NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 775 เกมควรจะจบลงได้แล้ว

บทที่ 775 เกมควรจะจบลงได้แล้ว

เฉินเสี่ยวอุ้มศพของจางหลง เจ้าตัวก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ

จางหลง เฉินเสี่ยว หม่าเฟิง หวางเชาทั้งสี่คน ได้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่รักใคร่เหมือนพี่น้อง………ก็ยังร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน

ตอนนี้ การตายของจางหลง ล้วนกระทบกระเทือนจิตใจอารมณ์ของพวกเขาทั้งสามคน…….

เฉินเสี่ยวตอนนี้ สีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองโหจื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต

“แกฆ่าพี่น้องฉัน……”

เฉินเสี่ยวกำหมัดไว้แน่น จนทำให้เกิดเสียงแก๊กๆดังขึ้น

“จุ๊ๆ แกเจ็บปวดตามไขข้อเหรอ?”

โหจื่อถามแบบแกมตลกว่า “พอดีฉันรู้จักกับหมอรักษาไขข้อกระดูกที่ดีมากคนหนึ่ง เอาไหมล่ะ ฉันจะแนะนำให้แกรู้จักดีไหม?”

“ช่างเถอะ ฉันคิดว่าแกคงจะไม่ได้ใช้แล้วล่ะ”

“เพราะว่า คืนนี้แกก็ต้องตายแล้ว”

โหจื่อหัวเราะไม่หยุด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที “ฉันแนะนำร้านขายโลงที่ดีให้แกจะดีกว่านะ เขามีบริการเหมารวมทุกอย่างเสร็จสับอยู่ในนั้นหมดเลย ถ้าแกกับพี่น้องไปด้วยกันล่ะก็ คาดว่าพวกเขาจะให้ราคาพิเศษแบบยกแพ็คก็ได้นะ”

“อึ่ม เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์ให้เขาหน่อย”

โหจื่อพูดจบ เฉินเสี่ยวนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที ในมือของเขา ยังอุ้มศพของจางหลงอยู่เลย

เฉินเสี่ยวมองดูจางหลงในอ้อมกอด แล้วพูดว่า “ฉันจะไปแก้แค้นให้แกนะ”

เฉินเสี่ยวพูดพลางใช้มือลูบปิดตาของจางหลง ความหมายบอกให้เขาไปดีไปสู่สุคติ ในเมื่อเฉินเสี่ยวเตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว งั้นหม่าเฟิงและหวางเชาสองคนนั้นก็ยืนอยู่ด้านข้าง

อย่างน้อย พวกเขาก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับสูงในวงการต่อสู้ จัดการกับโหจื่อตัวเล็กๆเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่ใช้วิธีการสู้แบบรุมสังหารอย่างแน่นอน

สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นถือว่าเป็นการหยามเกียรติเกินไป

ส่วนจางหลงนั้น ในบรรดาพวกเขาแล้ว เป็นคนที่อายุน้อยที่สุด และก็มีพรสวรรค์ทางด้านการต่อสู้ด้อยที่สุดคนหนึ่งด้วย……

แต่ว่าเฉินเสี่ยวไม่เหมือนกัน พละกำลังของเฉินเสี่ยวนั้น แข็งแกร่งกว่าจางหลงมากทีเดียว…….

เมื่อครู่นี้จางหลงยังสามารถสู้กับโหจื่อเสมอกันได้ งั้นเฉินเสี่ยว ก็คงจะต้องเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เฉินเสี่ยวก็ยังชกใส่โหจื่ออย่างแรงไปหนึ่งที

มุมปากของโหจื่อ ก็ยังมีเลือดซึมออกมา นี่แสดงว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว

ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เฉินเสี่ยวยังไม่สามารถสังหารโหจื่อได้ งั้นก็คงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแล้ว

ดังนั้น หม่าเฟิงและหวางเชา จะไม่มีทางที่จะเข้าไปช่วยอย่างเด็ดขาด

หวางหวังรับศพจางหลงมาจากมือของเฉินเสี่ยว แล้วกำชับเฉินเสี่ยวว่า “พี่รอง ฆ่าเขาให้ได้เลยนะ”

เฉินเสี่ยวพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต “สามคนนี้ ฉันจะไม่ให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว”

หลังจากที่เฉินเสี่ยวพูดจบ ก็เริ่มขยับตัว เมื่อเขาเคลื่อนไหว แม้กระทั่งอากาศรอบๆก็เคลื่อนไหวตามไปด้วย กลิ่นอายสังหารก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา หลี่ฝางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

หลี่ฝางรู้ว่า ถ้าตัวเองประมือกับคนนี้แล้ว เกรงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าในตัวของหลี่ฝาง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลไร้ขอบเขตที่ซ่อนเร้นอยู่ เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังมหาศาลที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าจะต้องปลดปล่อยพวกนี้ออกมาใช้ล่ะก็ ก็ยังต้องอาศัยช่วงเวลาอีกระยะหนึ่ง

หลี่ฝางยังไม่รู้จักเทคนิคในการฆ่าคน ขาดแคลนประสบการณ์ต่อสู้ในสนามจริง

แต่ว่าโหจื่อไม่เหมือนกัน โหจื่ออยู่เมืองนอกมาสามปีแล้ว ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยปฏิบัติการลับในการลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนอีกด้วย

อีกทั้งยังทำหน้าที่ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้จนสำเร็จลุล่วงได้ดี นี่เป็นเหตุทำให้ชื่อเสียงฉายาว่ารอยกระสุนของเขานี้ โด่งดังไปทั่วในวงการทหารรับจ้าง

ความเร็วของเฉินเสี่ยวนั้นมีความไวมาก แต่ของโหจื่อ ก็ไม่ได้ช้าเหมือนกัน

ทั้งสองคนได้ประมือกันครั้งแรก ก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกหวาดหวั่น

ยามเมื่อยอดฝีมือประมือกัน ทุกกระบวนท่าก็ล้วนแต่สังหารคนได้ทั้งนั้น ไม่มีโอกาสในทำการทดสอบ เมื่อเริ่มลงมือ ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งจัดการฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นเอาชีวิตกันให้ได้

การประมือในลักษณะเพื่อลองทดสอบนั้น ก็มีเพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยพละกำลังที่แน่นอน จึงจะเกิดขึ้นได้

ส่วนโหจื่อและเฉินเสี่ยวนั้น ต่างฝ่ายต่างเข้าใจดีว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการช่วงชิงมา ก็คือความเหลื่อมล้ำระหว่างกระบวนท่าเท่านั้นเอง

ความเหลื่อมล้ำระหว่างกระบวนท่าเพียงท่าเดียวเท่านั้น ก็มากเกินพอที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงแก่ชีวิตได้

เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ก็เพียงพอแล้ว

เฉินเสี่ยวกระโดดเตะด้วยพลังมหาศาล โหจื่อก็ยื่นมือออกไปขวางไว้ กลับต้องถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง

หลังจากโหจื่อถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว แสดงอาการหายใจที่ไม่สม่ำเสมอออกมาให้เห็น

โหจื่อหายใจกระหืดกระหอบ เฉินเสี่ยวสังเกตเห็นจังหวะก้าวเท้าของโหจื่อสับสนมาก จึงแสยะยิ้มอย่างดูถูก “ฉันตอนนี้จะมาเอาชีวิตแก ให้แกไปอยู่เป็นเพื่อนพี่น้องฉัน”

จากนั้นก็กระโดดเตะด้วยความเร็วสูงสุด พลังมหาศาลนั้นทำให้โหจื่อดูเหมือนแทบจะต้านทานไม่ไหว

การถูกโจมตีครั้งนี้ โหจื่อไม่เพียงแต่ถอยหลัง อีกทั้งในปากก็ยังอาเจียนเลือดสดๆออกมาอีกด้วย

หลังจากที่กระอักเลือดออกมาแล้ว หลี่ฝางก็กำหมัดไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด

หลี่ฝางรู้ดีว่า ถ้าขืนยังสู้ต่อไป โหจื่อจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน

ดังนั้นหลี่ฝางในเวลานี้ ไม่สามารถที่จะยืนดูละครต่อไปได้อีกแล้ว เขาจะต้องลงมือเพื่อช่วยเหลือโหจื่อ แต่ว่า ขณะที่เขากำลังจะขยับตัวนั้น หม่าเฟิงและหวางเชา ก็ก้าวเดินเข้ามาข้างหน้า มองหน้าหลี่ฝางอย่างดุดัน เพื่อเป็นการแสดงการแจ้งเตือน

ถ้าหลี่ฝางกล้าเข้าไปช่วยล่ะก็ งั้นหม่าเฟิงและหวางเชา ก็จะต้องเข้าไปช่วยเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย…….

หลี่ฝางถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกร้อนรนมาก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน

หลี่ฝางเข้าใจดีว่า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหม่าเฟิงหรือหวางเชา แม้แต่จางหลงนั้น ตัวเองก็ไม่อาจจะสู้เขาได้เลย

หลี่ฝางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ มองไปยังลุงเฉียน

ลุงเฉียนได้แต่มองไปยังหลี่ฝาง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รอดูไปก่อนค่อยว่ากัน”

ความจริงแล้ว โหจื่อก็ได้ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องคอยดูต่อไปอีกเลย แต่ว่าลุงเฉียนเข้าใจดีว่า ถ้าเขาและหลี่ฝางใครกล้าขยับ งั้นหม่าเฟิงและหวางเชาก็จะต้องขยับตามด้วยเช่นกัน

ถึงเวลานั้น คนที่ตายไม่ใช่เพียงแต่โหจื่อคนเดียวเท่านั้น

หลี่ฝางขมวดคิ้ว ถามอย่างร้อนรนว่า “ยังรอดูอะไรอีกล่ะ? โหจื่อเจ้างั่งนี่กระอักเลือดออกมาแล้ว”

ลุงเฉียนมองดูหม่าเฟิง แล้วพูดว่า “เฉพาะพละกำลังของฉัน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหม่าเฟิงคนนั้น อย่างมากก็แค่ช่วยสกัดกั้นหวางเชาเท่านั้นเอง ถ้าพวกเราลงมือช่วยโหจื่อ พวกเขาสองคนก็ต้องลงมือด้วยเหมือนกัน”

“ดังนั้นแล้ว เข้าไปช่วยก็ไม่มีประโยชน์”

ลุงเฉียนพูด

หลี่ฝางโกรธจนอยากจะด่าคน นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังจะมาวิเคราะห์สถานการณ์สนามรบอยู่อีกเหรอ?

เวลาเผาขนขนาดนี้แล้ว ควรจะเริ่มช่วยชีวิตคนก่อนได้แล้ว

หลี่ฝางกัดฟัน กำหมัดไว้แน่น ส่วนลุงเฉียนก็ได้แต่ดึงแขนของหลี่ฝาง แล้วพูดว่า “โหจื่อยังไม่ได้แพ้”

หลี่ฝางก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลุงเฉียนเอาความเชื่อมั่นนี้มาจากไหน

ทันใดนั้น หลี่ฝางก็นึกขึ้นได้ว่า ความถนัดที่ร้ายกาจที่สุดของโหจื่อ ไม่ใช่ปืนเหรอ?

ตั้งแต่ต้นจนจบ โหจื่อก็ยังไม่เคยได้ใช้ปืนเลย ดังนั้น โหจื่อไม่ใช่ไม่มีโอกาสที่จะพลิกเกมกลับมาได้

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว ในใจของหลี่ฝางก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก

อย่างน้อย ตอนนี้โหจื่อก็ยังถูกจู่โจมจากเฉินเสี่ยวไอ้หมอนั้นอยู่ แล้วจะมีโอกาสในการชักปืนตอนไหนกันเล่า?

ในจิตใจของหลี่ฝาง กลายเป็นตื่นเต้นและร้อนรนมาก แต่ว่า แต่กลับจนหนทาง

หม่าเฟิงมองดูลุงเฉียนด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับว่าไม่รีบร้อนที่จะลงมือสังหารลุงเฉียนและหลี่ฝาง จิตใจของเขาโหดเหี้ยมมาก เขาจะให้หลี่ฝางและลุงเฉียนยืนมองดูการตายของโหจื่อก่อน

รอให้โหจื่อตายแล้ว พวกเขาจึงค่อยลงมือ

คืนนี้ พวกเขาก็เหมือนเป็นผู้ชนะ กำชัยชนะอยู่ในมือแล้ว

ส่วนหวางเชาดูเหมือนจะทนรอไม่ไหวแล้ว เขามองไปยังหลี่ฝาง สายตาส่องประกายพลังพิฆาต “พี่ใหญ่ หรือว่าฉันจะไปจัดการไอ้เด็กน้อยนั้นก่อนดีล่ะ”

“ในตัวของไอ้เด็กน้อยนั้น มันมีอะไรที่แปลกประหลาดอยู่”

หม่าเฟิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เขาใช้เวลาไม่กี่วัน ก็กลายเป็นคนคนละคนอย่างกะทันหันท่านจวนบอกว่า ในตัวของเขาจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่ เมื่อกี้ตอนพวกเราเพิ่งมาถึง ท่านจวนสั่งว่า คนอื่นสามารถฆ่าได้ทุกคน แต่ว่าชีวิตของไอ้เด็กนี้ต้องเก็บเอาไว้ จับเขากลับไปศึกษาวิเคราะห์ดูว่า คนขี้ขลาดอย่างเขาทำไมจึงกลายมาเป็นยอดฝีมือได้รวดเร็วขนาดนี้ได้”

“ไอ้เด็กซน ก็ตายอยู่ในเงื้อมมือเขาด้วย”

หม่าเฟิงพูดต่อหน้าหลี่ฝางอย่างไม่ปิดบังว่า “ไอ้เด็กซนคนนั้นถึงแม้วรยุทธ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังมีพื้นฐานที่ดี”

“อีกอย่างเมื่อกี้แกก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า ฝีมือของเขาอาจจะด้อยไปบ้าง แต่ว่าดูเหมือนความเร็วของเขาว่องไวมาก ถ้าได้รับการฝึกฝนมากขึ้น เขาก็จะกลายเป็นโหจื่อคนต่อไป”

หม่าเฟิงพูด

หวางเชาก็รู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน “จริงอยู่ ไม่เพียงแต่ลูกชายของหล่อซ่าเท่านั้น แม้กระทั่งโหจื่อคนนี้ เมื่อสามปีก่อน ไหนเลยจะมีฝีมือดีเยี่ยมขนาดนี้ แม้แต่เสี่ยวหลงยังถูกเขาฆ่าตายเลย แม้งเอ๊ย เขาเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้ จะต้องใช้วิธีลัดอะไรสักอย่าง ต้องบีบบังคับให้พวกเขาคายความลับออกมาให้ได้ จากนั้นค่อยกำจัดพวกเขาทิ้งเสีย”

ส่วนตอนนี้ การสู้รบระหว่างโหจื่อและเฉินเสี่ยวนั้น ก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ก็เป็นเวลานี่เอง ทันใดนั้นโหจื่อก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา

“เกมควรจะจบลงได้แล้ว” โหจื่อพูดขึ้นมาทันควัน

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท