NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 827 ภาวะวิกฤตรุนแรงยิ่งขึ้น

บทที่ 827 ภาวะวิกฤตรุนแรงยิ่งขึ้น

สถานตากอากาศเหรอ?

ตอนแรกหลี่ฝางก็รู้สึกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจื่อนๆ

ตอนนี้เขารู้สึกแอบดีใจที่ฉินวี่เฟยไม่ได้อยู่ที่สถานตากอากาศแล้ว ไม่เช่นนั้นละก็หญิงสาวทั้งสองคนนี้เมื่อเจอหน้ากันก็ไม่รู้จะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นอีก

พูดตามความจริง ตอนนี้ความรู้สึกของเขาสับสนมาก ในเมื่อได้อยู่กับฉินวี่เฟยแล้ว แต่ตอนนี้กลับดึงเอาลู่หลุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะให้ลู่หลุ่ยจากไปตอนนี้ อีกทั้งระหว่างทางที่พบกับเรื่องราวอันตรายขึ้นนี้ ลู่หลุ่ยต้องเผชิญความลำบากก็เพราะว่าเขา จึงคาดเดาได้ยากมากถ้าหากลู่หลุ่ย ไม่ได้อยู่ข้างกายหลี่ฝางแล้วจะต้องเผชิญกับภัยอันตรายมากน้อยเพียงใด

ระหว่างทางที่กลับไปนั้น ภายในรถมีพยาบาลคอยช่วยทำแผลอย่างง่ายๆให้กับหลี่ฝาง

“ตั้งลั่ง” กระสุนปืนสีเหลืองทองก็ตกลงมาบนจาน ลูกกระสุนที่เปื้อนเลือดนั้นมีลักษณะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกฝังอยู่ในกล้ามเนื้อของหลี่ฝาง แต่ยังไม่ได้ทะลุออกไป

“คราวนี้แกทำได้ไม่เลวเลย” หลังจากที่ส้าวส้วยนั่งดูการทำแผลของหลี่ฝางอย่างเงียบๆแล้ว จากนั้นก็ชมด้วยรอยยิ้ม

“แกก็อย่าหัวเราะเยาะฉันสิ” หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะยิ้มฝืดๆ

“ไม่ใช่หัวเราะเยาะ จริงจังนะ” สีหน้าส้าวส้วยเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “พูดตามความจริงนะหลังจากที่ฉันกลับมาจากเมืองนอกแล้วฉันคิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าจะมีใครกล้าที่จะซุ่มยิงแกอย่างอุกอาจได้ขนาดนี้ พวกฉันล้วนเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตฝ่าดงกระสุนปืนมาอย่างโชกโชนแล้วทั้งนั้น แต่แกไม่ใช่ เมื่อก่อนฉันยังเป็นห่วงว่าแกมีแต่พละกำลังแต่ยังไม่มีสติยั้งคิด ตอนนี้ฉันวางใจแล้ว ลูกชายของหลอซ่าก็คือลูกชายของหลอซ่า ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่โดดเด่นสะดุดตายังไง เมื่อเริ่มกางปีกโบยบิน ก็สามารถทะยานไปสู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้าได้เลย ทำให้ผู้คนล้วนคอยแหงนหน้ามองไปตามกัน”

หลี่ฝางนึกไม่ถึงว่า ส้าวส้วยถึงกับพูดชมเขาด้วยคำติชมที่สูงค่าถึงเพียงนี้ เขารู้สึกหลงระเริงลืมตัวไปชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อก่อนนั้นอยู่ต่อหน้าส้าวส้วย โหจื่อคนพวกนี้แล้ว ตัวเองก็เหมือนกับน้องชายคนหนึ่ง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจับไก่สักตัว หรือแม้แต่กลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมก็สู้คนอื่นไม่ได้เลย ที่ผ่านมาก็ได้แต่อาศัยพวกเขาตัวเองจึงได้เป็นคุณชายมาโดยตลอด ถ้าไม่มีพวกเขาแล้ว ตัวเองก็คงไม่เป็นอะไรสักอย่าง

แต่ว่าตอนนี้หลี่ฝางกลับพบว่า เขาค่อยๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจนไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้แล้ว เขาก็อยากจะกลายเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีความสามารถเพียงพอที่จะไปกันแดดกันฝน พร้อมที่จะรับมือกับศัตรูจากทั่วสารทิศได้

“ใช่แล้ว เรื่องราวคราวนี้จะเป็นแผนการของมู่หรงฉางเฟิงจริงเหรอ?” หลี่ฝางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก มู่หรงฉางเฟิงบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่” เมื่อพูดถึงปัญหานี้แล้ว ส้าวส้วยก็รู้สึกจริงจังขึ้นมาไม่น้อยเลย “มู่หรงฉางเฟิงใจไม่กล้าขนาดนี้หรอก และก็ไม่มีความเก่งกาจสามารถขนาดนั้นด้วย ฉันสังเกตเห็นเงาร่างของบางคนในอดีตที่แฝงอยู่ในตัวของคนที่ลงมือพวกนั้น”

“คนในอดีตเหรอ?”

