“เฟย บอดี้การ์ดคนนี้ไม่ใช่คุณจ้างมาเองหรอกเหรอ?” ถึงแม้ที่ราฟาเอลพูดเมื่อสักครู่จะไม่สมบูรณ์ แต่จ้าวเทียนหลินก็ได้ฟังอะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง
ถึงว่าทำไมบอดี้การ์ดคนนั้นถึงได้ไม่ชอบเขาเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นคนที่ศัตรูหัวใจส่งมานี่เอง แค่ฟังจากความหมายของฉินวี่เฟยแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบเจ้านายของบอดี้การ์ดนี่สักเท่าไหร่
“ไม่ใช่” ฉินวี่เฟยไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องราฟาเอลกับจ้าวเทียนหลินสักเท่าไหร่นัก น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ค่อนข้างจะเย็นยะเยือก
“ในเมื่อคุณไม่อยากจะพูดมันกับผม งั้นผมก็จะไม่ถามแล้ว วันนี้กว่าจะได้อยู่กับคุณสองต่อสอง ไม่รู้ว่าหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ คุณพอจะให้หน้าผม ไปดูหนังกับผมสักเรื่องหน่อยได้ไหม?”
ถึงแม้จ้าวเทียนหลินจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็เข้าใจอารมณ์ของผู้หญิงเป็นอย่างดี เขาฟังออกว่าฉินวี่เฟยกำลังหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ ก็เลยไม่ถามต่อ แต่หันไปคิดหาวิธีว่าจะเพิ่มความสัมพันธ์กับระหว่างตัวเองกับฉินวี่เฟยอย่างไรแทน
ฉินวี่เฟยจะไม่เข้าใจความคิดของจ้าวเทียนหลินได้ยังไง เดิมทีหญิงโสดชายโสดไปดูหนังด้วยกันนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉินวี่เฟยถึงไม่ค่อยเต็มใจนัก เธอเงียบไปสักพัก และยังคงปฏิเสธจ้าวเทียนหลินไปอย่างอ้อมค้อม: “ฉันไม่ค่อยชอบไปในที่ที่มีคนเยอะนะค่ะ”
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหา ถ้าหากคุณไม่ชอบไปในที่ที่มีคนเยอะ ผมก็สามารถเหมาโรงได้ ถ้าหากคุณไม่ชอบไปโรงภาพยนตร์สาธารณะ ผมก็สามารถพาคุณไปที่โรงภาพยนตร์ส่วนตัวของผมได้ เฟย คุณเข้าใจความหมายของผม ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้ง ให้ผมได้รักคุณทะนุถนอมคุณ”
ตามจีบฉินวี่เฟยมานานขนาดนี้ จ้าวเทียนหลินก็ไม่อยากจะถอยให้แล้ว ถึงแม้ฉินวี่เฟยจะมีฐานะไม่เลว เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นแล้วก็ค่อนข้างจะโดดเด่น แต่เขาจ้าวเทียนหลินก้ไม่ขาดผู้หญิง
ในสายตาของจ้าวเทียนหลินแล้ว ตัวเองได้อดทนตามจีบเธอมาแสนนาน ถ้าหากฉินวี่เฟยยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก นั่นก็คือไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
ฉินวี่เฟยเกร็งมือของตัวเองที่ถูกจ้าวเทียนหลินจับเอาไว้ ภาพหลี่ฝางอยู่กับผู้หญิงคนอื่นแวบขึ้นมาในสมอง ความรู้สึกอยากจะเอาคืนพลันผุดขึ้นมาในใจของเธอ และได้จับพลัดจับผลูรับปากจ้าวเทียนหลินไป: “งั้นก็ได้……”
“เยี่ยมไปเลย เฟย ขอบคุณที่ให้โอกาสผม” เมื่อเห็นฉินวี่เฟยพยักหน้า ภายในใจของจ้าวเทียนหลินนั้นได้ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อนึกถึงว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะได้ครอบครองฉินวี่เฟย ร่างกายก็ได้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา
แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นสุภาพบุรุษอ่อนน้อมถ่อมตนของตัวเอง จ้าวเทียนหลินทำได้เพียงระงับความปรารถนาที่อยู่ในใจ พยายามรักษาท่าทางสำรวมของตัวเองเอาไว้
ไม่นานฉินวี่เฟยและจ้าวเทียนหลินก็ได้มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ว่า ที่จริงแล้วฉินวี่เฟยเคยได้ยินชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้มาก่อน อยู่ที่เมืองตงไห่ก็มีชื่อเสียงไม่เบา นอกจากนี้ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ยังรับลูกค้าแค่วันละยี่สิบคน ต้องการทานอาหารที่นี่ อย่างน้อยจะต้องนัดล่วงหน้าหนึ่งเดือน
จ้าวเทียนหลินสามารถจองที่ของร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ได้ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตระกูลได้แล้ว
“คุณชายจ้าวเชิญทางนี้ค่ะ” ทันทีที่พวกฉินวี่เฟยลงจากรถ พนักงานสาวสวมชุดกิโมโนก็ได้เข้ามาต้อนรับ นำทางให้พวกเขาอย่างเคารพนอบน้อม
“เฟย คุณคิดว่าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้เป็นยังไงบ้าง?” จ้าวเทียนหลินคิดหาหัวข้อที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับฉินวี่เฟยมาตลอดทาง
เมื่อได้ยินที่เขากล่าว ฉินวี่เฟยถึงได้พิจารณาร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง มันตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนคนมีเงินแห่งเมืองตงไห่ ถึงร้านจะไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับมีพื้นที่โดยรวมกว่า 4,000 ตารางเมตร มีพื้นที่สีเขียวที่ดีมากเลยทีเดียว บูรณะสถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้พนักงานในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ ล้วนเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นขนานแท้ หน้าตาไม่นับว่างามล่มเมือง แต่ก็นับว่าเหนือชั้น มีศิลปินมืออาชีพคอยทำการแสดง เพลงที่ทำการแสดงยังเป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นอีกด้วย
ทั่วทั้งร้านอาหารมีคุณภาพอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้คนรู้สึกรื่นรมย์ แต่สำหรับสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ฉินวี่เฟยกลับไม่ชอบสักเท่าไหร่นัก คิดอยู่สักพักจึงได้กล่าวตามจริง
“สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ฉันชอบมาก แต่ฉันไม่ค่อยชอบคนญี่ปุ่นสักเท่าไหร่”
“เอิ่ม……เป็นแบบนี้เองเหรอ งั้นครั้งหน้าพวกเราไม่มาแล้ว” จ้าวเทียนหลินคิดไม่ถึงว่าฉินวี่เฟยจะตอบตัวเองเช่นนี้ เขามีท่าทางเคอะเขินไปชั่วขณะ
ในขณะที่ทานอาหารนั้น ทั้งสองคนไม่ได้มีการสื่อสารอะไรมากนัก และส่วนมากจะเป็นจ้าวเทียนหลินที่เป็นคนพูดมากกว่า ฉินวี่เฟยฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
นั่นมันทำให้จ้าวเทียนหลินท้อแท้เล็กน้อย ตามจีบมาเดือนกว่า เขากลับไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรเลย
จะต้องรู้ว่าเขาได้เดิมพันกับคุณชายลูกเศรษฐีพวกนั้นเอาไว้ บอกว่าจะต้องเอาฉินวี่เฟยมาครอบครองให้ได้ภายในสองเดือน นี่เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขากับฉินวี่เฟยไม่เคยแม้แต่จับมือกันด้วยซ้ำ นี่ถ้าแพร่งพรายออกไปคงไม่ถูกคนหัวเราะเยาะเอาหรอกเหรอ?
“เฟย ผมมีคำถามหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะถามไหม แต่ผมอยากรู้จริง ๆ คุณจะตอบผมหน่อยได้ไหม?” จ้าวเทียนหลินวางอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารในมือลง และมองฉินวี่เฟยอย่างจริงจัง
“คำถามอะไร? คุณพูดมาก่อน” คลับคล้ายคลับคลา ฉินวี่เฟยทายว่าจ้าวเทียนหลินต้องการถามเรื่องของตัวเองกับหลี่ฝาง
“ผมได้ยินคนอื่นพูดมาว่า คุณเคยคบกับผู้ชายที่ชื่อหลี่ฝางมาก่อน ถึงขั้นที่ได้คุยกันเรื่องแต่งงานแล้ว ผมแค่อยากจะถามคุณว่า มันใช่เรื่องจริงหรือเปล่า?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนหลินแล้วฉินวี่เฟยก็ได้เงียบไป มือทั้งสองข้างกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ จริง ๆ แล้วในสายตาของคนอื่น หลี่ฝางไม่ได้ปรากฏตัวในเมืองตงไห่มาเกือบครึ่งปีแล้ว
หลายคนต่างก็ได้พูดลับหลัง บอกว่าหลี่ฝางได้ทิ้งฉินวี่เฟยไป และมีบางคนที่ถามฉินวี่เฟยเป็นนัย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉินวี่เฟยก็ไม่เคยตอบเลยสักครั้ง
ตอนนี้จ้าวเทียนหลินได้ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินวี่เฟยและหลี่ฝางซึ่ง ๆ หน้า ฉินวี่เฟยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“เฟย ถ้าคุณไม่อยากจะตอบ งั้นก็ถือว่าผมไม่ได้ถามแล้วกัน ผมไม่สนว่าคุณกับหลี่ฝางได้ผ่านอะไรมาด้วยกันบ้าง มันล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม ผมรู้เพียงว่าผมชอบคุณในตอนนี้ คุณเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับคุณ เฟย คุณเป็นแฟนกับผมได้ไหม?”
ดูจากท่าทางลังเลพูดไม่ออกของฉินวี่เฟยแล้ว จ้าวเทียนหลินก็เดาได้แล้วว่าฉันวี่เฟยได้เลิกกับหลี่ฝางแล้ว มั่นใจว่าฉินในตอนนี้ฉินวี่เฟยเป็นโสด จ้าวเทียนหลินก็ยิ่งมีความมั่นใจขึ้นไปอีก ถึงขนาดคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น และสารภาพรักกับฉินวี่เฟยอย่างลึกซึ้ง
ฉินวี่เฟยที่กำลังจมอยู่ในความรู้สึกถูกการสารภาพรักอย่างกะทันหันของเขาทำให้ตกใจ จ้องมองจ้าวเทียนหลินที่แววตาเต็มไปด้วยความรักอย่างตกตะลึง
นี่มันกะทันหันเกินไปแล้ว ฉินวี่เฟยไม่ได้มีการเตรียมตัวเลยสักนิด ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น ถูกจ้าวเทียนหลินสารภาพรักแบบนี้ จะต้องตอบตกลงด้วยความดีอกดีใจไปนานแล้ว แต่หัวใจของฉินวี่เฟยในตอนนี้กลับสับสนยิ่งนัก
เธอเองก็ไม่ชัดเจนเหมือนกันว่าคิดยังไง ตามหลักเธอได้เลิกรากับหลี่ฝางไปแล้ว จะเริ่มต้นความรักใหม่ก็ไม่ผิดอะไร แต่หัวในของฉินวี่เฟยกลับต่อต้านจ้าวเทียนหลิน
“คุณชายจ้าว คุณ……คุณกะทันหันเกินไป ฉันยังไม่พร้อม เอ่อคือ……”