NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1169 คำพูดของชายชรา

บทที่ 1169 คำพูดของชายชรา

เพียงแค่ฟังชายชราพูดถึงผู้อาวุโส ทั้งยังแสดงท่าทีที่เคร่งขรึม หลี่ฝางถึงกับอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นนำแฟ้มเอกสารที่ชายชราเปิดออกดู

“นี่คือไฟล์ที่คุณไปดึงมาในตอนแรก ตอนนี้คุณสามารถดูได้แล้ว”

“ฮะ นี่คืออะไร??” หลี่ฝางรู้สึกประหลาดใจ

“เหอะ ๆ ไม่รู้ว่านายเคยได้ยินเรื่องแผนการสงครามดวงดาวหรือเปล่า” ผู้อาวุโสอุบอิ๊บไว้ แล้วก็หัวเราะออกมา

“ว่าไงนะ!?”

หลี่ฝางไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสพูด แต่ก็พอนึกอะไรได้บางอย่าง

“ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยได้ยินมาบ้าง เป็นเรื่องที่พึ่งเกิดได้ไม่นานนี่เองหรือ? ว่ากันว่าบางประเทศได้รับยานอวกาศจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว หลังจากนั้นก็ได้นำมาวิจัยต่อ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย หลังจากนั้นโครงการก็ได้หยุดชะงักไป ใช่แผนการนี้หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว มันก็คือเรื่องนั้นล่ะ นายเองก็รู้มาบ้างสินะ” ชายชราถอนหายใจช้าๆ “แต่นายทายถูกแค่ครึ่งเดียว ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาไม่คิดที่จะหยุดแผนการนี้ มิฉะนั้น ทำไมนายถึงคิดว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

เมื่อหลี่ฝางได้ยินเรื่องนี้ เขาถึงกับตกตะลึง

“ระดับของเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ยิ่งให้ผลงานวิจัยมากขึ้น อันที่จริงพวกเขาพัฒนาได้ช้ามาก พูดตรงๆ ก็คือระดับเทคโนโลยียังไม่ถึงขั้น”

“อันที่จริงไม่ใช่แค่ประเทศมหาอำนาจเท่านั้นที่ทำสิ่งนี้ แต่ทุกประเทศกำลังทำสิ่งนี้เช่นกัน ท้ายที่สุด ต่างคนไม่อยากให้ประเทศตัวเองล้าหลัง นี่คือความจริงเบื้องหลังการถูกทำร้าย ฉันคิดว่านายน่าจะเข้าใจ…”

“สำหรับแผนของประเทศเรานั้นเรียกว่าพิมพ์เขียวชั่วคราว ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ”

หลี่ฝางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “เวรเอ่ย นอกจากมนุษย์แล้ว เป็นไปได้ไหมว่ามีสิ่งมีชีวิตจากอารยธรรมอื่น”

“ใครจะไปรู้ ก็คงมีอยู่นั้นล่ะ แต่เราไม่เคยเจอ ดังนั้นคงให้คำตอบที่แน่นอนกับนายไม่ได้”

หลี่ฝางพยักหน้าและฟังพูดผู้อาวุโสพูดต่อว่า “งั้นนายก็บอกฉันว่าแผนของเราคืออะไร?”

“ผมจะบอกคุณแล้วกัน” ผู้อาวุโสพูดอย่างช้า ๆ หลังจากจิบชา “หลัก ๆ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน ส่วนแรกคือแหล่งพลังงาน นายคงเข้าใจอยู่บ้างนะ?”

หลี่ฝางพยักหน้าเล็กน้อย อันที่จริงเขาเคยเรียนรู้จากคนคนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้

“งั้นก็ดี ฉันพูดต่อแล้วกัน” ชายชรายิ้มและพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นงานของเราคือการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานสินะ”

“ถ้าเช่นนั้นครั้งที่แล้วที่ญี่ปุ่นขโมยไปมันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอันนี้ใช่ไหม?” หลี่ฝางถาม

หลี่ฝางคิดไปชั่วครู่ พบว่าตนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันลึกลับเกินไป ทุกอย่างที่ตนเรียนมามันก็แค่ความรู้พื้นฐาน แต่ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ขั้นสูง แม้แต่หลี่ฝางที่เป็นเด็กมหาวิทยาลัยเมื่อได้มองดูสิ่งเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกเป็นแค่เด็กขวบสองขวบ ไม่สามารถสัมผัสใดๆ ได้เลย

“แล้วส่วนที่เหลือล่ะ” หลี่ฝางถาม

“ต่อไปคือการใช้อาวุธความร้อน ซึ่งอาวุธความร้อนมีความสำคัญมาก”

หลี่ฝางพยักหน้า: “อาวุธสามารถเอาชนะคนส่วนใหญ่ได้ นอกจากนักรบแล้ว ยังไม่มีใครสามารถต้านทานสิ่งนี้ได้ เช่นเดียวกับฉันที่อาวุธความร้อนธรรมดาไม่สามารถจัดการได้”

“เหอะ ๆ หลี่ฝาง นายคิดว่าอาวุธปกติไม่สามารถจัดกับนายได้เหรอ?”

หลี่ฝางหัวเราะคิกคักและพูดว่า: “ไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธขนาดใหญ่หรือมากมาย แม้ว่าผมไม่สามารถแบกมันลงด้วยตัวเอง อย่างน้อยการวิ่งหนีก็ไม่น่าเสียหายอะไร มาคุยกันดีกว่า ใครกล้าที่จะต่อกลอนกับคนตัวเล็กอย่างผม คงต้องหาเรื่องที่มันยิ่งใหญ่หน่อย จริงไหมล่ะครับ ผู้อาวุโส? ดังนั้นผมขอเลยบอกว่าอาวุธไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉัน และพวกเขาก็ไม่ได้โม้”

หลี่ฝางไม่ได้โม้เกี่ยวกับตัวเอง แต่แค่บอกข้อเท็จจริงบางอย่าง

“ฉันรู้หลี่ฝาง นายได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของนายในการต่อสู้ และหลายคนก็ได้เห็นมัน แต่ว่าฉันอยากจะมาเตือนนาย อย่าได้ประมาทพลังของเทคโนโลยีเชียว เผื่อมีคนทำให้อาวุธร้ายแรงเหล่านั้นเปลี่ยนให้มีขนาดเล็กลง? เล็กจนสามารถพกพาได้ ถึงเวลานั้น นายคิดว่านายยังวิ่งหนีได้อีกไหม?”

หลี่ฝางเงียบไปสักพัก หากพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าไปถึงระดับนั้นจริงๆ ถึงตอนนั้นคงน่ากลัวน่าดู หลี่ฝางไม่กล้าแม้แต่จะคิด

แต่ หลี่ฝางก็ยังรู้สึกว่า หากอยากก้าวไปเส้นทางนี้ มันต้องเป็นเส้นทางที่ทุกข์เข็ญมาก

ในช่วงเวลาสั้น ๆ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หลี่ฝางแม้จะหวาดหวั่น แต่ก็ไม่ได้กลัวมากไป

ผู้อาวุโสพูดต่อ: “ส่วนที่เหลือคือร่างกายของมนุษย์เช่นเดียวกับการดัดแปลงพันธุกรรม หากมนุษย์ธรรมดาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยปราศจากการฝึกฝน นายคิดดูสิ แบบนั้นมันจะเยี่ยมไปเลยไหมล่ะ?”

“แม้ว่าการดัดแปลงยีนจะยากลำบาก แต่ทุกคนต่างไม่ปล่อยวางไป ท้ายที่สุดแล้วหากมันสำเร็จ ผลของมันก็คงน่าทึ่งไม่น้อย”

“นายลองคิดดูสิ โอกาสที่คนธรรมดาจะกลายเป็นนักรบจะมีมากแค่ไหนเชียวโอกาสก็น้อยมาก แต่หากแผนนี้สำเร็จนายเองก็ลองจินตนาการดูเอาเองสิ”

หลังจากที่ผู้อาวุโสพูดจบ เขาก็จิบชาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ และบนใบหน้าที่แก่ชรานี้เหมือนกับว่าเขาทำสำเร็จไปแล้ว

ตอนนี้ หลี่ฝางเข้าใจคร่าวๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท