ขณะที่รถกำลังใกล้จะถึงหน้าประตูทางเข้าบ้านหลังนั้น ล้อทั้งสองของรถก็ถูกมือปืนซุ่มยิงได้ยิงยางล้อจนระเบิด รถจึงลื่นไถลวิ่งขวางไปตามทางห่างออกไปหลายเมตรแล้วจึงหยุดลง
“คุ้มกันพวกเธอลงรถ!”
คนขับรถตะโกนบอกลูกน้องสองคนในรถ ใช้ขาถีบประตูรถออกแล้วกระโดดออกไป
โป้ง!
กระสุนปืนของมือปืนซุ่มยิงพุ่งทะลุกระจก เข้าไปตรงตำแหน่งของคนขับรถ
คนขับรถคนนี้ก็เป็นคนที่มีประสบการณ์แก่กล้า รู้ว่าหลังจากที่รถวิ่งแฉลบจนรถขวางถนนแล้วตำแหน่งคนขับของตัวเองก็ถูกเปิดเผยสู่สายตามือปืนซุ่มยิง ขืนขับรถต่อไปอีกก็จะทำให้ศีรษะตัวเองถูกระเบิดกระจุยอย่างแน่นอน
ในอีกด้านหนึ่ง เหมิงเหมิงและลู่หลุ่ยถูกลูกน้องผลักลงจากรถ แล้วหมอบไปลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
เอี๊ยด———
ขณะที่พวกลูกน้องทั้งหลายคิดว่าหมดหวังที่จะได้เข้าไปในห้องโถงชั้นหนึ่งของคฤหาสน์แล้วนั้น ก็ปรากฏมีรถออดี้สีดำคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วจอดขวางตรงหน้าพวกเขาพอดี
“อย่าขยับ ฟังคำสั่งฉัน!”
ร่างของหลี่ฝางก็มุดออกมาจากหน้าต่างรถ อีกมือก็ลากศพที่หมดลมหายใจแล้ว เกือบจะทำให้ลู่หลุ่ยที่กำลังจะโผล่เข้าหาหลี่ฝางตกใจแทบช็อกตาย
เสียงปืนที่อยู่ข้างนอกประตูทางเข้าโรงพยาบาลค่อยๆเบาลง หลี่ฝางรู้ว่าพวกลูกน้องที่ตัวเองเรียกมานั้นคงถูกสังหารตายไปหมดแล้ว
หลี่ฝางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในมือก็ลากศพออกมา ยื่นศีรษะเขาไปข้างหน้ารถ
โป้ง!
เป็นไปตามที่หลี่ฝางคาดเดาไว้ กระสุนของมือปืนซุ่มยิงก็พุ่งเข้ามาทันที ทำให้คอของลูกน้องที่ตายไปแล้วถูกยิงจนขาดไปครึ่งหนึ่ง เลือดสาดกระเซ็นกระจายไปเต็มพื้น
โอ๊ย!
ลู่หลุ่ยและเหมิงเหมิงกรีดร้องเสียงดังอีกครั้ง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
“ถอยเร็ว!”
หลี่ฝางโยนศพที่ไร้หัวทิ้งไป กัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วเล็งยิงไปยังตำแหน่งของมือปืนซุ่มยิง เพื่อคุ้มกันลู่หลุ่ยให้ถอยร่นออกไป
มือปืนซุ่มยิงเปลี่ยนซองกระสุนค่อนข้างช้า ในช่วงสองสามวินาทีก็เพียงพอที่จะให้หลี่ฝางยิงตอบโต้มือปืนซุ่มยิงได้อีกครั้งหนึ่ง
ที่เหลืออีกสามคนทั้งจูงทั้งลาก พยายามดึงตัวเหมิงเหมิงและลู่หลุ่ยขึ้นมาจากพื้น แล้วรีบวิ่งไปยังประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่อย่างไม่คิดชีวิต
หลี่ฝางยิงไปถอยไป ขณะที่จวนจะถึงประตูทางเข้านั้น กระสุนปืนในมือก็หมดเสียก่อน จึงต้องโยนปืนทิ้งไป แล้ววิ่งตรงไปยังลู่หลุ่ยพวกเขา
โป้ง!
เสียงปืนสไนเปอร์ดังขึ้น หลี่ฝางพุ่งตัวไปข้างหน้าสุดแรงก่อนที่เสียงปืนดังขึ้นเพียงเสี้ยววินาที
“อุ้ย!”
หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา ไหล่ซ้ายถูกยิงแล้ว
ยังโชคดีที่กระสุนไม่ได้ทะลุเข้ากระดูก ไม่เช่นนั้นแล้วไหล่ซ้ายของเขาคงต้องพิการแน่นอน
ถ้าหากย้อนเวลาก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือน เขาจะไม่สามารถที่จะหลบกระสุนปืนนัดนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าความรู้สึกสัมผัสที่หกนั้นก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง
“หลี่ฝาง!”
ลู่หลุ่ยตะโกนเรียกด้วยความตื่นตกใจ กลัวจนน้ำตาไหลออกมา
“รีบหนีเร็ว!”
หลี่ฝางไม่ทันที่จะตรวจดูบาดแผลของตัวเอง กอดลู่หลุ่ยไว้แล้วกลิ้งตัวไปยังห้องโถงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จนกลิ้งไปหลบอยู่หลังกำแพง
โป้ง!
เสียงปืนสไนเปอร์ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ลูกน้องคนหนึ่งที่กำลังจะไปแอบหลังกำแพงถูกยิงล้มลง เลือดกระเด็นออกจากหน้าอกของเขา กลิ่นคาวเลือดแห่งความตายแผ่ซ่านออกไปทั่ว
ช้าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะสามารถหลบพ้นจากความตายได้แล้ว
แต่ว่าโชคชะตาก็ชอบล้อเล่นกับคนเราเช่นนี้เสมอ มักจะทำให้สิ้นหวังในขณะที่คนเรากำลังมีความหวัง
“ขอโทษ ขอโทษ………..”
ลู่หลุ่ยที่อยู่ข้างกายหลี่ฝางคลานลุกขึ้นมา มองดูหลี่ฝางที่เต็มไปเลือดทั้งตัว
ตอนนี้ เธอนอกจากพูดคำว่าขอโทษ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรได้อีก
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่เป็นไร คนที่ต้องพูดคำว่าขอโทษควรจะเป็นฉัน ฉันเป็นต้นเหตุที่ดึงพวกคุณเข้ามาเอง”
หลี่ฝางทนฝืนยิ้มแล้วนั่งตัวตรงขึ้นมา คิดอยากจะโอบกอดลู่หลุ่ยเพื่อปลอบใจเธอ แต่เห็นว่าตัวเองเปื้อนเลือดไปทั้งตัว จึงล้มเลิกความคิดไป
“คุณชาย ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
ลูกน้องที่เหลืออีกสองคนก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ทุ่มเทความหวังทั้งหมดไว้กับหลี่ฝางที่เพิ่งแสดงแสนยานุภาพออกมาในวันนี้
“พวกแกสองคนระวังป้องกันภัยไว้ ตรวจดูสิว่าในตึกยังมีนักฆ่าอื่นแอบแฝงอยู่หรือเปล่า จากนั้นก็ไปหาที่ที่ปลอดภัยซ่อนตัวไว้ก่อน”
หลี่ฝางเริ่มตรวจดูบาดแผลของตัวเอง มันน่าแปลกใจมาก บาดแผลในร่างกายของเขาที่ถูกยิงนั้น ดูเหมือนน่าเกลียดน่ากลัวมาก ความเจ็บปวดก็ค่อยๆเพิ่มพูนมากขึ้น แต่ว่าสีหน้าของเขากลับไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว เหมือนบุคคลที่สามที่เฝ้ายืนสังเกตอาการอยู่ข้างๆ สงบเยือกเย็นจนในใจตัวเองก็รู้สึกหวั่นกลัว
เมื่อได้ยินว่าภายในนี้อาจจะมีนักฆ่าคนอื่นอยู่ ทำให้ลูกน้องสองคนนั้นตกใจกลัวจนแทบจะอุจจาระราดออกมา รีบยกปืนขึ้นมาส่องกราดไปรอบๆด้าน
“พวกแกยังเหลือลูกกระสุนอีกเท่าไหร่?”
หลี่ฝางสำรวจภายในร่างตัวเอง เห็นว่าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ตัวเขาเองตอนที่ออกมาก็มาด้วยความรีบเร่ง แทบจะไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย
“ฉันยังมีกระสุนสิบนัด” ลูกน้องคนหนึ่งตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ฉันยังมีห้านัด” ลูกน้องอีกคนก็แสดงความกังวลออกมา กระสุนปืนเพียงแค่นี้ ต่อให้ยิงศัตรูถูกทุกนัด ก็ไม่สามารถจะสังหารคนจำนวนทั้งหมดได้เลย
หลี่ฝางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ถามอะไรอีกต่อไป ลากศพของลูกน้องที่ตายไปแล้วที่อยู่หลังกำแพง ใช้วิธีเดิมเอาศีรษะของศพนั้นยื่นล่อออกไปนอกประตูเล็กน้อย
โป้ง!
กระสุนปืนของมือปืนซุ่มยิงก็ยิงเข้ามาอย่างไม่รีรอ ศีรษะของศพนั้นก็แตกกระจายทันที
ศัตรูไม่ใช่โหดเหี้ยมธรรมดา แต่เป็นโหดเหี้ยมอำมหิตมากทีเดียว หากไม่ได้รับการแจ้งเตือนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูในจินตนาการเข้ามาปรากฏในเลนส์กล้องของเขา ก็ต้องถูกสังหารทั้งนั้น
ถึงแม้นี่อาจจะเป็นการติดกับดักของศัตรูก็ตาม แต่มือปืนซุ่มยิงพวกนี้จะยอมยิงพลาดไปพันครั้งก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
“คุณชาย ทำยังไงดี? ขึ้นไปหลบชั้นบนไหม?”
“หนีลงข้างล่างดีกว่า ชั้นบนมีห้องผู้ป่วยมากขนาดนั้น ไม่แน่ก็อาจจะมีคนแอบซุ่มอยู่ข้างในก็ได้ ฉันจำได้ว่าชั้นล่างโรงพยาบาลนี้เป็นห้องเก็บศพ ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ พวกเราอาจจะต้องแกล้งตายเป็นศพไม่แน่อาจจะรอดสายตาไปได้”
หลี่ฝางยิ้มพลางจูงลู่หลุ่ยไว้ เตรียมพร้อมที่จะลุยเต็มที่
ในขณะนั้นเองมือถือของเขาก็ดังขึ้นมาทันที
“เป็นยังไงบ้าง ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” เสียงที่หนักแน่นเชื่อถือได้มาโดยตลอดนั้นดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ทางนั้น
“ส้าวส้วย ในที่สุดแกก็มาถึงแล้วเหรอ?” หลี่ฝางดีใจขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์พวกแกนี้ยังไม่เลวเลย หลบต่อไปสักพัก ไม่ต้องไปฝืนสู้ตายกับศัตรู ฉันกำลังจะมาถึง” ส้าวส้วยพูดจบก็วางสายไป
จากนั้น หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากข้างนอก
“ดีจังเลย คนที่ช่วยพวกเรามาถึงแล้ว!” ทุกคนต่างก็ดีใจ เมื่อครู่หลายคนยังมีอาการหมดอาลัยตายอยากอยู่เลย อีกนิดเดียวก็อาจต้องสูญเสียชีวิตไป ตอนนี้ความรู้สึกที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เช่นนี้ย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกตื้นตันเป็นที่สุด
“อย่าเพิ่งชะล่าใจ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ถึงวินาทีสุดท้ายแล้วต้องตายตอนจบล่ะ” หลี่ฝางรีบพูดเตือนสติทุกคน หากตายก่อนที่จะได้เห็นแสงอรุณรุ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ในไม่ช้า เสียงข้างนอกก็เงียบสงบลงอย่างสนิท เสียงของส้าวส้วยดังมาจากข้างนอก “เสี่ยวฝาง ออกมาเถอะ”
ในที่สุดหลี่ฝางก็โล่งอก พาพวกลู่หลุ่ยเหมิงเหมิงและลูกน้องที่เหลืออีกสองคนเดินออกมา ก็ได้เห็นส้าวส้วยยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า พวกคนที่อยู่ข้างนอกกำลังเก็บกวาดสถานที่อย่างขมีขมัน
“แกบาดเจ็บเหรอ?” เมื่อเห็นท่าทางหลี่ฝางผิดปกติ ส้าวส้วยถามพลางขมวดคิ้ว
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ระวังถูกปืนยิงเข้าหนึ่งนัด” หลี่ฝางยิ้ม เมื่อครู่ยังไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ผ่อนคลายลงแล้ว ความเจ็บปวดก็เหมือนคลื่นซัดถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เจ็บปวดจนเขาฉีดปากกัดฟัน
“ที่นี่ไม่สะดวกในการพูดคุยกัน ขึ้นรถก่อน ออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะออกไปลำบากขึ้น”
“งั้นพวกเราจะไปไหนกันล่ะ?” หลี่ฝางฉงนเล็กน้อยไปสักครู่
“กลับไปสถานตากอากาศก่อน” ส้าวส้วยพูดอย่างไม่ลังเล