“เออ นั่นเป็นศัตรูของพวกเราที่เมืองนอก”

“สำนักหยิ่งซาเหรอ?”

“แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เป็นคนในราชวงศ์ ตอนนี้ฉันยังยืนยันไม่ได้” ส้าวส้วยส่ายหน้า ด้วยท่าทีที่หนักใจ

“เสี่ยวฝาง คนของสององค์กรใหญ่นี้มีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่าที่แกคิดเสียอีก หนี้บุญคุณความแค้นของพวกเรากับสององค์การใหญ่นี้ ก็ซับซ้อนกว่าที่แกคิดเสียอีก ตอนนี้ฉันอาจจะไม่สามารถที่จะเล่าเรื่องราวรายละเอียดให้แกรู้ทุกอย่าง แต่ว่าสักวันหนึ่งแกคงต้องได้รับรู้เรื่องราวความจริงทุกอย่างในไม่ช้าก็เร็ว”

เมื่อฟังน้ำเสียงคำพูดของส้าวส้วยแล้ว ใจของหลี่ฝางก็รู้สึกเจ็บแปลบ แล้วถามว่า “พวกเขาใช้กำลังคนมากเท่าไหร่ที่มาจัดการพ่อฉันกันแน่?”

“ไม่มีใครรู้ แต่ว่าแกควรจะเชื่อมั่นในตัวเขานะ” ส้าวส้วยก็ยังไม่ยอมเปิดเผยเหมือนเดิมอาจจะเพราะว่าเขายังไม่มีความมั่นใจก็ได้

“ถ้าหากว่าสององค์กรใหญ่นั้นก็เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วยละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์ของเมืองเอกนี้ก็จะยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น แล้วอันตรายที่แกจะต้องเผชิญหน้าด้วยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แกเข้าใจความหมายที่ฉันพูดไหม เสี่ยวฝาง?”

หลี่ฝางแสยะยิ้ม เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า การไล่ล่ายิงอย่างอุกอาจตลอดทางที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ก็เป็นวิธีการอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่ทำให้เขาได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว

นั่นเป็นภาวะวิกฤตที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ระดับชั้นก็ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับความรุนแรงที่เข้ามาจู่โจมในวันนี้ การเตะต่อยเหมือนจิ๊กโก๋ปากทางสมัยก่อนนั้นก็ยิ่งไม่มีค่าควรที่จะไปพูดถึงเลย

ความจริงแล้วในคำพูดของส้าวส้วยนั้นยังแฝงความหมายที่ลึกซึ้งไว้อีกด้วย นั่นก็คือในขณะที่อันตรายที่เขาจะต้องเผชิญนั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร คนที่อยู่รอบข้างของเขาก็จะมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นลู่หลุ่ยเธอก็เหมือนหมากตัวหนึ่ง เป็นเหยื่อล้อให้หลี่ฝางมาติดเบ็ดได้ตลอดเวลา ส่วนชีวิตของเธอนั้นอาจพูดได้ว่าจะต้องสั่นคลอนอยู่ท่ามกลางพายุฝน ถ้าหากเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เพียงแค่ตัวหลี่ฝางคนเดียวแล้วละก็ ลู่หลุ่ยก็อาจมีอัตรายถึงแก่ชีวิตได้ตลอดเวลา

ความห่างเหินระหว่างหลี่ฝางและลู่หลุ่ยนั้น ก็ย่อมจะต้องยิ่งห่างกันมากขึ้นด้วย หลี่ฝางสามารถฟังเข้าใจความหมายที่ลึกลงไปของส้าวส้วยได้

ก็เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเอง หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีความสามารถเพียงพอในการปกป้องตัวเองแล้วละก็ พวกเขาก็จะไม่สามารถที่จะอยู่เคียงคู่กันถึงทุกวันนี้ได้ รวมทั้งผู้ติดตามของพวกเขาด้วย อย่างเช่นส้าวส้วย โหจื่อ ซือปาจี้ เป็นต้น ผู้ที่ติดตามยอดฝีมือได้ก็ย่อมจะต้องเป็นยอดฝีมือเท่านั้น คนด้อยฝีมือก็ย่อมไม่มีสิทธิ์จะเข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว

รถแล่นมาถึงสถานตากอากาศด้วยความรวดเร็ว ที่นี่ก็เหมือนเมื่อก่อน เงียบสงบมาโดยตลอด

ก่อนอื่นหลี่ฝางก็รีบไปดูลุงเฉียนที่กำลังนอนจมอยู่ในห้องปลอดเชื้อ เขายังนอนสลบไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ระโยงระยางที่ใช้ควบคุมสภาวะร่างกายของเขา

ส่วนร่างกายของโหจื่อก็ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถที่จะฝืนยืนขึ้นเดินด้วยตัวเองได้แล้ว แต่ว่าคราวที่แล้วเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสรุนแรงมาก ไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น ยังรวมไปถึงอวัยวะภายใน และกระทั่งระบบประสาท หากคิดจะให้ฟื้นคืนสู่สภาพเหมือนเดิมทุกอย่างนั้นเกรงว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว

แต่ว่า โหจื่อเจ้าหมอนี่ก็ยังหน้าตาระรื่นเหมือนเดิม เมื่อเห็นหลี่ฝางมาถึงแล้วก็เข้าไปทักทายเขา และให้หลี่ฝางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่วันที่ผ่านมาให้เขาฟัง

เมื่อเขาได้ยินจากปากของหลี่ฝางเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่กี่วันนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะตบขาแล้วพูดว่า “เสียดายจริงๆที่ไม่ได้อยู่ข้างกายคุณชาย พลาดโอกาสเรื่องราวที่สนุกๆเช่นนี้ไปได้!”

หลี่ฝางอดไม่ได้ที่ทำตาค้อนใส่ สนุกเหรอ? เอาชีวิตให้รอดก่อนดีกว่าไหม!

แต่ว่าต่อจากนั้นโหจื่อก็พูดแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่หลี่ฝางถูกซุ่มโจมตีเมื่อครู่ที่ผ่านมา อย่างน้อยการต่อสู้ที่อุกอาจรุนแรงเช่นนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง แทบจะพูดได้ว่าเป็นการจู่โจมที่เปิดเผยไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่งจึงจะยุติลงได้

สี่ตระกูลใหญ่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของพวกเขาได้จบลงไปแล้ว ภายใต้การนับวันที่ค่อยๆตกต่ำลงทุกที ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาออกได้ว่ามีคนบางจำพวกวิ่งเข้าสู่เส้นทางความรุนแรงอย่างบ้าคลั่งได้

“หรือไม่ก็รอให้แผลฉันหายดีก่อน แล้วไปจัดการมู่หรงฉางเฟิงคนนั้นให้จมดินไปเลย! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขายังจะหากระบอกเสียงจากที่ไหนได้อีก!” โหจื่อพูดอย่างเกรี้ยวกราด สายตาส่องประกายความเคร่งขรึม

หลี่ฝางสะดุ้งตกใจกับคำพูดของโหจื่อ คนอื่นพูดแล้วก็แล้วกันไป แต่ถ้าเป็นคนนี้แล้วละก็พูดได้ต้องทำได้แน่นอน เผื่อว่าเขาอาจจะย่องออกไปกลางดึกแล้วแอบไปยิงมู่หรงฉางเฟิงตายไปเลยก็ได้ งั้นก็จะต้องมีเรื่องราวสนุกเกิดขึ้นอีกแน่นอน

“แกรักษาตัวดีๆก่อนเถอะ หยุดคิดอะไรทุกอย่างชั่วคราวไปก่อน ไม่อย่างนั้นแกอาจจะ กลายเป็นลิงพิการก็ได้นะ” หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะพูดกระเซ้าเล่น

มาตรฐานการรักษาของหมอในสถานตากอากาศค่อนข้างสูงมาก เขาช่วยตรวจร่างกาย ให้กับลู่หลุ่ยอย่างรวดเร็ว แน่ใจแล้วว่าไม่มีโรคที่ตกค้างจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งเพียงแค่ให้พักผ่อนไม่กี่วันก็หายดีแล้ว

นี่กลับทำให้หลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ เขาควรจะจัดการอย่างไรดีกับความรู้สึกที่มีต่อลู่หลุ่ย? ไม่ใช่สิ ตอนนี้ไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่องความรู้สึกแล้ว เพียงแค่ให้อยู่ใกล้ชิดกับตัวเอง ก็สามารถทำให้ลู่หลุ่ยมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้แล้ว

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท