นง่ายใช่ไหม?”

“ก็ใช่ไง แกปั่นหัวเล่นง่ายจริง ๆ นี่นา” หลี่ฝางพยักหน้าพลางกล่าว

มู่เสี่ยวไป๋โมโหมากจนบริเวณหน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงแรง ๆ

ณ เวลานี้ มู่เสี่ยวไป๋ใช้สายตาแห่งความอาฆาตจ้องมองหลี่ฝาง: “หลี่ฝาง แกมันลูกไอ้ไง่ ฉันต้องการร่วมมือกับแกอย่างจริงใจ แกกลับปั่นหัวฉันเล่น? แกรู้ไหมว่าตอนนี้แกตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน? ทั่วทั้งเมืองเอกนี่ แกมีเพื่อนอยู่สักกี่คนกัน? พวกส้งเคอ หวงเจ๋ เฝิงจื่อหลินนั่น แต่เดิมก็เป็นพวกไร้จุดยืนไม่มีความแน่วแน่ แค่ซือถูเฟยหรือมู่หรงฉางเฟิงคนใดคนหนึ่งยืนออกมา พวกมันก็ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

“แต่ถ้ามีฉันอยู่ พวกเราจะกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง พอถึงเวลานั้น ตระกูลมู่และตระกูลหลี่ร่วมมือกัน ก็จะสามารถล้มสี่ตระกูลใหญ่ลงได้ สลายการควบความที่สี่ตระกูลใหญ่ใช้ควบคุมเมืองเอกมานานหลายปี……”

“หรือแม้แต่ บางทีอาจจะขึ้นแทนตำแหน่งพวกเขาเลยก็ได้”

มู่เสี่ยวไป๋กัดฟันกล่าว

ณ เวลานี้ ความทะเยอทะยานของมู่เสี่ยวไป๋ ก็ได้แสดงออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

มู่เสี่ยวไป๋เข้าใจสถานะของตัวเองเป็นอย่างดี ในภายนอก ซือถูเฟยและมู่หรงฉางเฟิงได้บอกกับเขา ขอเพียงแค่ล้มหลี่ฝางลงได้ เช่นนั้นตระกูลมู่ ก็จะกลายเป็นตัวแทนของสี่ตระกูลใหญ่

แล้วในความเป็นจริงล่ะ?

สี่ตระกูลใหญ่มีประวัติยาวนาน และยังมีความลับที่น้อยคนนักที่จะรู้ อีกสามตระกูล จะยอมให้ตระกูลมู่เข้าไปร่วมแบ่งผลประโยชน์ด้วยได้ยังไง?

มู่เสี่ยวไป๋รู้ดี ซือถูเฟยและมู่หรงฉางเฟิง แค่เพียงต้องการหลอกใช้เขาเท่านั้นเอง

ความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ได้เป็นความร่วมมือที่แท้จริงเลยสักนิด มันก็แค่การหลอกใช้ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้น มู่เสี่ยวไป๋เพื่อที่จะเอาอกเอาใจหลี่ฝาง ถึงขั้นด่าซือถูเฟยไปในสาย

หลี่ฝาง แกลองคิดดูดี ๆ มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง มันดีกว่ามีศัตรูเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนมากนะ” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวอีกครั้ง

สามารถดูออกว่า เขาไม่อยากที่จะวางมือจากการร่วมมือกับหลี่ฝางไปแบบนี้

หลี่ฝางไม่ได้ครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย เขาส่ายหัวในทันที: “ไม่ดีกว่า ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างง่าย ๆ ไร้เดียงสา แต่แก่กลับเป็นคนที่กลืนคนแบบไม่คลายกระดูก ร่วมมือกับแก ฉันกลัวต้องเหนื่อยใจน่ะ”

“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันร่วมมือกับแก แกจะให้ฉันอธิบายกับเฉินฝูเซิงยังไง?”

หลี่ฝางสายตาเย็นชา จ้องมองมู่เสี่ยวไป๋ พลางซักถาม: “พี่น้องของเขาตายไปคนหนึ่ง”

“ภายใต้การปะทะกัน จะต้องมีคนสละชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงแค่พี่น้องของเฉินฝูเซิงที่ตาย แล้วทางฝั่งฉันไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายหรือยังไง? ถึงแม้หวางต้องจะตายเพราะฉัน แต่ก่อนที่มันจะตาย ก็ได้ถูกเฉินฝูเซิงทำให้พิการไปแล้ว มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพี่ใหญ่ของฉัน……”

พูดถึงมู่เหวินตง มู่เสี่ยวไป๋ก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบไปมองส้าวส้วย: “เขาเป็นคนทำใช่ไหม?”

“เมื่อคืนพี่น้องของผมก็ตายไปคนหนึ่งเหมือนกัน” ในเวลานี้เอง ชางสู่ก็พูดแทรกขึ้นมา

ในขณะที่ชางสู่พูด สายตาก็จ้องเขม็งไปที่ส้าวส้วย เห็นได้ชัด เขาเองก็กำลังสงสัยว่าพรรคพวกของตัวเอง ก็ได้ตายในเงื้อมมือของส้าวส้วย

“ถ้าพูดถึงเรื่องสละชีพ การสละชีพทางฝั่งพวกเรา มากกว่าแกตั้งเยอะ ฉันยังละทิ้งอคติของฉันได้เลย ทำไมแกถึงทไม่ได้ล่ะ?”

“คนทำการใหญ่ จะไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย หลี่ฝาง ทำไมเหตุผลเพียงแค่นี้ แกยังไม่เข้าใจอีกล่ะ?” มู่เสี่ยวไป๋ถึงขนาดมองหลี่ฝางด้วยความโมโหเล็กน้อย

สายตาที่เขามองหลี่ฝาง ราวกับมองคนหัวดื้อ ที่ดื้อรั้นสุด ๆ แล้วก็ไม่มีสมองด้วย

เป็นที่ประจักษ์ หลังจากที่ตระกูลมู่และตระกูลหลี่ร่วมมือกัน จะได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้น มีอนาคตที่งดงามกว่าเดิม

ถ้าเป็นคนที่สมองปกติล่ะก็ ไม่มีทางที่จะปฏิเสธแน่นอน

หลี่ฝางคนนี้ สมองไม่มีรอยหยักหรือยังไง?

“ไม่รู้ว่ามังกรจะไม่อยู่ร่วมกันกับงูหรอ ”

ไม่รอให้หลี่ฝางเอ่ยปาก ส้าวส้วยพลันเอ่ยขึ้นมา

ในสายตาของฉัน ตระกูลมู่ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่คู่ควรที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเราด้วยซ้ำ พวกคุณไม่มีความสามารถนี้ และไม่มีคุณสมบัติพอ”

ส้าวส้วยจ้องมองมู่เสี่ยวไป และกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ ตะลึงงันไปสักครู่ จากนั้นก็หัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นมาอย่างเยือกเย็น เมื่อเผชิญหน้ากับการดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ภายในใจของมู่เสี่ยวไป๋จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

แม้แต่ที่สูงส่งอย่างสี่ตระกูลใหญ่ ยังไม่กล้าดูถูกตระกูลมู่ขนาดนี้เลย

แต่ส้าวส้วยเป็นเพียงบอดี้การ์ด กลับพูดให้ตระกูลมู่อย่างสุดจะทนได้แบบนี้

จุดจุดนี้ มู่เสี่ยวไปทนไม่ได้

“ผมรู้ว่าคุณไม่พอใจ แต่นี่คือความจริง คุณต้องยอมรับมันให้ได้” มู่เสี่ยวไปโมโหแทบตาย แต่ส้าวส้วยก็ยังคงพูดต่อไป โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของมู่เสี่ยวไป๋เลยสักนิด

“เหอะ ๆ ตลกจริง ๆ เลย”

“แค่คนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าจะปากดีขนาดนี้”

“ถ้าตระกูลหลี่ของพวกแกร้ายกาจอย่างที่แกพูดจริง แล้วทำไม่เมื่อสามปีก่อนถึงได้ถูกสี่ตระกูลใหญ่เล่นงานจนต้องหนีหัวซุกหัวซนล่ะ?”

มู่เสี่ยวไป๋เหน็บแนมกลับ

“สามปีก่อนก็คือสามปีก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้”

มองดูมู่เสี่ยวไป๋ แล้วส้าวส้วยก็ยิ้มกล่าว: “ความจริงแล้ว ถ้าพวกเราอยากจะทำลายตระกูลมู่ ก็สามารถทำลายได้ ที่ยังเอาพวกคุณไว้ แค่อยากฝึกฝนเจ้านายของเราเท่านั้นเอง”

“แกว่ายังไงนะ?”

คำพูดที่ออกมาจากปากของส้าวส้วย ตระกูลมู่นั้นอ่อนแออย่างมาก

ทำลายตระกูลมู่ ง่ายราวกับบีบลูกไก่ในกำมือ

มู่เสี่ยวไป๋กัดฟันจ้องมองส้าวส้วย แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น: “แกแม่งคุยโวโอ้อวดอะไรน่ะ?”

“อย่าคิดว่าตัวเองมีฝีมือเพียงเล็กน้อย ก็สามารถคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย ฉันจะบอกแกให้นะ……”

มู่เสี่ยวไป๋ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก แล้วกล่าวด้วยความอาฆาตอย่างสุดขีด: “ถ้าแกกล้าเหยียดหยามตระกูลมู่ของเราอีก เชื่อไหมว่าฉันจะจัดการแกในตอนนี้เลย”

“ผมไม่ได้เหยียดหยามตระกูลมู่ของพวกคุณ”

ส้าวส้วยยังคงกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง: “ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”

“ไม่เพียงแค่คุณ แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ สำหรับพวกเราแล้ว ก็ไม่ต่างกัน” ส้าวส้วยกล่าว

หลี่ฝางรู้สึกว่า คำพูดพวกนี้ที่ส้าวส้วยพูด ค่อนข้างจะขี้โม้ไปหน่อย

แต่ว่า ส้าวส้วยก็ไม่ใช่คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดอะไร

จ้องมองส้าวส้วยอยู่สักพัก มู่เสี่ยวไป๋พลันกำหมัดแน่น และทุบลงไปบนโต๊ะกาแฟ แล้วกล่าว: “ชางสู่ เรียกคนของแกเข้ามา แล้วจัดการกับไอ้คนปกดีนี่ เอามันให้ตาย”

เมื่อชางสู่ได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างพอใจ

เห็นได้ชัดว่า เขารอมาเวลานี้มานานแล้ว

ในที่สุดก็สามารถล้างแค้นให้กับพรรคพวกของตัวเองได้ วินาทีนี้ เป็นไปได้ยังไงที่ชางสู่จะไม่ดีใจ?

ชางสู่ผิวปากขึ้นมา คนที่อยู่ข้างนอก ก็วิ่งกรูเข้ามาทางร้านกาแฟทันที

“ฉันรู้ว่าแกร้ายกาจ แต่ว่ากังฟูอะไรนี่ เป็นสิ่งที่ถูกสังคมโละทิ้งไปแล้ว นอกเสียจากว่าแกจะเป็นเหมือนกับตำนานที่ฝันแทงไม่เข้า ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ วันนี้แกจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

มู่เสี่ยวไป๋กล่าวไป จากนั้นก็ส่งสายตา ให้กับคนที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง

เสียงพรึบดังขึ้น

กลุ่มคนพวกนั้นก็หยิบปืนออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“แกมีชื่อว่าส้าวส้วยสินะ?” จ้องมองส้าวส้วย มู่เสี่ยวไป๋ก็เอ่ยถามขึ้นมา

ส้าวส้วยพยักหน้า มู่เสี่ยวไป๋กล่าวต่อ: “อย่าหาว่าฉันไม่ให้โอกาสแก ตอนนี้ถ้าแกยอมคุกเข่าขอร้อง และขอโทษฉัน บางทีฉันอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้”

ส้าวส้วยยิ้ม และไม่ได้กล่าวอะไร

รอยยิ้มนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่ามีความเย้ยหยันปนอยู่

สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ เคร่งขรึมลงมาทันที: “แกยังจะยิ้ม?”

ณ เวลานี้ในสายตาของมู่เสี่ยวไป๋ เป็นที่ประจักษ์ว่าส้าวส้วยจะต้องตายอย่างแน่นอน มู่เสี่ยวไป๋อยากจะเห็นส้าวส้วยคุกเข่าอ้อนวอนตัวเอง เพื่อชดใช้ กับคำพูดปากดีของตัวเองเมื่อกี้ แต่คิดไม่ถึง ว่าส้าวส้วยจะไม่สนใจใจดีเลยแม้แต่น้อย

คนคนนี้ไม่กลัวตายจริง ๆ หรือว่า การเคลื่อนไหวของเขา จะเร็วกว่าลูกปืนจริง ๆ?

“ความตายกำลังมาเยือน แกยังยิ้มออกมาได้?”

ส้าวส้วยกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ให้เวลาผมสักห้านาทีจะได้ไหม?”

“เวลาห้านาที?” มู่เสี่ยวไป๋มองดูส้าวส้วย และเอ่ยถามอย่างงุนงง: “เวลาห้านาที แกจะทำอะไรได้?”

“ให้คุณยอมยกธงขาว” ส้าวส้วยกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“คิก ๆ ”

มู่เสี่ยวไปหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา เขาจ้องมองส้าวส้วย แล้วกล่าว: “อย่าว่าแต่ห้านาทีเลย ต่อให้เป็นครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ฉันก็ให้แกได้ ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าแกจะทำให้ฉันยอมแพ้ได้?”

หลังจากที่มู่เสี่ยวไป๋พูดจบ ก็ได้หันไปกล่าวกับหลิงหลง: “กาแฟคนละแก้ว เร็วหน่อย”

“พวกเรานั่งลงก่อน รอมันสักห้านาที”

ในเวลานี้ส้าวส้วยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพูดกับอีกฝั่งของสาย: “ปฏิบัติการ”

หลี่ฝางไม่รู้ว่าส้าวส้วยโทรศัพท์หาใคร แต่หลี่ฝางรู้ว่าส้าวส้วยคนนี้จะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจอย่างเด็ดขาด

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท