NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่647 รอให้หลอซ่ากลับมา

บทที่647 รอให้หลอซ่ากลับมา

หลังจากที่แม่มดถอดเสื้อผ้าออกจานหมด สายตาของเธอก็เผยความเย็นชา

สำหรับคนที่มีอาชีพเป็นนักฆ่ารับจ้าง ความมีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไร

และการที่แม่มดทำเรื่องเปลืองตัวแบบนี้ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเธอยังไม่ได้เจอกับส้าวส้วย…

แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว แม่มดก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า

เมื่อเดินไปได้หลายสิบเมตร ก็เห็นประตูบานใหญ่สองบาน

หนึ่งในนั้น เป็นลูกค้าที่บอกว่าจะดื่มชา

ประตูบานนั้นกำลังเปิดคาไว้อยู่

แต่ที่ด้านหน้าทางเข้า มีคนวัยกลางคนกำลังเฝ้ายามอยู่

“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” ชายวัยกลางคนมองแม่มดด้วยความระแวงสงสัย

“บังเอิญจัง ฉันเองก็ไม่เคยเจอหน้าลุง” แม่มดพูดยิ้มๆ

“เพิ่งมาใหม่หรอ” ชายวัยกลางคนถาม

“ใช่ค่ะ เพราะงั้นถ้าลุงไม่เคยเห็นหน้าฉันก็ไม่แปลก” แม่มดยังคงรักษารอยยิ้ม

“แต่เด็กใหม่ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือก ชั้นสุดท้ายที่ทำการคัดเลือกก็จะเป็นเจ้านายของฉัน”

ชายวัยกลางคนพูด “ซึ่งฉันจะอยู่กับแขกในทุกการคัดเลือก”

“เพราะฉะนั้น…”

ชายวัยกลางคนยังพูดไม่จบ แม่มดก็หัวเราะออกมา “ยินดีด้วยที่ทายถูก ใช่แล้ว ฉันคือผู้บุกรุกเองแหละ”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนเผยคความแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้หญิงที่โง่ขนาดเอาตัวเองมาส่งถึงที่”

“ไม่ว่าเธอจะมีเป้าหมายอะไรในการมาที่นี่ ก็เกรงว่าจะทำไม่สำเร็จซะเปล่าๆ”

ชายวัยกลางคนหันกลับไปพูดกับชายแก่ในห้อง “เจ้านายรอสักเดี๋ยวนะครับ ผู้หญิงคนนี้ดุท่าทางไม่ค่อยเชื่อง ผมขอดึงหนาบบนตัวเธอออกมาให้หมดก่อนค่อยส่งตัวเข้าไปครับ”

“รีบๆเข้า ฉันเริ่มหิวน้ำแล้ว” ชายแก่พูดด้วยความไม่สบอารมณ์

ในวินาทีที่ชายวัยกลางคนหันกลับมา แม่มดที่เร็วกว่าก็ยื่นมือออกไปจับกระดูกช่วงไหล่ของเขาไว้มั่นมือ

“โทษนะ แต่ฉันยังไม่ได้พูดคำว่าเริ่ม”

แม่มดยิ้ม แล้วกดปลายนิ้วลงใต้ข้อต่อกระดูกที่อยู่ใต้ไหล่ก่อนจะบิดให้มันเคลื่อนที่ไปอยู่ในตำแหน่งที่ผิดรูป ในขณะที่ใบหน้าของชายคนนั้นเผยความเจ็บปวด ก็รีบใช้มือผลักร่างของแม่มดถอยออกไปก้าวนึง

ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าจะเก่งกาจถึงขนาดนี้

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงถึงท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่มองหน้าแม่มดด้วยความสงบนิ่ง “ฝีมือของเธอหาได้ยากมาก แต่เสียดายที่มาเจอฉันซะก่อน”

แม่มดพยักหน้า “นั่นสิ คุณเองก็หาเจอยากเหมือนกัน”

