เทียนหลางหัวเราะออกมาเล็กน้อย หลังจากที่เฒ่าหยวนได้รับคำยืนยันแล้วเขาก็กล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งลงและเริ่มเสนอราคาแข่งกับคนอื่น ส่วนคนอื่นนั้นเมื่อรู้ว่ายาทิพย์ของเทียนหลางมีผลที่ช่วยรักษาจุดชีพจร และเส้นลมปราณที่ถูกทำลายได้พวกเขาก็เริ่มที่จะเสนอราคากันอย่างบ้าคลั้งทันที
ราคาของยาทิพย์พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนถึงสองพันล้านหยวนซึ่งทำเอาหลายคนถึงกับตกตะลึง จนในที่สุดยาทิพย์ขวดแรกก็ถูกประมูลไปโดยเฒ่าหยวน
จากนั้นก็ยาทิพย์ขวดอื่นๆก็ถูกประมูลไปโดยสำนักใหญ่ต่างๆในราคาไล่เลี่ยกันหลังจากนั้นก็มีสินค้าจำนวนหนึ่งออกมาซึ่งเป็นคำภีร์ทักษะและของวิเศษเล็กๆน้อยๆ
ไม่มีอะไรที่เทียนหลางให้ความสนใจเป็นพิเศษจนกระทั้งสินค้าชิ้นสุดท้ายออกมา มันคือก้อนผลึกสีดำขนาดประมาณสามสิบเซนติเมตร ผิวของมันเต็มไปด้วยสีแวววาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเมื่อเทียนหลางเห็นมันเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดกับเฟิงหยวนว่า
”ไม่คิดว่าจะมาเจอหยกดวงดาวที่นี่”
หยกดวงดาวคือหยกที่อยู่ตามธรรมชาติและได้ดูดซับแสงจากดวงดาวมานานนับพันหรือหมื่นปี มันจะสะสมพลังวิญญาณเอาไว้เป็นจำนวนซึ่งมันจะช่วยในการบ่มเพาะได้เป็นอย่างดีและสิ่งที่ทำให้มันมีค่าเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือความสวยงามของมันซึ่งมันเหมาะจะเอามาทำเป็นเครื่องประดับอย่างมาก
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”มันเหมาะที่ไว้ใช้ทำแหวนแต่งงานของเราเลยนะ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
”ถ้าคุณเห็นว่ามันเหมาะกับฉันก็เอาตามนั้นแล้วกัน”
”คุณไม่ชอบมันงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
”อะไรที่คุณทำให้ฉันๆชอบหมดนั่นแหละอย่าไปคิดมากเลย อีกอย่างฉันไม่ได้ชอบพวกเพชรพลอยด้วยเอาหยกดารามาทำแหวนก็ดีเหมือนกัน”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นเฟิงหยวนก็พูดขึ้นมาอีกว่า
”อย่าลืมทำไว้เผื่อพวกเธอด้วยนะ”
”ต้องทำด้วยงั้นเหรอ ?”
เฟิงหยวนตอบกลับเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เทียนหลางที่เห็นเฟิงหยวนทำท่าทางแบบนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยความสงสัย
”ดูคุณจะใจดีกับพวกเธอทั้งสองคนจังเลยนะ”
”แน่นอนสิ พวกเธอทั้งสองคนเป็นภรรยาของคุณและยังเป็นคนดูแลกิจการทั้งหมดอีกด้วย แหวนเพียงวงเดียวคงไม่ยากเกินมือคุณหรอกจริงไหม ?”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
”มันก็จริงอะนะ”
หลังจากถามความเห็นกันเล็กน้อยเทียนหลางก็หันกลับไปเข้าร่วมประมูลหยกดาราต่อซึ่งตอนนี้ราคาก็สูงถึงห้าร้อยล้านหยวนแล้ว ทำเอาเทียนหลางรู้สึกตกใจกับราคาของมันเล็กน้อยแต่ถึงอย่างงั้นเทียนหลางก็ยังคงเสนอราคาสู้อย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุดเทียนหลางก็สามารถได้มันมาในราคาแปดร้อยล้านหยวนซึ่งมากกว่าที่เขาคิดไว้นิดหน่อย หลังจากนั้นงานประมูลก็จบลง
หลังจากงานประมูลจบลงเทียนหลางก็ไปที่หลังเวทีเพื่อรับเงินและของที่เขาได้ประมูลมา หลังจากรับทุกอย่างมาแล้วเทียนหลางก็ชวนเฟิงหยวนไปเดินดูตลาดด้านนอก
ทั้งคู่ออกมาเดินตลาดเพื่อหาซื้อของที่ดูน่าสนใจ ในขณะที่เทียนหลางกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่นั้นก็ได้มีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาด้านหลังของเขาพร้อมกับพูดขึ้น
”เป็นนายสินะ ที่ทำร้ายผู้อาวุโสของพวกเรา ?”
เทียนหลางได้ยินก็หันหน้ากลับมาก็พบเห็นกลุ่มของชายหนุ่มที่สวมชุดสีแดงเพลิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่รวมกันด้วยท่าทีข่มขู่เล็กน้อย
เมื่อเทียนหลางพิจารณาอย่างดีแล้วเขาก็จำไม่ได้ว่าคนพวกนี้มาจากไหน แต่เทียนหลางพอจะจำได้ลางๆว่าเขาเคยไปมีเรื่องอะไรกับใครสักคนหนึ่งเทียนหลางจึงเดาว่าคนพวกนี้คือกับพวกก่อนหน้านี้เป็นพวกเดียวกัน
เทียนหลางมองพวกเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ
”ใช่ ถ้าเป็นข้าแล้วมันจะทำไมงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาพร้อมกับพูดขึ้น
”ดูเหมือนแกจะกล้ามากเลยสินะ ถึงได้มาทำร้ายผู้อาวุโสของสำนักอัคคีจนบาดเจ็บสาหัสแบบนี้”
เทียนหลางที่เห็นแบบนี้เขาก็ส่ายหัวเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
”คนของสำนักอัคคีเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือไงกันนะ โจมตีคนอื่นทั้งที่ตัวเองเป็นคนผิด ไม่รู้จักละอายกันเลยบ้างหรือไง”
”เหอะ ! ละอายงั้นเหรอเจ้าเป็นคนที่ทำให้ศิษย์พี่พิการ แถมยังตัดแขนทั้งสองข้างของผู้อาวุโสสำนักเราอีกเจ้าต่างหากละที่ไม่ละอายบ้างเลยหรือไง”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ถึงกับส่ายหัวกับตรรกะบ้าบอของคนพวกนี้เขาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
”ช่างเป็นคำพูดที่ไร้สาระเสียจริง ว่าแต่พวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้า ? จะมาถามหาความชอบธรรมกับข้างั้นเหรอ ?”
คนที่เป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
”พวกข้าไม่ได้มาที่นี้เพื่อหาความชอบธรรม พวกข้ามาเพื่อฆ่าเจ้าต่างหาก !!”