NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 623 ปั่นหัวมู่เสี่ยวไป๋

บทที่ 623 ปั่นหัวมู่เสี่ยวไป๋

“เจ้านายของผมมาไม่ทัน ดังนั้นจึงให้ผมมาก่อน” ชางสู่เดินเข้ามาทางร้านกาแฟอย่างช้า ๆ พายุฝนพัดกระหน่ำ ทำให้ซางสู่เปียกปอนไปทั้งตัว แต่ดวงตาของเขา กลับจ้องมองหลี่ฝางอย่างไม่กะพริบ

“นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของเรา

หลี่ฝางจ้องมองชางสู่ แล้วกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “เมื่อคืนในป่าเล็ก ๆ ของโรงเรียนมัธยมโบตั๋น พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง”

“เหอะ ๆ คุณชายหลี่พูดอะไรกัน ทำไมผมฟังไม่รู้เรื่องเลย เมื่อคืนผมนอนอยู่ที่บ้านตลอดทั้งคืน ไม่ได้ออกไปไหนเลย คุณชายหลี่ตาลายจำผิดคนหรือเปล่า?” ชางสู่แสยะยิ้มพลางกล่าว

“ฉันยังไม่แกถึงขนาดสายตาพร่ามัว ทุกคนต่างก็เป็นหมาป่า ทำไมต้องแกล้งเป็นแพะด้วยล่ะ?” หลี่ฝางจ้องมองชางสู่ แล้วกล่าวอย่างเย้ยหยัน

ชางสู่เดินมาข้างหน้าอีกหลายก้าว จนมาถึงด้านหน้าของหลี่ฝาง และมองส้าวส้วยแวบหนึ่ง: “นายก็คอยอดฝีมือคนนั้น?”

“อ่อนหัด อ่อนหัด” ส้าวส้วยกล่าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“หวางเห้าพูดถึงนายกับฉันตั้งหลายครั้งแน่ะ เขาบอกว่านายเป็นคนที่ฝีมือดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา” ชางสู่มองส้าวส้วยอย่างระมัดระวังเล็กน้อย พลางกล่าว: “หวางเห้าไม่ใช่คนที่ชอบคุยโวโอ้อวด”

“เข้าบอกกับฉันว่าไม่ว่าจะยังไง จะต้องระวังนายให้ดี” ชางสู่พูดกับส้าวส้วย

ส้าวส้วยยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไร

ชางสู่มาถึงข้างในของร้านกาแฟ แล้วนั่งลง: “ที่ร้านค่อนข้างเงียบ หรือว่าคุณชายหลี่ได้จองไว้ก่อนแล้ว?”

หลี่ฝางหันหลังกลับ แล้วมองชางสู่แวบหนึ่ง : “แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเจรจากับฉัน”

ชางสู่ไม่ได้โมโหแต่กลับยิ้ม: “คุณชายหลี่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้มาเจรจากับคุณ”

“ผมมาเพื่อมอบคนให้คุณต่างหาก”

ชางสู่กล่าวไป ก็หันไปทางด้านนอกแล้วผิวปาก บริเวณหน้าต่างของรถยนต์เชิงพาณิชย์คันนั้น มีหัวของคนคนหนึ่งถูกผลักออกมา

เป็นหัวของเด็กหญิงคนหนึ่ง

หลี่ฝางรู้ ว่านี่คือน้องสาวของจูเฟิ่งปิน

“ยังไงก็ขอให้คุณชายหลี่อย่าพึ่งรีบร้อนไป รอเจ้านายของพวกเราก่อนสักครู่ ข้างนอกฝนตกหนักเอาซะอย่างนั้น ถ้าขับรถเร็วเกินไป จะเกิดอุบัติเหตุเอาง่าย ๆ ได้ คุณว่าไหม?”

ชางสู่กล่าว หลี่ฝางเห็นหัวของน้องสาวของจูเฟิ่งปิน ถูกคนเอาปืนจ่ออยู่

ถ้าหลี่ฝางจากไปแบบนี้ล่ะก็ อีกฝ่ายคงระเบิดสะมองของน้องสาวของจูเฟิ่งปินอย่างแน่นอน

“งั้นฉันดื่มกาแฟอีกสักแก้วแล้วกัน”

หลี่ฝางดีดนิ้วมืออีกครั้ง แล้วสั่งกาแฟกับหลิงหลง

ในขณะที่หลิงหลงกำลังทำกาแฟนั้น ฝนที่ตกอยู่ข้างนอก ก็ตกหนักขึ้นกว่าเดิม

ในตอนที่หลิงหลงยกกาแฟเข้ามานั้น ชางสู่ก็หัวเราะเอิ๊กอาก: “ผมนึกว่า นี่เป็นเพียงร้านกาแฟธรรมดา คิดไม่ถึงว่า เถ้าแก่เนี้ยของที่นี่ จะมีเสน่ห์ยั่วยวนขนาดนี้”

ชางสู่มองหลิงหลงอย่างครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม: “เถ้าแก่เนี้ย คุณเปิดร้านเพียงคนเดียว ตอนกลางคืนกลัวหรือเปล่า?”

“กลัวอะไร?”

หลิงหลงถามกลับ

“ก็กลัวว่าจะมีคนมาโจรกรรมกระทำชำเราคุณไงล่ะ” ชางสู่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก: “ถ้ากลัวล่ะก็ ผมสามารถเป็นบอดี้การ์ดให้คุณฟรี ๆ ได้นะ”

ชางสู่ดูออกว่าร้านกาแฟแห่งนี้ไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้ว

โดยเฉพาะหลิงหลง แสดงออกได้สงบนิ่งแบบนี้ ยิ่งทำให้ชางสู่สงสัยมากขึ้น

“เหอะ ๆ คุณดูแลตัวเองให้ดูก่อนเถอะ”

หลิงหลงยิ้มกล่าว: “ตอนเด็ก ๆ ฉันได้เรียนทำนายโชคชะตาจากใบหน้ามาบ้าง แต่ไหนแต่ไรมาคนที่มีลักษณะใบหน้าแบบคุณ ล้วนอายุสั้นกันทั้งนั้น”

“มันก็ไม่แน่หรอก ผมก็เคยไปดูดวงมาเหมือนกัน หมอดูบอกว่าผมเป็นภัยพิบัติ ดังคำกล่าวที่ว่าคนดีอยู่ไม่นานคนพาลอยู่พันปี เกรงว่า ผมคงต้องอายุยืนแน่”

ชางสู่ยิ้มอ่อน ตีฝีปากกล่าว: “เถ้าแก่เนี้ย ชงกาแฟให้ผมสักแก้วด้วยสิครับ ใส่น้ำตาลเยอะ ๆ นะ”

หลิงหลงไม่ได้ปฏิเสธ และเดินหันหลังกลับไปชงกาแฟ

รอจนหลิงหลงชงกาแฟเสร็จ และยกออกมา ชางสู่ก็ยิ้มพลางเอ่ยถาม: “ในกาแฟนี่ คงไม่ถูกคุณใส่ยาพิษลงไปด้วยหรอกนะครับ?”

หลิงหลงยิ้มประชด: “ถ้ากลัว งั้นก็ไม่ต้องดื่ม”

“ตายใต้ดอกโบตั๋นต่อให้ไปเป็นผีก็คุ้มค่า สามารถตายในเงื้อมมือของเถ้าแก่เนี้ยได้ นับเป็นเกียรติของผม” ชางสู่ยิ้มกล่าว

หลี่ฝางทนดูต่อไปไม่ค่อยจะได้แล้ว จึงกล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด: “ดื่มกาแฟแก้วนี้หมด ฉันก็จะออกไป”

“ถ้าหากพอถึงเวลานั้นแล้วมู่เสี่ยวไป๋ยังไม่มาล่ะก็ ข้อตกลงเป็นอันยกเลิก สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในรถ พูดตามตรง หล่อนไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับฉันแล้ว ถ้าพวกแกอยากจะฆ่า ก็ฆ่าไปซะก็จบ” หลี่ฝางแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วกล่าว

และชางสู่ก็ยิ้มตาม: “ผมได้ยินมาจากหวางเห้า ว่าคุณชายหลี่เป็นที่มีความเมตตากรุณาที่หาได้ยาก ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่ใส่ใจไยดีเด็กผู้หญิงคนนั้น”

“อ้อใช่ เมื่อคืนเด็กผู้หญิงคนนั้น เกือบอดมาไม่ได้แน่ะ” ชางสู่ยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

หลี่ฝางขมวดคิ้ว ภาพเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักผ่านเข้ามาในหัวของเขา

ถึงยังไง ในตอนที่ชางสู่ส่งวิดีโอมานั้น บนร่างกายของน้องสาวของจูเฟิ่งปิน ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดเลย

สีหน้าของหลี่ฝางเยือกเย็นขึ้นหลายเท่า เมื่อส้าวส้วยเห็นหลี่ฝางเสียหน้า เขาก็จ้องมองชางสู่พลางกล่าวขึ้นมาทันที: “ถ้าเกิดว่าเด็กหญิงคนนั้นตายไป ฉันจะต้องให้คนที่ฆ่าเธอต้องชดใช้อย่างแน่นอน”

“สายตาฉันไม่ค่อยจะดีนัก แยกไม่ได้ว่าคนในรถเป็นใครที่ลงมือ แต่คนทั้งสี่ที่อยู่ในรถ ฉันจะฆ่าให้หมด”

ส้าวส้วยกล่าว

อยู่ไกลขนาดนั้น อีกอย่างฝนก็ตกหนักขนาดนี้ ส้าวส้วยกลับสามารถบอกจำนวนคนที่อยู่ในรถออกมาได้อย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน อย่าว่าแต่หลี่ฝางเลย แม้แต่สีหน้าของชางสู่ ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ

ชางสู่กำลังคิดว่า ส้าวส้วยคนนี้รู้ได้ยังไงกัน?

เวลาผ่านไปอีกประมาณสิบกว่านาที ทางด้านนอกของร้านกาแฟ ในที่สุดก็มีเสียงรถยนต์สองสามคันดังเข้ามา

มู่เสี่ยวไป๋เดินลงมาจากรถ มีคนกางร่มให้เขา แต่ก็ได้ถูกเขาผลักออกไป

มู่เสี่ยวไป๋ในเวลานี้ ทุลักทุเลเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาสวมชุดขาวไปทั้งตัว แต่ ณ เวลานี้ ไม่เพียงเปียกโชกไปหมด ทั้งยังสกปรกอีกด้วย

หลี่ฝางมองดูมู่เสี่ยวไป๋ แล้วกล่าวล้อเลียน: “คุณชายมู่เป็นอะไรไปเหรอนี่? ดื่มเยอะไปหน่อย เลยล้มคะมำอยู่ระหว่างทาง?”

“แม่แบบล่ะ?”

มู่เสี่ยวไป๋ไม่มีอารมณ์ขันใด ๆ ที่จะมาล้อเล่น เขามองหลี่ฝาง และเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา: “แม่แบบอยู่ที่ไหน?”

“แม่แบบอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ไงล่ะ”

หลี่ฝางกล่าว: “แกปล่อยเด็กสาวคนนั้นก่อน แล้วฉันจะเอาแม่แบบให้แกเอง”

“เอาแม่แบบมาก่อน” มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วพลางกล่าว

“ได้ได้ได้ ฉันกลัวแกแล้วก็ได้ เอาแบบนี้ดีไหม? ฉันให้แม่แบบแกไปก่อนชิ้นหนึ่ง แล้วแกปล่อยเด็กคนนั้น เป็นยังไง?” หลี่ฝางเอ่ยถาม

มู่เสี่ยวไป๋พยักหน้า ภายในใจของเขานั้น วินาทีนี้ถึงขนาดรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมาแวบหนึ่ง

ยังไงซะน้องสาวของจูเฟิ่งปินนั่น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา สามารถใช้แลกแม่แบบมาได้ เช่นนี้สำหรับเขาแล้ว ถือว่าคุ้มไม่น้อย

“ชางสู่ ปล่อยตัวเด็กสาวคนนั้น”

มู่เสี่ยวไป๋หันกลับไป แล้วพูดกับชางสู่

มู่เสี่ยวไป๋ผิวปาก เขาทำมือส่งสัญญาณไปทางรถคันสีดำคันนั้น จากนั้นไม่นาน น้องสาวของจูเฟิ่งปินนั่น ก็วิ่งลงมาจากรถ แล้ววิ่งไปรอบ ๆ อย่างมั่วซั่ว ราวกับแมลงวันหัวขาด

หลี่ฝางหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรหาจูเฟิ่งปิน: “น้องสาวของนายปลอดภัยแล้ว มองเห็นเธอหรือยัง?”

ในเวลานี้ รถยนต์คันหนึ่งขับผ่าน และจอดลงข้าง ๆ เด็กสาว แล้วร้องเรียกเธอให้ขึ้นรถ

เมื่อเห็นจูเฟิ่งปินได้พาตัวน้องสาวของตัวเองไปแล้ว หลี่ฝางก็พยักหน้าให้กับส้าวส้วย

“แม่แบบที่คุณต้องการ”

ส้าวส้วยเอาแม่แบบวางลงตรงหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ หลี่ฝางยิ้มอ่อน ๆ พลางกล่าว: “ทีนี้ ข้อตกลงของเราสองคน สิ้นสุดลงแล้ว แกรีบกลับไปอาบน้ำร้อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้นะ”

มู่เสี่ยวไป๋พลันลุกยืนขึ้น เขามองหลี่ฝางและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก: “แกหมายความว่ายังไง? ปั่นหัวฉันเหรอ?”

“แค่แม่แบบชิ้นเดียว จะมีประโยชน์อะไร?”

แม่แบบมีทั้งหมดสองชิ้น มีเพียงแค่ชิ้นเดียว มันทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ก็ใช่ ไม่มีประโยชน์อะไร งั้นแกก็ทิ้งมันไปเถอะนะ”

หลี่ฝางชี้ไปที่ถังขยะที่อยู่ด้านข้าง แล้วกล่าว: “ทิ้งลงถังขยะ อย่าทิ้งมั่วซั่วล่ะ”

“อย่าโกรธแบบนั้นสิ น้องสาวคนนั้นของจูเฟิ่งปิน ไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันเลย และแม่แบบชิ้นนี้ สำหรับฉันแล้ว ก็ไม่มีค่าใด ๆ เหมือนกัน”

หลี่ฝางหัวเราะขึ้นมา: “ดังนั้นถ้าแกตั้งการแม่แบบอีกชิ้น ต้องหาอะไรที่มีประโยชน์หน่อยมาแลกแล้วล่ะ”

“แกต้องการอะไรกันแน่?

มู่เสี่ยวไป๋กล่าวอย่างเยือกเย็น: “พูดออกมาตรง ๆ เลยดีกว่า ต้องการเงิน หรือต้องการส่วนแบ่ง ฉันรับปากแกได้ทั้งนั้น หลี่ฝาง ในสังคมไม่มีมิตรสหายที่ยืนยาว และไม่มีศัตรูที่ยาวนาน ที่จริงแล้วพวกเราสามารถร่วมมือกัน ร่ำรวยไปด้วยกัน แกเรียกจูเฟิ่งปินออกมา เขารู้วิธีผสมสีย้อม เครื่องจักร ฉันสามารถซื้อใหม่ได้”

“นี่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ถ้าพวกเราทำได้ดี คงสามารถมีกำไรเป็นหมื่นล้านในหนึ่งปี” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวล่อใจหลี่ฝาง

หลี่ฝางราวกับได้ฟังเรื่องราวที่ตลกเป็นอย่างมาก เขาหัวเราะอย่างชอบใจขึ้นมา

“มู่เสี่ยวไป๋ นี่หูฉันมีปัญหาหรือเปล่าเนี่ย? ความหมายของแกคือ พวกเราเป็นเพื่อนกัน แล้วยังต้องร่วมมือกัน?” หลี่ฝางมองมู่เสี่ยวไป๋อย่างเย้ยหยัน

มู่เสี่ยวไป๋พยักหน้า กล่าว: “ถูกต้อง”

“หลี่ฝาง การต่อสู้ระหว่างเราสองคน ก็เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ฉันคิดตกแล้ว ในสังคมนี้ขอเพียงแค่มีเงิน อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นดารา พวกดาราแถวหน้า ฉันยอมจ่าย พวกหล่อนก็ยอมที่จะคุกเข่าอยู่ตรงเป้าของฉันอย่างว่านอนสอนง่าย” มู่เสี่ยวไป๋กล่าว: “ดังนั้น พวกเราสามารถละทิ้งอคติทั้งหมดที่ผ่านมา แล้วร่วมมือกัน สร้างรายได้มหาศาล”

“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว นี่เป็นยุคที่เงินทองมีอำนาจสูงสุด จุดเริ่มต้นและจุดสสิ้นสุดของพวกเรา คงน่าจะเหมือนกัน นั่นก็คือเงิน สู้กันไปสู้กันมา มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวด้วยท่าทางจริงจังและจริงใจ

ก็ไม่รู้นะว่ามู่เสี่ยวไป๋พูดจริง หรือแค่หลอกลวงหลี่ฝางเพียงชั่วคราวเท่านั้น

แต่คำพูดพวกนี้ที่มู่เสี่ยวไป๋พูดนั้น ถ้าดูจากอีกมุมหนึ่งแล้ว มันก็ถูกเหมือนกัน

หลี่ฝางมองมู่เสี่ยวไป๋อย่างสงสัยเล็กน้อย และกล่าวถาม: “แกร่วมมือกับฉัน แล้วซือถูเฟยจะทำยังไง? และมู่หรงฉางเฟิงจะทำยังไง? พวกเขารู้เข้า จะไม่มาหาเรื่องแกหรอกเหรอ?”

“เพื่อฉัน ผิดใจกับทั้งสองตระกูลใหญ่พร้อมกัน คุ้มเหรอ?” หลี่ฝางเลิกคิ้ว พลางเอ่ยถาม

มู่เสี่ยวไป๋หัวเราะเอิ๊กอ๊าก: “ซือถูเฟยก็ดี มู่หรงฉางเฟิงก็ช่าง ในมือของพวกเขา ไม่ได้มีอะไรที่ฉันต้องการเลยนี่นา สี่ตระกูลใหญ่ ได้กลายเป็นเพียงเรื่องในอดีตไปตั้งนานแล้ว”

“เครือข่ายความสัมพันธ์ในเมืองเอก พวกเราตระกูลมู่ ก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว และถ้าพูดถึงยอดฝีมือ ตระกูลมู่ของเราก็ได้เลี้ยงไว้อยู่ไม่น้อย”

มู่เสี่ยวไป๋กล่าวอย่างเย้ยหยัน: “ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะไปเป็นทาสให้พวกมัน เชื่อฟังพวกมัน”

หลี่ฝางพยักหน้า กล่าว: “แกลบเทปเสี่ยงของเฉินฝูเซิงออกก่อน แล้วพวกเราค่อยพูดถึงเรื่องร่วมมือกัน”

มู่เสี่ยวไป๋รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที แล้วโทรหามู่เหวินตง กล่าว: “พี่ เทปเสียงที่อยู่ในโทรศัพท์พี่ ลบออกเถอะ ใช่ ทางฝั่งผมได้เจรจากันเรียบร้อยแล้ว

พอวางสายโทรศัพท์ มู่เสี่ยวไป๋ก็กล่าว: “หลี่ฝาง ฉันได้แสดงความจริงใจของฉันออกมาแล้ว รบกวนแกเอาแม่แบบชิ้นที่สองออกมา ให้ฉันดูสักหน่อยสิ”

หลี่ฝางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก กล่าว: “อย่าใจร้อนสิ เมื่อกี้แกพูดไม่ใช่เหรอว่า แกต้องการร่วมมือกับฉัน?”

หลี่ฝางกล่าว และหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรหาซือถูเฟย รอจนมีคนรับสาย หลี่ฝางก็ยื่นโทรศัพท์ให้มู่เสี่ยวไป๋ และกล่าว: “มา คำที่แกพูดเมื่อกี้นั่น พูดมันอีกทีซิ”

“นี่เป็นเบอร์ของซือถูเฟย” มองที่เบอร์โทรศัพท์แวบหนึ่ง มู่เสี่ยวไป๋ก็พลันขมวดคิ้ว

หลี่ฝางพยักหน้า: “พูดสิ เมื่อกี้แกบอกว่า ต้องการร่วมมือกับฉัน”

สี่หน้าของมู่เสี่ยวไป เคร่งเครียดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่อยากแตกหักกับซือถูเฟยในตอนนี้ และในวินาทีนี้เองหลี่ฝางก็ขู่ขึ้นมา: “ทำไม่เหรอ ไม่อยากได้แม่แบบชิ้นที่สองนี่แล้วใช่ไหม?”

“ซือถูเฟย นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันมู่เสี่ยวไป๋ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับนายอีก การร่วมมือก่อนหน้านี้ของพวกเรา ทุกอย่างเป็นอันจบลง”

มู่เสี่ยวไป๋สีหน้าเคร่งเครียด พลางกล่าว: “จากนี้เป็นต้นไป ฉันจะร่วมมือเชิงลึกกับหลี่ฝาง”

ซือถูเฟยที่อยู่อีกฝั่งของสายเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา: “แกแม่งถูกอุ้มหรือไง?”

“ไม่หรอก ฉันก็แค่คิดว่านายและมู่หรงฉางเฟิงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีความสามารถที่จะสร้างอนาคตไปกับฉันได้เลย เมื่อเทียบกับพวกนายแล้ว คุณชายหลี่ดีกว่าเยอะ”

พอมู่เสี่ยวไป๋พูดจบ อีกฝั่งของสาย ก็มีเสียงด่าอย่างโมโหของซือถูเฟยดังออกมา

วางสายไป มู่เสี่ยวไป๋มองหลี่ฝางพลางเอ่ยถาม: “หลี่ฝาง ตอนนี้แกคงพอใจแล้วสิ?”

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท