“ท่านพี่เย่ เยี่ยมยอดไปเลย! ข้าขอคารวะ!”
แม้ว่าเย่เย่จะเคยช่วยพวกเขามาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การที่ได้เห็นเช่นนี้ก็ทำให้ในใจของฉินหมิงนั้นแอบซ่อนความระแวงเอาไว้อยู่นิดหน่อย
“สุดยอดไปเลยนะเนี่ย! ใครกล้าแหย็มกับท่านเย่ต้องเจอแบบนี้!”
แต่ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้จะระแวงเย่เย่ไปเสียหมด การที่พวกเขาได้เห็นโศกนาฏกรรมที่เกิดกับเฉินเทียนเฟิงและพวกพ้องของอีกฝ่าย มันกลับทำให้คนเหล่านี้รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
“พวกเราเสียเวลากันมามากแล้ว กลับไปที่เฟิงเจิ้นกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า”
สีหน้าของเย่เย่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจหลังจากที่กลืนกินจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เขาเก็บอัญมณีสีม่วงลงไปแล้ว เขาก็หันหน้ากลับไปหาทุกๆคนและเอ่ยบอก เบาๆ
“รับทราบ!”
กลุ่มคนที่ได้ยินต่างพากันพยักหน้าและกลับขึ้นม้าของตนเองไปอีกครั้งเพื่อมุ่งตรงกลับไปยังเฟิงเจิ้นด้วยกัน
เมืองเฟิงเจิ้นนั้นเป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวางเอาเสียมากๆ และส่วนที่เปรียบเสมือนแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของเมืองก็อยู่ใกล้ๆกับภูเข้าหลี่เทียนแห่งนี้เอง
ตระกูลเย่ ตระกูลหม่า และตระกูลเฉิน ทั้ง 3 ตระกูลนี้ถือเป็นตระกูลยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมากภายในเฟิงเจิ้น ทว่าถึงแม้ทั้ง 3 ตระกูลนี้จะเรียกได้ว่ามีอิทธิพลมากแล้ว แต่เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า นอกจาก 3 ตระกูลใหญ่ เฟิงเจิ้นยังมีอีก 4 สำนักใหญ่ที่คอยปกครองเมืองอีกทีหนึ่ง
สำนักที่แข็งแกร่งเป็นอันดับแรกสุด จะขอเท้าความถึง อารามจ้าววรยุทธ์ ตามด้วยสำนักอัคคี กระบี่จรัสแสงและเทพวายุ โดยทั้ง 3 สำนักนี้รู้จักกันดีในนามของสำนักที่ทรงพลังที่สุดในหมู่ของผู้ฝึกวรยุทธ์ภายในเฟิงเจิ้น ถึงแม้ว่าค่ายของทั้ง 3 สำนักนี้จะอยู่นอกเขตเฟิงเจิ้นก็จริง แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ไพศาลของอารามจ้าววรยุทธ์ที่มีมากกว่าทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ มันจึงทำให้สำนักเหล่านี้ยอมเชื่อฟัง
เหตุผลที่ทำให้เย่เย่ตั้งใจจะสร้างมิตรภาพกับเหล่าลูกศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์นั้นก็เพื่อปกป้องตัวเองโดยใช้ใบบุญของอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้ ทั้งนี้เขาไม่ได้แค่ต้องการแก้แค้นหลินหยูฉีผู้ที่ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้ แต่ยังรวมไปถึงการกวาดล้างพวกชนชั้นสูงของสำนักอัคคีและกระบี่จรัสแสงด้วยตัวเองเพื่อที่จะกลืนกินจิตวิญญาณของคนเหล่านี้เสีย ด้วยแผนการยิ่งใหญ่ระดับนี้ หากไม่ได้ทัพหลังที่แข็งแกร่งพอ มันคงจะเป็นเพียงการวาดฝันแน่ๆ
เขาคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดทาง รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาถึงหน้าทางเข้าเฟิงเจิ้นกันแล้ว แต่ในขณะที่เย่เย่และคนอื่นๆกำลังเข้าไปในเมืองและเตรียมที่จะแยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน ร่างที่คุ้นเคยก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในระยะสายตาของเย่เย่
ตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้คือสุภาพบุรุษที่แต่งตัวดูมีสกุลรุนชาติที่มาพร้อมกับเหล่าข้ารับใช้จำนวนมากกำลังขี่ม้าตัวสูงตรงมายังทางที่พวกของเย่เย่เพิ่งจะเดินเข้ามาราวกับพวกเขากำลังจะออกไปล่าสัตว์
“หม่าเฟย?”
ยามที่เย่เย่เห็นใบหน้าของชายคนนั้น เขาก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ซึ่งพอรู้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครแววตาของเขาก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที
ในบรรดานายน้อยของ 3 ตระกูลใหญ่นั้น หม่าเฟยคือ 1 ในเพื่อนของเย่เย่ อย่างน้อยๆก็ในความคิดของเย่เย่ล่ะนะ ทว่าหม่าเฟยนั้นคือคนที่ยุยงให้เย่เย่เข้าไปลวนลามหลินหยูฉี ไม่มีเพื่อนที่ไหนทำกันแบบนี้หรอกนะ เพราะฉะนั้นแล้วในสายตาของเย่เย่ตอนนี้ หม่าเฟยน่ะอยู่ในระดับศัตรูหรือคู่แข่งได้เลย
ถึงแม้ว่าสิ่งที่หม่าเฟยทำลงไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนจะถูกเย่เซียงปั่นหัวมาอีกทีก็จริง ไม่ว่าจะที่อยู่ของหลินหยูฉี รวมไปถึงข้อมูลต่างๆของนาง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นการกระทำของเย่เซียงโดยยืมมือของหม่าเฟยทั้งนั้น แต่กระนั้นความจริงที่ว่าหม่าเฟยหักหลังเขามันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และเย่เย่จะต้องกลับมาคิดบัญชีกับอีกฝ่ายไม่ช้าก็เร็วแน่ๆ ในตอนนี้รอบตัวเขามีฉินหมิงและคนอื่นๆอยู่ด้วย การไม่เพิ่มปัญหาให้มากไปกว่านี้คงจะเหมาะสมที่สุด ลืมเรื่องแผนเอาคืนหม่าเฟยไปก่อนก็แล้วกัน
แต่ถึงไม้ใหญ่จะเลือกไม่ไหวติง ทว่าสายกลับไม่ได้หยุดนิ่ง เย่เย่ไม่อยากจะไปตอแยกับหม่าเฟย แต่หม่าเฟยกลับเลือกที่จะตรงเข้ามาหาเย่เย่พร้อมกับขวางทางไม่ให้ไปต่อไว้อย่างจงใจ
“ท่านเย่นี่นา! ไม่เจอกันนานเลยนะ! ข้าได้ยินข่าวมาบ้างแล้วว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าครั้งล่าสุดดีขึ้นแล้ว เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่แวะเวียนมาหาข้าบ้างเลย?”
หม่าเฟยรู้ดีว่าการบาดเจ็บของเย่เย่นั้นมาจากฝีมือของหลินหยูฉินซึ่งเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากการยุยงของเขาทั้งสิ้น การทักทายเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการโรยเกลือลงไปบนแผลสดในใจเลย เห็นได้ชัดว่าที่พูดนั้นประชดสุดๆ
มุมปากของหม่าเฟยยกยิ้มขึ้นนิดหน่อยราวกับจะแสยะยิ้มในขณะที่เหล่าบริวารด้านหลังเขาเองก็ต่างมองเย่เย่กันด้วยสายตาหยอกเย้ากันทั้งสิ้น
“หม่าเฟย ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเสวนากับเจ้าในตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่ามาขวางทางข้า!”
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ก็ไม่สามารถข่มเรื่องราวในอดีตไม่ให้กลับมาครอบงำจิตใจจนบันดาลโทสะออกมาได้ เขาพยายามไม่สนใจหันไปมองหม่าเฟยและพูดสิ่งที่เขาต้องการออกไปอย่างซื่อตรงอีกด้วย
“เหตุใดเจ้าถึงทำเหมือนข้าเป็นอากาศเช่นนั้นเล่า? ไอ้เดนมนุษย์ที่เข้าไปลวนลามพี่สาวบุญธรรมของตนเองจนเกือบจะโดนอีกฝ่ายฆ่าตายไปแล้วอย่างเจ้าน่ะ อย่ามาทำเป็นเมินเวลาข้าพูดด้วย!”
เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะทำเป็นไม่แยแสกับคำเสียดสีของเขาได้ราวกับไม่ใช่คนเดิมแบบนี้ ซึ่งมันกลายเป็นว่าฝ่ายที่เป็นตัวตลกนั้นคือเขาเอง ด้วยความโกรธ หม่าเฟยจึงชี้ไปยังเย่เย่และสบถถ้อยคำหยาบคายออกมา ซึ่งมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาไม่ดูด้อยค่ายามที่อยู่ต่อหน้าบริวารเช่นนี้
“ท่านพี่เย่ อยากจะสั่งสอนบทเรียนแก่คนคนนี้หน่อยไหม?”
ถึงเย่เย่จะไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ฉินหมิงที่อยู่ข้างๆเขากลับไม่สามารถทนอยู่เฉยๆได้ เขาจ้องมองไปยังหม่าเฟยก่อนจะเอ่ยออกมา
แม้ตัวเขาจะไม่รู้ว่าอดีตที่ผ่านมาของเย่เย่นั้นเป็นอย่างไร แต่จากช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนั้น พวกเขาคิดว่าเย่เย่น่ะคือบุคคลที่ค่วยค่าแก่การสร้างสัมพันธมิตรไว้อย่างมาก ดังนั้นในตอนนี้ที่หม่าเฟยยืนกรานดูถูกเย่เย่เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์จะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องหรอก ก็แค่พวกเจ้าสำรวย ไม่มีค่าให้เอามือไปสัมผัสหรอก เดี๋ยวจะเลอะเทอะเอานะ”
เย่เย่เพียงแค่ส่ายหน้าปรามไว้ ตัวเขานั้นเตรียมจะควบม้าของตนเพื่อไปต่อแล้ว
กลับกันทางหม่าเฟย เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหมิง ความโกรธที่มีแต่เย่เย่นั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นฉินหมิงแทน เขาชี้ไปยังฉินหมิงและคนอื่นๆก่อนจะต่อว่า “เจ้าเป็นใคร? คิดจะมาสั่งสอนข้าแทนเจ้านั่นงั้นเหรอ? แล้วทำหน้าอะไรน่ะ เจ้าฉี่ไม่ออกหรือไร?”
หม่าเฟยนั้นชินกับการที่คอยกลั่นแกล้งคนทั่วทั้งเฟิงเจิ้นอยู่แล้ว และตัวเขานั้นก็ไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน แต่เดิมตั้งแต่เห็นฉินหมิงและคนอื่นๆเดินมากับเย่เย่ เขาก็รู้สึกเหม็นขี้หน้าอยู่แล้ว และในยามที่โดนผู้ที่มากับเย่เย่ดูถูกอีก มันยิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแสดงสันดานเดิมออกมาโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
เขาไม่รู้เลยว่าเย่เย่ตัวจริงนั้นได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเย่เย่คนใหม่นี้จะไม่เกรงกลัวเขา
ทางด้านเย่เย่ที่ตอนแรกจะให้ฉินหมิงและคนอื่นๆช่วยปกป้องเขา จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่านี่มันเป็นเรื่องที่เขาควรจัดการเอง ดังนั้นเขาจึงรีบพูดออกไป “หม่าเฟย! อย่าทำตัวหยาบคายน่า! เจ้าคงคิดไม่ถึงหรอกว่าท่านผู้นี้คือนายน้อยที่เจ้าไม่ควรยุ่งด้วย! รีบๆขอโทษซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!”
ถึงตัวเขาจะอยากไปแล้วก็จริง แต่เย่เย่ๆก็รู้ดีว่าหม่าเฟยคิดจะทำอะไรด้วยบุคลิกของเจ้าตัวเอง รอยยิ้มที่ริมฝีปากนั่นไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่ก็เดาออกว่าหม่าเฟยจะพูดอะไรออกมา
ชัดเจนที่สุด หม่าเฟยไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น รวมถึงไม่เชื่อในสิ่งที่เย่เย่พูดด้วย ดังนั้นเขาจึงพูดต่อไป “นายน้อยบ้าบออะไรกันน่ะหา! พวกเจ้ามันก็แค่ลูกนกที่ขนเพิ่งขึ้น โดยเฉพาะแก เย่เย่ คนไร้ค่าอย่างเจ้าไปหาเพื่อนมาจากไหน? ข้าจะดูถูกให้หมด! ข้าอยากจะดูถูก เจ้าจะทำไม!”
คำพูดของเย่เย่ไม่ได้เข้าไปกระตุ้นสามัญสำนึกของ หม่าเฟยได้เลย ทว่าทันใดนั้นเอง เพียงแค่เสียงพูดจบลงฮั่วเฟิงที่อยู่ข้างๆฉินหมิงและคนอื่นๆก็ลอยขึ้นมาและถีบเข้าไปที่หม่าเฟยจนะกระเด็นร่วงไป
“หน็อยแน่! เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าวว่าร้ายศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ของข้า! อยากตายหรืออย่างไรกัน!”
ทันทีที่หม่าเฟยร่วงลงมาจากการโดนเตะกลางอากาศ เหล่าข้าบริวารของเขาก็รีบพุ่งเข้ามาหมายจะจัดการผู้ที่ทำร้ายนายของตนพร้อมๆกัน
แน่นอนว่าเหล่าคนที่กล้าปรี่เข้าไปในสถานการณ์แบบนี้ย่อมต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือคนประเภทดังกล่าว แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้พวกเขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิตนั่นก็คือ พวกเขาดันไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา ฮั่วเฟิงซะได้
“หากไม่ใช่เป็นเพราะพ่อและตระกูลหม่าของเจ้า ป่านนี้เจ้าได้ตายไปแล้ว!”
ก่อนที่จะลอยกลับไปยังม้าของตนเอง ฮั่วเฟิงยื่นเหรียญตราของอารามจ้าววรยุทธ์ให้แก่หม่าเฟย แววตาที่มองไปยังหม่าเฟยและบริวารของเขานั้นเยือกเย็นพร้อมกับเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกด้วย
“ป-ปรมาจารย์แห่งจ้าววรยุทธ์?!”
แม้คราแรกหม่าเฟยจะตกใจในความแข็งแกร่งของฮั่วเฟิงก็จริง แต่หลังจากเห็นเหรียญตราของอารามจ้าววรยุทธ์นี้แล้ว สีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดเผือดมากขึ้นไปอีก
นั่นเพราะอารามจ้าววรยุทธ์นั้นถือเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเฟิงเจิ้น และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะไปแหย็มกับลูกศิษย์ที่อยู่ในสำนักนี้แม้แต่คนเดียว ฝีมือเมื่อครู่ของฮั่วเฟิงเองก็ทำให้หม่าเฟยตระหนักได้แล้วว่าเหรียญตรานั่นเป็นของจริงหรือของปลอม
“ข-ข้าขอโทษด้วยจริงๆขอรับ! ข้าไม่ทราบมาก่อนเลยว่าพวกท่านเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์! ม-เมื่อครู่ข้าจึงเผลอล่วงเกินไป มันเป็นความผิดของข้าเองขอรับ!”
เขารู้ดีว่าอิทธิพลของศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้นมีมากขนาดไหนในเฟิงเจิ้น ดังนั้นหม่าเฟยจึงไม่รอช้าที่จะคุกเข่าลงและวางมือลงบนพื้นต่อหน้าฮั่วเฟิงและคนอื่นๆ
ยอมจำนนแล้ว!
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองขอรับ! ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย! ช่วยปล่อยข้าไปราวกับข้าเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้ความสำคัญใดๆด้วยเถิดขอรับ!”
ยามที่รู้ว่าคนที่เพิ่งถูกตนรังควานไปนั้น คือผู้ที่ไม่สมควรรังควานมากที่สุด หม่าเฟยก็เข่าอ่อนคุกลงไปกับพื้นและยอมรับความผิดพลาดของตนเองโดยไม่ลังเล ท่าทีที่ดูขี้ขลาดตอนนี้ของเขา ช่างต่างกับตอนที่อวดเบ่งเมื่อครู่อย่างลิบลับเลย
เหล่าบริวารด้านหลังของเขาเองก็ต่างทำตัวไม่ถูก พวกเขาทำได้เพียงคุกเข่าและผายมือเหมือนดั่งที่ผู้เป็นนายทำเท่านั้น และการที่พวกเขาคุกเข่าลงไปพร้อมๆกัน มันก็ทำให้ทั่วทั้งถนนเส้นนั้นเกิดเสียงฝ่ามือปรบพื้นดังระงมไปทั่ว
หม่าเฟยที่คุกเข่าอยู่นั้นมองเห็นเย่เย่อยู่ห่างจากตนไม่ไกลนัก แม้เขาจะดูว่านอนสอนง่ายก็จริงแต่ในใจของเขานั้นมันก็ทั้งโกรธและช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่หาย ในสายตาของเขา เย่เย่กับเขานั้นไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าเย่เย่น่ะไม่น่าจะมีดีอะไรที่ทำให้อารามจ้าววรยุทธ์ยอมยืนอยู่เคียงข้างแม้แต่นิดเดียว คิดไม่ออกเลยว่าด้วยเหตุใดเย่เย่ถึงสามารถมาถึงระดับนี้ได้
ตัวเย่เย่นั้นไม่ได้อยากจะจัดการหม่าเฟยในวันนี้ก็จริง แต่ตัวหม่าเฟยนั้นรนหาที่ตายเอง หากเชื่อฟังเขาตั้งแต่แรกและไม่ไปยั่วยุฉินหมิงกับคนอื่นๆ หม่าเฟยคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ราดน้ำมันเผาตัวเองแท้ๆ
“ท่านพี่เย่ ท่านคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรกับคนคนนี้ดี?”
ถึงแม้ว่าฉินหมิงและคนอื่นๆนั้นอยากจะสั่งสอนหม่าเฟยขนาดไหนก็ตาม แต่หลักๆแล้วพวกเขาก็แค่อยากจะให้เย่เย่ได้ระบายอารมณ์โกรธบ้าง ดังนั้นเมื่อหม่าเฟยและพวกพ้องอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพวกเขาในสภาพกลัวเป็นกลัวตายสุดๆ ฉินหมิงจึงหันไปถามความคิดเห็นจากเย่เย่ด้วยความพึงพอใจบนใบหน้า
ภาพที่ดวงตาทั้งสองข้างของหม่าเฟยเห็นนั้นทำเอาเขาตกใจมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก นั่นเพราะท่าทีที่ฉินหมิงปฏิบัติต่อเย่เย่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อศิษย์คนอื่นของอารามจ้าววรยุทธ์เลย แถมกับเย่เย่ยังดูยกยอปอปั้นมากกว่าเสียอีก หม่าเฟยไม่รู้ว่าเย่เย่สามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร แต่การที่ได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาตัวเองมันก็ยิ่งทำให้หม่าเฟยรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจเย่เย่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย
“วันนี้พวกเราเหนื่อยกันมามากพอแล้ว อย่าให้เรื่องนี้มารบกวนอารมณ์พวกเจ้าอีกเลย”
เย่เย่รับรู้ได้อย่างชัดใจถึงความไม่พอใจในสายตาของหม่าเฟย ซึ่งสิ่งนี้มันกระตุ้นให้เย่เย่เริ่มระมัดระวังตนเองอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เขาไม่ได้อยากจะใช้ชื่อเสียงและอำนาจของฉินหมิงมากไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบหยุดคนเหล่านี้เอาไว้
“ฮ่ะๆๆ นั่นสินะ อย่างที่ท่านพี่เย่พูด! มันเสียเวลาเปล่าหากจะมาทะเลาะกับคนคนนี้ เพราะยังไงเสียพวกเราก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำเมื่อกลับไปยังอารามจ้าววรยุทธ์แล้วอีก คงไม่ดีแน่ๆถ้าหากชักช้าไปมากกว่านี้”
ฉินหมิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะโค้งให้เย่เย่
“เช่นนั้นแล้วข้าคงจะยังไม่ชวนเจ้าไปเยือนบ้านตระกูลเย่ของข้าก็แล้วกัน ไว้หากมีโอกาสข้าค่อยมาชวนทีหลัง”
เย่เย่เองก็ทำความเคารพฉินหมิงและคนอื่นๆด้วยเช่นกัน หลังจากที่รอจนเหล่าอารามจ้าววรยุทธ์ขี่ม้าไปจนพ้นสายตาแล้ว เขาเองก็ควบม้าออกจากที่แห่งนี้โดยไม่สนใจหรือหันกลับมามองหม่าเฟยอีก
ในท้ายที่สุด หม่าเฟยก็ลุกขึ้นมาจากพื้น เขามองเย่เย่ที่ควบม้าจากไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างที่เย่เย่รับรู้ได้ ทว่าในขณะเดียวกัน หม่าเฟยก็รู้สึกว่าเย่เย่ที่เขาเห็นนี้ ราวกับอยู่คนละโลกกับเขาไปเสียแล้ว
หลังจากที่เย่เย่กลับเข้ามายังเฟิงเจิ้น เขาก็ไม่ได้ตรงไปยังบ้านตระกูลเย่โดยตรง กลับกันเขากับรีบไปยังหอการค้าชิงเฟิงและพบกับเฟิงเซียนซีเสียก่อน
เขาหยิบอัญมณีสีม่วงออกมาจากกระเป๋า และเมื่อ เฟิงเซียนซีเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่าราคาที่เฟิงเซียนซีให้นั้นต้องเป็นราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้แน่ๆ