NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่642 มือแยกเอ็นแบ่งกระดูก

บทที่642 มือแยกเอ็นแบ่งกระดูก

การทำให้ตระกูลหลี่ทำผิดต่อลูกค้าของชั้นใต้ดิน เป็นแผนการที่ซือถูเฟยกับมู่หรงฉางเฟิงทุ่มเทคิดค้นขึ้น…

ซึ่งตอนนี้ ปลาก็ติดแหแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะจะเก็บแหขึ้นมา แต่เวลานี้หนามชิ้นใหญ่กำลังทำให้ซือถูเฟยล้มเลิก ซือถูเฟยจะยอมรับปากได้ยังไง?

แต่ในขณะเดียวกันซือถูเฟยก็กลัวจนตัวสั่น ดีไม่ดีโก่เอ๋อดันมีลูกกับหลี่ฝางขึ้นมาจริงๆ งั้นเรื่องหมั้นระหว่างเขากับเธอก็จะถูกล้มเลิกไปอย่างเป็นทางการงั้นสิ?

“เป็นไง ตกลงตามนี้ไหม?” หลี่ฝางเห็นซือถูเฟยลังเลขึ้นมา ก็ยกยิ้มมุมปาก

ไม่คิดเลยว่าแค่พูดล้อเล่นเฉยๆ แต่ดันได้ผลซะอย่างนั้น

ถ้าซือถูเฟยบ้าจี้รับปากขึ้นมาจริงๆ งานนี้ไม่ต้องถึงมือลุงเฉียน ก็สามารถช่วยฉินหยีหรันได้

มู่หรงฉางเฟิงเหล่มองซือถูเฟยเล็กน้อย ก่อนจะพูดกำชับ “อย่าไปเชื่อคำพูดไร้สาระของไอ้หมอนี่”

“อีกอย่าง อย่าลืมสิซือถูเฟย นี่เป็นแผนการที่ตัดสินทั้งตระกูล อย่าให้เรื่องรักๆใคร่ๆของนายกับผู้หญิงคนเดียวมาทำให้ทุกอย่างพังเละไม่เป็นท่า” มู่หรงฉางเฟิงเริ่มหวั่นใจ

ซือถูเฟยถอนหายใจ แล้วเงียบไปสักพัก

“ถ้าเทียบกับตระกูลอื่นๆ แน่นอนว่าตระกูลซือถูอ่อนด้อยอยู่หลายชั้นเลยสินะ? แต่ถ้านายปีนขึ้นไปเด็ดดอกฟ้าอย่างโก่เอ๋อได้สำเร็จ ฉันว่าสถานะของตระกูลซือถูก็คงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่”

หลี่ฝางหัวเราะหึ “นายว่าจริงไหมล่ะ ซือถูเฟย?”

ซือถูเฟยเหล่มองหลี่ฝางนิดหน่อย แน่นอนว่าตัวเขารู้ข้อนี้ดีที่สุด

เพียงแต่…

ซือถูเฟยมองหน้าหลี่ฝางอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “นายมั่นใจหรอว่าจะทำห้โก่เอ๋อแต่งกับฉันได้?”

“ที่ฉันต้องการไม่ใช่แค่ให้นายออกห่างจากโก่เอ๋อ แต่ฉันต้องการให้โก่เอ๋อกลับมารักฉัน นายคิดว่าจะทำแบบนั้นได้ไหมล่ะ ถ้าทำได้ ฉันก็จะรับปากว่าจะปล่อยฉินหยีหรัน” ซือถูเฟยพูด

“ซือถูเฟย ทำไมนาย…”

มู่หรงฉางเฟิงพูดอย่างโมโห

“มู่หรงฉางเฟิง ฉินหยีหรันเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลฉิน เธอเป็นคนมีระดับมีชนชั้น นายคิดว่าส่งตัวเธอไปให้พวกลูกค้าของชั้นใต้ดินเชยชมมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว นายอย่าลืมสิว่าเธอไม่ใช่สาวพรหมจรรย์อีกต่อไปแล้ว และลูกค้าพวกนั้นเป็นยังไง นายก็น่าจะรู้ดีแก่ใจจริงไหม?”

ซือถูเฟยตัดบทมู่หรงฉางเฟยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ไม่ผิด ลูกค้าของชั้นใต้ดินมีรสนิยมพิลึกพิลั่น นอกจากจะต้องหน้าตาสวย เนื้อตัวห้ามมีรอยแผลเป็นแล้ว ยังมีเงื่อนไขอีกอย่างคือ ต้องเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์

“อย่าใช้วิธีมักง่ายมากลบเกลื่อนความด่างพร้อยที่ปิดยังไงก็ไม่มิด ถ้าเกิดโดนจับได้ขึ้นมา…” ซือถูเฟยเอ่ยเตือนมู่หรงฉางเฟิง

“โดนจับได้แล้วไง? จะบอกว่าลีลาของฉินหยีหรันเอาพวกนั้นไม่อยู่?”

มู่หรงฉางเฟิงพูด “ซือถูเฟย อย่าให้หลี่ฝางมันปั่นหัวนายได้”

“ซือถูเฟย ถ้านายช่วยฉินหยีหรัน ฉันรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางให้โก่เอ๋อกลับไปหานาย” หลี่ฝางพูด

“ได้ยินหรือยังซือถูเฟย? ไอ้หมอนี่มันรับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาก็แค่ตั้งใจจะทำให้นายไขว้เขว”

มู่หรงฉางเฟิงพูดจา ซือถูเฟยก็ถอนหายใจอีก “ช่างเถอะหลี่ฝาง นายบังคับโก่เอ๋อไม่ได้หรอก”

ตอนนี้เอง แรงสั่นไหวที่กระเทือนมาจากด้านนอก ก็ใกล้เข้ามาทุกที

หลี่ฝางออกไปดู เป็นลุงเฉียนพาคนเข้ามาโจมตี

โดยที่มีแม่มดเป็นคนเดินนำ

“โหจื่อไม่ได้มาด้วยหรอกหรอ?” หลี่ฝางมองหน้าแม่มดแล้วเอ่ยถาม

แม่มดส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่”

“โทรก็ไม่ติด สงสัยจะหลับอยู่มั้ง?” แม่มดหัวเราะ “แต่ไม่มีเขาสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก”

หลี่ฝางเหลือบไปมองลุงเฉียน

กล้ามเป็นมัดๆของลุงเฉียนโผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาอย่างชัดเจน ดูยังไงก็ไม่เหมือนชายแก่อายุเยอะเลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น ลุงเฉียนบึกบึนยิ่งกว่าเด็กหนุ่มบางคนซะอีก

“ไม่ได้ออกแรงซะนาน พอได้มาทำอะไรแบบนี้จู่ๆก็รู้สึกไม่ชินซะงั้น” ลุงเฉียนมองหลี่ฝางแล้วหัวเราะ “เสี่ยวฝาง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไอ้เด็กเวรสองคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเราใช่ไหม?” ลุงเฉียนถามหลี่ฝาง

หลี่ฝางพยักหน้า “ลุงหมายถึงมู่หรงฉางเฟิงกับซือถูเฟยหรอครับ?”

“ใช่ ลุงรู้มาว่าพวกมันก็อยู่ที่นี่” ลุงเฉียนตอบ

หลี่ฝางพยักหน้า “พวกมันไม่กล้าหรอกครับ”

“ดูท่าทางสิ่งที่ทำมาทั้งหมดเมื่อคืน คงไม่เสียเปล่า” ลุงเฉียนพยักหน้าพอใจ “อย่างน้อย ก็ไม่มีใครกล้าแตะนายอีก”

“พวกมันอยู่ข้างในนี้ใช่ไหม?”

ลุงเฉียนชี้ไปยังในห้องแล้วถาม

เมื่อหลี่ฝางพยักหน้า ลุงเฉียนก็เดินเข้าไป แต่แม่มดกลับยื่นมือมาห้ามลุงเฉียน “ลุงเฉียนเข้าไปคงไม่เหมาะ ไม่อย่างนั้นให้ฉันเข้าไปเองดีกว่า”

ลุงเฉียนคิดตามแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้ ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นคนของตระกูลเฉียน ถึงจะออกจากตระกูลมานานหลายปี แต่ถ้าขืนลงมือทำอะไรคุณชายในสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาก็ต้องมาแก้แค้นตระกูลเฉียนอยู่ดี เธอไปเถอะ”

“ในเมื่อพวกเขาจะไม่ได้ทำร้ายเจ้าฝาง เธอก็ไม่ต้องเล่นงานพวกเขาจนเกินพอดี เอาแค่ขู่จนยอมบอกทางออกก็พอ” ลุงเฉียนกำชับแม่มด

ทางเข้าของชั้นใต้ดินถูกเปลี่ยนนับตั้งแต่ตอนที่หลอซาบุกเข้าไปครั้งนั้น

แม่มดเดินดุ่มๆเข้าไปในห้อง แล้วมองซือถูเฟยกับมู่หรงฉางเฟิงด้วยสายตาเย็นชา

“เฮ้ ซือถูเฟย ถิ่นของนายมีแหม่มคนสวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สายตากะลิ้มกะเหลี่ยของมู่หรงฉางเฟิงจับจ้องไปที่แม่มด

มู่หรงฉางเฟิงลุกขึ้นยืน แล้วจู่โจมเข้าไปหาแม่มด

“ฉันสวยหรอ?” แม่มดหัวเราะ แล้วเดินขึ้นหน้าไปหามู่หรงฉางเฟิงเช่นเดียวกัน

“แน่นอนอยู่แล้ว เคยมีคนบอกว่าคุณไม่สวยหรอครับ? ถ้างั้นไอ้บ้านั่นต้องตาบอดแน่ๆ” มู่หรงฉางเฟิงหยอดไปอีกคำ

แต่ใครจะคิด แค่คำพูดหวานหยดแค่คำเดียวของมู่หรงฉางเฟิง เมื่อเข้ารูหูของแม่มดกู่หย่งฉี สีหน้าของเธอก็ตึงเปรี๊ยะ

ใบหน้าของแม่มดเปลี่ยนเป็นนิ่งสงัด ส่วนมู่หรงฉางเฟิงก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่จำพวกสาวนั่งดริ๊งก์แม้แต่น้อย แต่เป็นบุคคลที่น่าอันตราย

ทันใดนั้นซือถูเฟยก็พูดขึ้น “ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ ระวังหน่อย”

ถึงซือถูเฟยจะออกปากเตือนไปแบบนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงซือถูเฟยเองก็ไม่ได้ยี่หระอะไร แม่มดคนนี้ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง คิดจะทำอะไรมู่หรงฉางเฟิงได้หรือไง?

ฝีมือของมู่หรงฉางเฟิงระดับไหน ซือถูเฟยรู้ดีกว่าใคร

ใครจะคิด วินาทีนั้นแม่มดยื่นสองมือไปจับบ่าของมู่หรงฉางเฟิง มู่หรงฉางเฟิงขมวดคิ้ว “ทำอะไรคนสวย จะบีบไหล่พี่หรือไง?”

มู่หรงฉางเฟิงพูดจบ ก็เตรียมจะอาศัยจังหวะนี้ลอบโจมตี

เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา

ตัวเขาจะยอมเปิดช่องให้ผู้หญิงคนนี้เล่นงานไม่ได้

“ใช่สิคะ ไหล่ของพี่ต้องโดนนวดสักหน่อย”

กร๊อบ ทันทีที่แม่มดพูดจบ นิ้วทั้งสิบก็งอขข้อลงราวกับดอกบัว นิ้วโป้งสองข้างจิกลงใต้กระดูกบนไหล่แล้วล็อกจนมั่น ก่อนจะช้อนไหล่สองข้างขึ้นจนสุดแรง

ทันใดนั้น ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็มีเม็ดเหงื่อไหลติ๋งๆ

“มือแยกเอ็นแบ่งกระดูก?”

วินาทีนั้น สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็เผยความหวาดกลัว เขามองหญิงสาวตรงหน้าราวกับเห็นปีศาจก็ไม่ปาน

“ถึงขนาดรู้จักวิชามือแยกเอ็นกระดูก แสดงว่าพี่ก็มีฝีมืออยู่เหมือนกันนี่นา”

แม่มดฉีกยิ้มเย็นยะเยือก มือทั้งสองเปลี่ยนตำแหน่งไปบีบที่ลำคอ

แม่มดเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว เร็วมากจนมู่หรงฉางเฟิงตั้งตัวรับมือไม่ทัน

“เธอเป็นใครกันแน่?”

ซือถูเฟยเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างเร็ว เขามองหน้าแม่มด แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงฉางเฟิงเองก็อาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นบ้าง “ดูเหมือนเราจะโดนตัวเทพเล่นงานเข้าให้แล้วล่ะ”

มู่หรงฉางเฟิงฝึกวิทยายุทธ์มาหลายปี เคยเจอคนที่มีฝีมือระดับสูงๆเองก็ไม่น้อย ยังเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับยุทธภพจากปากพวกเขามามากมาย

หนึ่งในนั้นก็คือมือแยกเอ็นแบ่งกระดูก ซึ่งเป็นวิชาขั้นเทพ

ได้ยินมาว่าคนที่มีวิชานี้ได้ สามารถจับจุดสำคัญของร่างกายแล้วหักกระดูกคนด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายได้

“ไอ้หนู นายไม่มีสิทธิไปว่าเขาตาบอดนะ”

แม่มดพูดด้วยน้ำเสียงที่พร้อมฆ่าคนให้ตาย

บนโลกนี้ มีผู้ชายคนนึงที่พูดว่าแม่มดกู่หย่งฉีหน้าตาขี้เหร่ และผู้ชายคนนั้น ก็คือส้าวส้วย

ซึ่งคำพูดเมื่อกี้ของมู่หรงฉางเฟิง ก็กำลังกล่าวหาว่าส้าวส้วยตาบอด

คำพูดคำนี้ ใครก็ไม่มีสิทธิพูดทั้งนั้น นอกจากแม่มด

ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของมู่หรงฉางเฟิงไม่ธรรมดา แม่มดคงได้จิกลูกกะตาทั้งสองข้างของเขาออกมาเป็นการลงโทษ

แม่มดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกมา ทางเข้าของชั้นใต้ดินอยู่ตรงไหน?”

มู่หรงฉางเฟิงเลียริมฝีปาก ราวกับกำลังลังเล แต่แม่มดพูดต่อ “ถ้านายรู้ว่าฉันกำลังใช้วิชามือแยกเอ็นแบ่งกระดูกอยู่ ก็น่าจะรู้นะว่าถ้าไม่ทำตามที่ฉันบอกจะมีจุดจบยังไง?”

“เมื่อกี้ไหล่ของนายก็แค่กระดูกหัก แต่ถ้าเป็นกระดูกที่คอหักล่ะก็…”

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท