ทั้งสองคนเดินขึ้นมาทีละขั้นจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เชิญหน้ามองไปทางจิ๋นซีฮ่องเต้
ในตอนนั้นเอง ร่างไร้วิญญาณของจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ได้ขยับเล็กน้อยโดยที่ไม่อาจสัมผัสได้
“กร๊อบ”
ถึงแม้ว่าเสียงจะเบามาก แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นหูของแดนเต๋าทั้งสองคนได้
หลังจากนั้น ภายใต้สายตาอันน่าเหลือเชื่อของทั้งสองคนนั่นเอง ร่างของจูหลงก็ได้ค่อย ๆ แตกออก ด้วยความเร็วที่ทั้งสองไม่อาจทำอะไรได้เลย ก็ได้แตกสลายไปอีกครั้ง อันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง
พรึบ!
ทั้งสองคนพุ่งออกไปพร้อม ๆ กัน และได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าบัลลังก์มังกรภายในชั่วพริบตา แต่กลับทำได้เพียงเฝ้ามองร่างของจูหลงอันตรธานหายไปในอากาศ
“หายไปแล้ว……” กู่ยี่เทียนกล่าวพึมพำ
หลี่ฝางพิจารณาบัลลังก์มังกรอยู่สักพัก ไม่มีแม่แต่ฝุ่นละออง การสลายหายไปของจูหลงไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลย
“ทำไมถึงได้สลายไปแบบนี้ล่ะ?”
กู่ยี่เทียนคำรามเสียงต่ำ สีหน้าดูไม่ได้อย่างสุดขีด
“ไปไหนแล้ว! ไปไหนแล้วกันแน่!”
หลี่ฝางขมวดคิ้ว แล้วตวาดอย่างเยือกเย็น: “กู่ยี่เทียน สงบสติหน่อย!”
เขาเข้าใจความรู้สึกของกู่ยี่เทียนในตอนนี้ เพราะถึงยังไงซะ วิธีสำเร็จถึงขั้นแดนดั่งเทพได้อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่กู่ยี่เทียนได้เข้าร่วมทีมสำรวจสุสานจูหลง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้มาถึงขึ้นสุดท้าย แต่จู่ ๆ ก็กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง ความรู้สึกหดหู่แบบนั้นก็สามารถทำให้ตัวเองเสียใจได้เหมือนกัน
แต่ตอนนี้หลี่ฝางไม่มีเวลาที่จะมารอให้กู่ยี่เทียนค่อย ๆ ปรับความรู้สึก ร่างไร้วิญญาณของจูหลงแตกสลายไปอย่างกะทันหัน จะดูยังไงก็ไม่ปกติ
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายหรือไม่?
หลี่ฝางจับกู่ยี่เทียนเอาไว้ทันที กำลังภายในสายหนึ่งถูกขับเคลื่อนออกมา ทำให้กู่ยี่เทียนมีสติขึ้นมาบ้าง
กู่ยี่เทียนรู้สึกถึงความเจ็บปวด จึงพลันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที แล้วกล่าวเสียงเบา: “ขอโทษด้วย ฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปชั่วขณะ”
“นายสงบสติอารมณ์เอาไว้ แล้วมาแก้ไขปัญหาที่พวกเราเผชิญอยู่ตอนนี้ก่อนเถอะ” หลี่ฝางมองไปรอบ ๆ พลางกล่าว
กู่ยี่เทียนเองก็สังเกตเห็นปัญหาขึ้นมาทันที
“นี่……กำแพงกำลังบีบตัวเข้ามาเหรอ?”
“เป็นตำหนักทั้งตำหนักกำลังหดเล็กลงต่างหาก!” หลี่ฝางตวาดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“จะเป็นไปได้ยังไง?” กู่ยี่เทียนตะโกนเสียงดัง แต่กลับพบว่าหลี่ฝางพูดถูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ต่างก็กำลังหดเล็กลง ช่องว่างด้านในเองก็เล็กลงเป็นธรรมดา
“รีบไปเร็ว ช้ากว่านี้พวกเราคงออกไปไม่ได้แล้ว!” หลี่ฝางรีบพุ่งไปยังด้านนอกทันที
“วัสดุของตำหนักแห่งนี้เหมือนกับสิบสองคนทอง ไม่สามารถทำลายได้เลย!”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพุ่งตัวออกไปทางด้านนอกนั่นเอง ความเร็วในการหดตัวของตำหนักก็ได้เพิ่มขึ้น ราวกับว่าแค่หายใจก็จะหดเล็กลงมาอีกขั้น!
“แย่แล้ว! เร็วเข้า!”
ทั้งสองคนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง และเพิ่มความเร็วขึ้นถึงขีดสุด จู่ ๆ ภายในตำหนักก็ได้เกิดลมกระโชกแรงขึ้นมา เงาร่างของทั้งสองคนได้มาถึงประตูภายในชั่วพริบตา!
เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ตำหนักขนาดใหญ่ก็ได้หดเล็กลงมาอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างเพดานกับพื้นนั้นสูงเพียงสองเมตร พวกหลี่ฝางเหมือนกับได้กำลังเดินอยู่ในโมเดลบ้านอย่างไรอย่างนั้น!
“ไปเร็ว!”
ทั้งสองคนพุ่งตัวออกมาจากประตูใหญ่ที่สูงเพียงเมตรกว่า ๆ
ชั่วพริบตาที่พวกเขาพุ่งตัวออกมาได้นั่นเอง ตำหนักก็ได้หดตัวลงอีกครั้ง ถ้าหากช้าไปอีกสักก้าวเกรงว่าพวกเขาคงออกมาไม่ได้แล้ว
พึ่งจะหนีรอดออกมาได้ ทั้งสองคนยังไม่ทันที่จะยินดีปรีดา ฉากตรงหน้าก็ได้ทำให้ทั้งสองคนตะลึงงันไปอีกครั้ง!
“อยู่บนพื้นที่หกแสนตารางเมตร สูงตระหง่านปกคลุมท้องนภา จากด้านเหนือของภูเขาหลีซาน หันหน้าไปทางทิศตะวันตก จนถึงเมืองเสียนหยาง แม่น้ำเว่ยสุ่ยและแม่น้ำฝางชวนคลื่นซัดซู่ซ่า ไหลเข้าสู่กำแพงวัง ห้าก้าวหนึ่งตึก สิบก้าวหนึ่งตำหนัก ระเบียงทางเดินยาวคดเคี้ยว ชายคาที่ยื่นออกมาจะงอยปากนก แต่ล่ะที่เป็นไปตามภูมิประเทศ ผู้คนทั่วทุกสารทิศจิตใจเป็นหนึ่งเดียว แต่ก็ไม่คลายที่จะทะเลาะเบาะแว้ง ศาลาตำหนักสลับกันไปมา คดเคี้ยววนเวียน ราวกับรังผึ้งที่อยู่กันอย่างแน่นหนา และเหมือนกับกระแสน้ำวน ตั้งสูงตระหง่าน ไม่รู้ว่ามีกี่พันกี่หมื่นหลัง สะพานยาวทอดข้าวกระแสน้ำ บนทั้งฟ้าไม่มีเมฆลอย มังกรสีครามบินมาจากแห่งหนใด? ลอยทอดอยู่บนท้องนภา หาใช่ฟ้าหลังฝนไม่ ทำไมถึงได้มีสายรุ้ง? หลังคาเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ลึกวังเวงและเลือนราง ทำให้คนไม่อาจแยกแยะใด ๆ ได้ ในเรือนขับร้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากเสียงร้อง ราวกับแสงสาดส่องของฤดูใบไม้ผลิ ในตำหนักฟ้อนรำเต็มไปด้วยความรู้สึกเหน็บหนาว ราวกับความเศร้าวังเวงจากลมและฝน ภายในหนึ่งวัน ในตำหนักเดียวกัน อากาศนั้นกลับไม่เหมือนกัน”
นี่คือ ที่เขียนบรรยายพระราชวังเออฝางกง
ฉากที่อยู่ตรงหน้า ราวกับที่ได้บรรยายไว้ในบทกลอนนั่นไม่มีผิด!
“หรือว่านี่จะเป็นพระราชวังเออฝางกงในตำนาน?” ทั้งสองคนกล่าวด้วยความตกใจ
พวกเขาทั้งสองคน ราวกับคนยักษ์ที่ได้มาในถิ่นฐานของมนุษย์ตัวจิ๋วอย่างไรอย่างนั้น มองดูสิ่งก่อสร้างที่หดเล็กเหล่านั้น ภายในใจของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลวไหลไร้สาระ!
ดูนั่น! ตรงนั้นคือเส้นทางมายามาหรือเปล่าน่ะ! จู่ ๆ หลี่ฝางก็ได้ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง กู่ยี่เทียนเพ่งมองดู และได้ตกใจขึ้นมาทันที เขามองดูอีกครั้ง และได้ตะโกนออกมา: “ยังมีวังวนใหญ่และลานหยกขาว!” “หรือว่าสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะสร้างขึ้นตามแบบของพระราชวังเออฝางกง?”
“โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างทั้งสองเหมือนกันไม่มีผิด!”
ไม่รอให้ทั้งสองคนได้ประหลาดใจต่อไป จู่ ๆ กาลเวลาโดยรอบก็ได้เปลี่ยนไป สติของทั้งสองคนก็ได้วิงเวียนไปตาม
รู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง ทั้งสองคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวเองได้ยืนอยู่บนลานหยกขาว ข้างหน้านั้นก็คือสิบสองคนทองที่ยื่นตระหง่านอยู่ในอากาศนั่นเอง!
“นี่……นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ทั้งสองคนรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ
“ลองเข้าไปดูอีกครั้งกัน!” ทั้งสองคนรีบตัดสินใจทันที
ทันใดนั้นเอง เงาร่างสองสายก็ได้พุ่งกลับเข้าไปในอากาศอีกครั้ง
ครั้งนี้ ทั้งสองคนไม่คิดที่จะต่อสู้กับสิบสองคนทองเลยสักนิด ทั้งสองได้ระเบิดความเร็วที่เร็วที่สุดออกมาทันที ทิ้งคนทองเอาไว้ที่ด้านหลัง เพียงชั่วพริบตาทั้งสองก็ได้บุกขึ้นมายังยอดเกาะ
ถึงแม้จะเป็นเพราะระเบิดพลังออกมารุนแรงเกินไป ทำให้ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด หลังจากที่ก้าวเท้าลงไปบนเกาะหยกขาวพวกเขาก็เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง และเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดอย่างไม่หยุดหย่อน
หลังจากที่พวกเขาเดินมาจนสุดขั้นบันได ที่ด้านหน้าก็ได้ปรากฏภาพมายางานเลี้ยงขึ้นมาอีกครั้ง
หลี่ฝางใช้ความตั้งใจอันแน่แน่วของเขา ทำลายภาพมายาที่อยู่ตรงหน้าไปทันที และได้มาถึงตำหนักใหญ่นั่นอีกครั้ง! ร่างไร้วิญญาณของจูลง ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
ในเวลานี้กู่ยี่เทียนกลับยังไม่ตื่นขึ้นมา หลี่ฝางแอบด่าอยู่ในใจ ไม่ได้ปฏิบัติการเพียงลำพัง จึงทำได้เพียงรอให้กู่ยี่เทียนตื่นขึ้นมา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการรอในครั้งนี้ ได้ผ่านไปห้านาทีแล้ว