ระหว่างแม่มดกับชายวัยกลางคน จู่ๆก็เกิดความรู้สึกเสียดายถึงความสามารถอีกฝ่ายขึ้นมา

เมื่อทั้งคู่ได้ลองยื่นมือออกมาปะทะ ต่างก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูง

ดังนั้น สายตาของชายวัยกลางคนจึงเปลี่ยนเป็นดุร้าย เขามองหน้าแม่มดแล้วขบกรามแน่น “สามารถหักกระดูกไหล่ของฉันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่โจมตี ท่าทางเธอจะฝึกฝนมาอย่างหนักหลายสิบปีเลยสินะ”

“แล้วดูจากอายุเธอแล้ว อย่างมากก็ไม่เกินสามสิบ”

“คนที่ฝึกฝนกำลังภายในมาตั้งแต่ยังเด็ก คงจะทุกข์ทรมานมากสินะ”

ชายวัยกลางคนพูดถอนหายใจ

เขาก็เหมือนกับแม่มด ถูกบังคับให้ฝึกฝนกำลังภายในมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้เขาจะไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำ

ตอนเด็กๆเขาถูกส่งไปยังที่ที่นึง แล้วถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นเครื่องจักรฆ่าคน ตอนนี้ถูกส่งมาเป็นบอดี้การ์ดให้ชายแก่ คุ้มกันความปลอดภัย

เขาจับไหล่ตัวเองแล้วบิดไปบิดมานิดหน่อย จากนั้นกระดูกก็กลับเข้าที่ดังเดิม

แม่มดอึ้งไป แต่จากนั้นก็เผยรอยยิ้ม “คุณเก่งกว่าที่ฉันคิดไว้มาก”

แม่มดพูดจบ ก็ยื่นมือเข้าสู่โจมชายวัยกลางคนด้วยความเร็วเพียงพริบตาเดียว ในขณะที่ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขาสวนกลับไปด้วยพลังทั้งหมดของตัวเอง

ผ่านไปห้านาที ทั้งแม่มดและชายวัยกลางคนต่างก็ถูกแรงปะทะจึงทำให้ทั้งสองพุ่งเข้ามาในห้อง

เพื่อให้ตัวเองได้เข้ามาข้างใน แม่มดจำต้องยอมถูกชายวัยกลางคนโจมตีไปหนึ่งฝ่ามือ แต่ฝ่ามือนี้ทำให้เลือดลมภายในของเธอรวน

ชายวัยกลางคนมองแม่มด แล้วยิ้มเย็นชา “เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอต้องเจ็บเจียนตาย แล้วส่งต่อให้เจ้านายของฉันเล่น”

แม่มดยิ้มตาหยี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู”

แม่มดกัดฟัน แล้วขึ้นหน้าโจมตี และชายวัยกลางคนก็ตั้งท่ารับรอแล้ว

จังหวะที่แม่มดเข้าไปประชิดตัวชายวัยกลางคน ขาเรียวสองข้างกระโดดขึ้นรัดคอเป็นวงกลม ส่วนชายวัยกลางคนก็ออกแรงบีบเรียวขาของเธอ

กึก แม่มดกัดฟันอีกรอบ

แม่มดหมุนขาขึ้นมาอยู่บนเหนือหัวชายวัยกลางคน

ทั้งคู่ต่างก็ผลัดกันแลกฝีหมัดไปมา ต่างฝ่ายต่างเสียหลักล้มลงบนพื้น

แม่มดใช้มือข้างนึงยันกับพื้น แล้วเด้งตัวกระโดดห่างออกไปไกลสามเมตรจนมายืนอยู่ข้างหน้าชายแก่ เวลานั้นชายแก่กำลังดูโทรทัศน์ รีโมทในมือของเขาร่วงหล่นบนพื้นในทันที

และนี่ก็คือเป้าหมายของแม่มด เธอยอมสละขาข้างนึงเพื่อจะได้สลับตำแหน่งกับชายวัยกลางคน

เพราะตำแหน่งตรงนี้ทำให้สามารถเข้าใกล้ชายแก่คนนี้ได้มากขึ้น

“อย่าเข้ามาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเขาแน่” แม่มดพูด

“ถ้าเธอฆ่าเจ้านายของฉัน ฉันก็จะฆ่าเธอต่อ” ชายวัยกลางคนพูด

ไม่พูดพร่ำทำเพลง แม่มดใช้มือบีบเข้าที่คอของชายแก่อย่างออกแรง “ลองดูไหมล่ะ?”

ชายวัยกลางคนตกใจจนไม่กล้าลั่นไก แม่มดฝืนลุกขึ้นยืนด้วยสภาพขากระเผลก “ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าแม้แต่จะขยับ ถ้านายขยับตัวแม้แต่เซนเดียว ฉันจะฆ่าเขาทันที”

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว ไม่ตอบ

“แม่หนู เราเคยมีเรื่องบาดหมางกันหรอ?” ชายแก่เอ่ยปาก น้ำเสียงเผยความหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ยังคุมสติได้ดี

แม่มดฉีกยิ้ม “คิดซะว่าเคยแล้วกัน”

แม่มดบีบคอชายแก่แล้วลากออกไปข้างนอก ตอนที่เดินอยู่ โหจื่อก็ตรงเข้ามาต้อนรับ

เห็นแม่มดเดินออกมาด้วยขาเป๋ๆ โหจื่อก็ขมวดคิ้วทันที “เธอได้รับบาดเจ็บ?”

“รีบออกไปจากที่นี่ก่อน” แม่มดพูด

โหจื่อเข้ามาจับตัวชายแก่ต่อจากแม่มด เขาจับชายแก่พาดไว้บนไหล่ “นี่ตาแก่ อย่าดิ้นล่ะ ถ้าดิ้นล่ะก็ ฉันจะจับลุงโยนออกไปเหมือนนกเลย”

“พวกแกใจกล้าดีมาก ไม่มีครอบครัวให้ต้องห่วงหรือไง? ถ้าฉันได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว คนในครอบครัวของพวกแกจะต้องโดนเผาไปกับฉัน” ชายแก่พูดเสียงเย็นชา

โหจื่อไม่ตอบ แต่แบกชายแก่เดินเข้าลิฟต์ไป

ตอนที่เดินเข้ามาในลิฟต์ โหจื่อและแม่มดก็ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาไม่ได้ลงต่อไปยัง-3

เพราะแม่มดกำลังบาดเจ็บ

จนเข้ามาในห้องสโมสรเจียงหนาน เมื่อเจอเข้ากับลุงเฉียนกับคนอื่นๆ แม่มดก็ไอยาวออกมาเป็นเลือด

ลุงเฉียนจึงตรงเข้าไปช่วยประคองแม่มด “ไม่เป็นไรนะ ฉีฉี?”

“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ” แม่มดพูด

ลุงเฉียนหันกลับมาออกคำสั่ง “ประคองพี่ฉีฉีออกไป”

“ฉันพอจะเดินออกไปเองได้ค่ะ”

แม่มดเดินตุปัดตุเป๋เดินออกไป ส่วนชายแก่หันไปมองลุงเฉียน “คุณท่านรองเฉียน? เป็นคุณจริงๆหรอ?”

“ผมได้ยินว่าคุณออกจากตระกูลเฉียน? เหอะๆ ถึงจะออกจากตระกูลเฉียนมาแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกต่อกันอยู่สินะ ตระกูบเฉียนมีคนนับสิบชีวิต ไม่กลัวจะต้องลำบากเพราะคุณหรอ?” ชายแก่ที่อยู่บนบ่าของโหจื่อฉีกยิ้มเย็นชา

ลุงเฉียนไม่แสดงสีหน้าใดๆ “ตาแก่ ไปอยู่บ้านฉันสักสองสามวันนะ เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ข้างใต้นี่ วันๆไม่เห็นฟ้าเห็นตะวัน เสียสุขภาพจิตแย่ ควรจะออกไปรับแดดหน่อยสิ”

“พาตัวท่านลู่ไป”

ลุงเฉียนออกคำสั่ง จากนั้นก็มีคนนำตัวชายแก่ออกจากบ่าของโหจื่อแล้วแบกออกไป

จากนั้นลุงเฉียนก็พูดต่อ “พวกเราเองก็ควรไปได้แล้ว ข้างนอกตั้งรับไม่ไหวแล้ว”

โหจื่อหันกลับไปมองซือถูเฟยแวบนึง “ยังจำได้ไหมว่าฉันพูดอะไรกับนาย?”

“ฉินหยีหรันล่ะ?” โหจื่อจ้องซือถูเฟยด้วยสายตาเย็นชา

ซือถูเฟยพูดด้วยใบหน้าเป็นทุกข์ “ฉันพาตัวฉินหยีหรันออกมา ให้เธอกับน้องสาวกลับบ้านไปแล้ว นายรีบเอายาถอนพิษให้ฉันเร็วสิ ตอนนี้ในท้องฉันปั่นป่วนไปหมดแล้ว”

โหจื่อหันไปสบตากับหลี่ฝาง เพื่อความแน่ใจ

หลี่ฝางพยักหน้า “พอพวกนายลงไปได้ไม่นาน ซือถูเฟยก็พาฉินหยีหรันขึ้นมา เหมือนว่าฉินหยีหรันจะยังไม่ได้รับอันตรายอะไร”

โหจื่อจึงยิ้ม “โอเค สิ่งที่ฉันให้นายกินเข้าไป เป็นขี้ไคลที่ฉันถูออกมาตอนอาบน้ำน่ะ ก็ถือว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีเชียว สบายใจเถอะ ไม่ใช่ยาพิษอะไรหรอก”

โหจื่อพูดจบ สีหน้าของซือถูเฟยก็ข่มขื่นหนักกว่าเดิม

ซือถูเฟยรีบอ้วกออกมา โหจื่อขมวดคิ้ว “แม่เอ็งสิ ตอนเด็กๆไม่เคยดูตำนานพระจี้กงหรือไงวะ ท่านก็ใช้รีดโคลนที่ติดอยู่บนตัวมาช่วยชีวิตคน”

โหจื่อถอนหายใจ แล้วหันไปมองหลี่ฝาง “เจ้านาย พวกเรากลับกันเถอะ”

หลี่ฝางพยักหน้า แล้วเดินออกไปพร้อมโหจื่อ

หลังออกมาจากสโมสรเจียงหนาน หลีฝางก็เห็นรถจอดเรียงกันเป็นขบวน อีกทั้งรอบๆบริเวณของสโมสรก็ถูกล้อมรอบไปด้วยคน โหจื่อเดินเข้าไปนั่งในรถ พาหลี่ฝางออกไปด้วยความผ่าเผย

คนที่หวังจะตามไปโจมตี แต่ลูกกระสุนของโหจื่อก็ยิงเข้าที่ล้อรถซะก่อน

เมื่อเห็นปืนสีทองในมือของโหจื่อ หลี่ฝางก็อึ้งเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “นายให้ถังหยู่ซวนไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“อ้อ? ใช่ครับ พอดีผมเห็นว่าปืนสั้นสีทองนี่ทำขึ้นมาได้สวยดี ก็เลยขอให้ช่างช่วยทำแบบเดียวกันให้ผมสิบกระบอก” โหจื่อหัวเราะฮี่ๆ

“แล้วกระบอกที่นายให้ถังหยู่ซวนล่ะ?” หลี่ฝางหมดคำจะพูด

“แน่นอนว่าเป็นของก็อปครับ” โหจื่อตอบ

หลี่ฝางส่ายหน้า “พี่ฉีฉีได้รับบาดเจ็บได้ยังไงกัน?”

โหจื่อพูด “คงจะเจอเข้ากับสุดยอดฝีมือ”

“เอาเถอะ เดี๋ยวพอถึงแล้วเจ้านายมีอะไรสงสัยก็ถามเธอเองเถอะครับ ถามผม ผมก็ไม่รู้” โหจื่อคิดๆดูก็รู้สึกสำนึกผิดอยู่ไม่น้อย ตอนที่แม่มดเข้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบ ตัวเองกลับนั่งสบายใจอยู่บนโซฟา

จู่ๆโหจื่อก็รู้สึกว่า บางทีเกิดเป็นผู้ชายก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง โหจื่อก็ขับรถมาถึงสถานตากอากาศ และที่หน้าประตูในเวลานี้มีคนยืนรออยู่จำนวนไม่น้อย และคนที่ยืนนำอยู่นั้น ก็คือหน้าหนวด

โหจื่อเดินไปหยุดตรงหน้าหน้าหนวด “อีกเดี๋ยวจะมีแขกไม่รับเชิญมาแน่ ถึงตอนนั้นไล่ตะเพิดพวกมันออกไปก็พอ ที่นี่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล ใครก็ห้ามเข้าทั้งนั้น ยกเว้นว่าจะมีหมายศาลเข้ามาตรวจค้น ถ้ามันกล้าบุกเข้ามาล่ะก็ พวกนายจัดการได้ตามสะดวก ถึงยังไงพวกนายก็มาทำหน้าที่ที่สถานตากอากาศแค่ชั่วคราว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น แค่หาที่ซ่อนตัวก็จบ”

หน้าหนวดพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ ผมจะสั่งสอนให้พวกมันรู้จักว่าอะไรคือการปิดประตูใส่หน้าแขก”

“ผมมันคนไม่มีการศึกษา ต่อให้มันจะถือเอกสารอะไรมา ผมก็อ่านไม่ออกหรอก”

หน้าหนวดหัวเราะ

โหจื่อเองก็หัวเราะไปด้วย “บางทีการไม่มีการศึกษาก็ดีเหมือนกัน”

พูดจบโหจื่อก็นำทางหลี่ฝางเดินเข้าสถานตากอากาศ

โหจื่อเดินผ่านห้องห้องหนึ่ง เห็นแม่มดกำลังนอนอยู่ด้านใน ขาทั้งสองข้างพันแผลไว้ โหจื่อเดินเข้าไป แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ขาเป็นยังไงบ้าง? ยังขยับได้ไหม?”

“โชคดีที่ฉันโต้ตอบกลับเร็ว ไม่อย่างนั้นไอ้บ้านั่นคงบีบกระดูกฉันแหลกแน่”

แม่มดพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ขืนสู้กันต่อไปฉันคงได้ตายอยู่ข้างในนั้นแน่ นี่ถ้าไม่ได้ตาแก่นั่นมาเป็นโล่กำบัง ฉันคงไม่ได้ออกมาเจอนายอีก”

“เก่งกาจขนาดนั้นจริงดิ?” โหจื่อเลิกคิ้ว ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก

“ใช่ แถมห้องอีกห้องนึงก็น่าจะมีนักฆ่าขั้นสูงที่ฝีมือพอๆกันอยู่อีกคน ตอนที่ฉันหลบหนีมา ฉันเห็นหน้าเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจฉัน เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขามีแค่คุ้มกันเจ้านายที่อยู่ในห้อง ถึงได้ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน”

“ขนาดคนของ-2ยังเก่งกาจถึงขนาดนี้ โชคดีที่พวกเราไม่ได้ลงไปที่-3” โหจื่อพูดด้วยความโล่งอก

แม่มดเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่น่ะสิ เหอะๆ แล้วลองนึกภาพว่าหลอซ่าบุกเข้าไปที่ชั้นสี่แค่คนเดียว…”

“เกรงว่า ถ้าจะเข้าไปอีกรอบคงต้องรอให้ลูกพี่ใหญ่กลับมาแล้วล่ะ

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท