อย่างไรก็ตาม เสวี่ยหยูรีบซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าไปทันที นางหันไปรินชาให้เย่เย่ด้วยตนเองก่อนจากนั้นค่อยพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ท่านไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก พวกเรายังมีเวลาด้วยกันอีกตั้งมากมาย มูลค่าของโสมราชาชิ้นนี้นั้นไม่น้อยเลย ดังนั้นแล้วหอการค้าตงหยวนแห่งนี้จะต้องให้ราคาที่เหมาะสมแก่มันเป็นแน่แท้ แต่ก่อนอื่น ข้าสงสัยนิดหน่อย ว่าท่านไปได้โสมราชาต้นนี้มาจากที่ไหนกัน?”
เย่เย่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะตอบไปด้วยความใจร้อน “หอการค้าตงหยวนนี่จะต้องรู้ที่มาของยาวิเศษทุกชิ้นที่นำมาขายเลยหรือ? หรือว่าโสมราชาของข้าดันไปกระตุ้นต่อมความสงสัยอะไรของท่านขึ้นมา?”
“ได้โปรดอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดเลย ข้าแค่อยากรู้อยากเห็น หากท่านไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ถาม”
เสวี่ยหยูนั้นไม่คาดคิดเลยว่าคำถามนี้ของนางจะทำให้ เย่เย่คิดมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นนางจึงรีบปลอบเย่เย่ให้สงบลงก่อน ทว่าในจิตใจของนางเองก็รู้สึกเศร้าใจเป็นครั้งแรกเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางไม่เคยต้องมารู้สึกลำบากใจเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน นั่นเพราะความสวยที่เปรียบเสมือนอาวุธของนางนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้ทั้งนั้นเมื่อต้องเจอกับเย่เย่
จริงๆเรื่องนี้จะโทษเสวี่ยหยูก็คงจะไม่ได้ นั่นเพราะเย่เย่นั้นมักจะใจร้อนกับมุทะลุเช่นนี้มานานมากแล้ว ถึงแม้ว่าเสวี่ยหยูนั้นจะไม่ได้งดงามน้อยไปกว่าเฟิงเซียนซีก็จริง แต่นางนั้นก็ไม่ได้ใช้เสน่ห์ของนางเองเย้ายวนเย่เย่ได้เก่งกาจเท่าเฟิงเซียนซี ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่หลงนางแต่โดยง่าย
บรรยากาศภายในห้องที่มีเพียงคนสองคนเช่นนี้มันเริ่มสร้างความอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเสวี่ยหยูจึงตัดสินใจที่จะรีบบอกราคาของโสมราชาชิ้นนี้ให้แก่เย่เย่ ทว่าตอนนั้นเองจู่ๆประตูห้องที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันนั้นก็ถูกถีบจนเปิดออก
“เจิ้งเทียนไช่ เจ้าทำอะไรน่ะ!”
เมื่อเสวี่ยหยูเห็นชายที่เดินเข้ามาจากประตูที่ถูกถีบจนเปิดออกนั้น สีหน้าของนางก็แสดงให้เห็นถึงความโกรธออกมาทันทีพร้อมกับตำหนิเขาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว
“น้องหยู ข้าก็แค่ได้ยินว่าเจ้าอยู่กันสองต่อสองกับชายอื่นในห้องส่วนตัว ข้าก็เลยเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กันเจ้าโดนกลั่นแกล้งก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มที่ชื่อเจิ้งเทียนไช่นั้นไม่ได้ขอโทษแต่อย่างใด กลับกันเขายังทำท่าผยองแล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆเย่เย่อีกด้วย แววตาที่หันไปมองเย่เย่เองก็ดูจะหาเรื่องสุดๆด้วย
“ขอประทานโทษด้วยขอรับนายหญิง! พวกเราหยุดเขาไว้ไม่ได้จริงๆ!”
ที่ด้านนอกห้องหรูหรานี้ มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ของหอการค้าตงหยวนเข้ามาคุกเข่าและขอโทษขอโพยกับเสวี่ยหยูด้วยความหมดหนทางไปต่อ
“พวกเจ้า กลับไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ข้าจัดการต่อเอง!”
ทันทีที่เสี่ยวหยูโบกมือ นั่นก็หมายถึงให้พวกเจ้าหน้าที่ที่คุกเข่าขอโทษอยู่หน้าห้องนั้นลงไปทำหน้าที่ของตนเองต่อด้วย เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆด้านนอกไปหมดแล้ว นางจึงกลับไปหา เจิ้งเทียนไช่แล้วเอ่ยกับเขาด้วยความโกรธ “เจิ้งเทียนไช่! มันเป็นเพราะตระกูลเสวี่ยกับตระกูลเจิ้งนั้นเป็นพันธมิตรที่ชิดใกล้กันหรอกนะ ข้าถึงไม่ได้พูดเรื่องที่เจ้ามาทำตัวระรานข้าที่นี่ แต่จงจำเอาไว้ว่าความอดทนของข้าเองก็มีจำกัด แล้วก็ตอนนี้ข้ากำลังรับแขกผู้มีเกียรติของข้าอยู่ ดังนั้นช่วยรีบๆออกไปจากหอการค้าของข้าเดี๋ยวนี้เลย!”
เจิ้งเทียนไช่มองเย่เย่ด้วยความเหยียดหยาม จากนั้นก็หันหน้าไปหาเสวี่ยหยูเพื่อตอบ “แขกผู้มีเกียรติ? ก็แค่ทั่วๆไปไม่ใช่หรือไง? โธ่ ข้าล่ะอยากจะขำให้ฟันร่วง น้องหยู เจ้าไม่รู้หรือไรว่าความรู้สึกดีๆที่ข้ามีให้เจ้านั้นมันมากมายขนาดไหน? แถมนอกจากตระกูลเจิ้งของข้าจะยิ่งใหญ่แล้วนะ ตัวข้าเองก็ยังถูกขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์อันเก่งกล้าแห่งหลิงเฉิงนี่ด้วย เหตุใดเจ้ายังต้องมาเสียเวลากับคนธรรมดาเช่นนี้อยู่อีกล่ะ?”
“….”
เสวี่ยหยู่นั้นแสดงออกถึงสีหน้าที่ดูซีดเซียวและหมดคำจะพูดคำเจิ้งเทียนไช่ นางนั้นพยายามจะไล่อีกฝ่ายออกไปดังเดิม กระนั้นแล้วหางตานางก็สังเกตเห็นว่า เย่เย่ที่โดนกล่าวว่าขนาดนี้กลับยังคงสงบมั่นคงได้ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เห็นดังนั้นนางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงท่าทีอวดดีที่เย่เย่กระทำกับนางไว้ก่อนหน้านั้น ดังนั้นนางจึงจะใช้โอกาสนี้ในการทดสอบเย่เย่ เสวี่ยหยูเปลี่ยนความคิดที่จะไล่เจิ้งเทียนไช่ออกไปแล้วก่อนจะพูดกับเขา “ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้าน่า! ข้าจะอยู่กับใครมันก็สิทธิ์ของข้า!”
ด้วยความที่เจิ้งเทียนไช่นั้นเป็นคนขี้อิจฉา เขามักจะไม่ชอบผู้ชายทุกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วมาเข้าใกล้เสวี่ยหยูเช่นนี้ ดังนั้นแล้วหลังจากที่รู้ว่านางอยู่สองต่อสองกับเย่เย่เขาจึงรีบบุกเข้ามาทันที แต่เขานั้นไม่คาดคิดเลยว่าจะเข้ามาเจอเสวี่ยหยูมีปฏิสัมพันธ์ที่ดูคลุมเครือกับเย่เย่เช่นนี้ แววตาที่นางมองเย่เย่นั้นราวกับมองผู้เป็นนายเลย
“ไอ้หนู เจ้ารู้จักน้องหยูของข้าได้อย่างไร? บอกข้ามา! ตราบใดที่ข้า เจิ้งเทียนไช่ยังอยู่ที่นี่ เจ้าจะไม่สามารถเข้าใกล้ชิดนางได้เป็นอันขาด!”
แทนที่เขาจะหันไปต่อว่าเสวี่ยหยู เจิ้งเทียนไช่กับยืนขึ้นและเข้ามาหาเรื่องเย่เย่แทน เขาจับกระชากคอเสื้อของเย่เย่ขึ้นพร้อมกับขู่กรรโชกด้วยความดุร้าย
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
นี่เป็นประโยคเลยที่เย่เย่พูดออกมาตั้งแต่ที่เจิ้งเทียนไช่เข้ามาเช่นนี้ และด้วยน้ำเสียงที่ดุดันนั้น มันทำให้ผู้ฟังนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าอีกไม่นานภูเขาไฟที่สงบอยู่จะระเบิดออกมาเสียอย่างนั้น
ทว่าเจิ้งเทียนไช่นั้นไม่สนใจคำเตือนของเย่เย่แต่อย่างใด กลับกันเขากลับหยิบดาบของเขาเองขึ้นมาจากเอวแล้วข่มขู่ เย่เย่ต่อ “เจ้าเห็นข้าอายุนน้อย เลยคิดว่าข้าเป็นแค่ไอ้พวกกระจอกสินะ? งั้นข้าจะบอกอะไรให้ ว่าเมื่อปีที่แล้ว ข้าน่ะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้วเว้ย! แถมข้าน่ะยังเป็นจ้าววรยุทธ์อีก ชื่อเสียงของข้านั้นโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนเช่นนี้ หากเจ้าไม่อยากตาย ก็รีบๆออกจากหอการค้าตงหยวนเดี๋ยวนี้เลย แล้วนับจากนี้ไป เจ้าก็ห้ามเข้ามาใกล้น้องหยูของข้าอีก!”
ทันทีที่เสียงคุยโวนั้นเงียบลง ดาบเหล็กดำของเย่เย่ก็ถูกชักขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยตัวเย่เย่เอง ความเร็วนั้นมันเร็วเสียยิ่งกว่าที่เจิ้งเทียนไช่จะตอบสนองทันเสียอีก ดาบสองเล่มนั้นปะทะกันรุนแรง
*เคร้ง–เพล้ง!*
สิ้นเสียงปะทะกัน ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือดาบของ เย่เย่นั้นได้ทำลายใบดาบของเจิ้งเทียนไช่ในมือไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วราวกับเป็นเพียงเศษแก้ว
ฝ่ามือที่จับดาบของเขานั้นสั่นระทมจนตัวเขาเองยังต้องถอยกลับและมองเย่เย่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยตื่นกลัว
“เจ้า?!”
ราวกับเมฆหมอกที่บังตาได้เคลื่อนออกเพราะความแข็งแกร่งของเย่เย่ เจิ้งเทียนไช่นั้นรู้สึกได้เลยว่าตนเองนั้นไม่มีทางสู้เย่เย่ได้แน่ๆ ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะมีอาวุธที่เหนือกว่าตนเอง แต่พลังและความเร็วของเย่เย่เองก็เหนือกว่าเขาที่ถูกเรียกว่า อัจฉริยะ อยู่มากๆ
ถ้าหากเมื่อครู่นี้คือการประดาบกันโดยมีเป้าหมายคือชีวิต ป่านนี้เขาอาจจะนอนตัวเย็นอยู่บนพื้นแล้วก็ได้
ในตอนนี้สายตาของเสวี่ยหยูเองก็ตกใจ นั่นเพราะถึงแม้ว่าเย่เย่จะดูตัวใหญ่กว่าเจิ้งเทียนไช่ก็จริง แต่นางไม่คิดเลยว่าเย่เย่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
แต่เดิมนั้น เสวี่ยหยูคาดไว้ว่าเย่เย่อาจจะเป็นเพียงผู้ฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้นด้วย หรือถ้าเป็นจ้าววรยุทธ์ก็คงจะเป็นแค่ระดับเริ่มต้น ดังนั้นแล้วนางจึงคิดใช้เจิ้งเทียนไช่เพื่อจะทำการทดสอบเย่เย่เพื่อหาความจริง ทว่าจากสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ดูเหมือนเย่เย่จะอยู่ห่างจากคำว่าเริ่มต้นมาไกลมากแล้ว
“ดูเหมือนว่าความอดทนที่ข้ามีให้หอการค้าตงหยวนจะหมดลงเพียงเท่านั้น ดังนั้นแล้วข้าก็จะไป หลิงเฉิงแห่งนี้กว้างใหญ่นัก ข้าเชื่อว่ามันต้องมีหอการค้าที่อื่นที่พร้อมจะทำการค้ากับข้าแน่ๆ”
หลังจากที่เย่เย่เก็บดาบลงไปแล้ว เขาก็มองเสวี่ยหยูด้วยแววตาดุร้ายก่อนจะพูดแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องที่หรูหรานี้ไปเลย
ในใจของเสวี่ยหยูนั้นเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีเสียแล้ว ดังนั้นนางจึงรีบผลักเจิ้งเทียนไช่ออกไปจากห้องนี้และปิดประตูพร้อมกับก้มหัวขอขมาแก่เย่เย่เพื่อให้เขาอยู่ต่อ
“ข้าขอโทษจริงๆ ท่านเย่! เมื่อครู่นี้ข้าแค่เพียงอยากจะทดสอบท่านเล็กๆน้อยๆน่ะเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่าได้เก็บไปคิดให้ปวดใจเลย พวกเราหอการค้าตงหยวนอย่างจะขอร่วมงานกับท่านและจะซื้อโสมราชาที่ท่านนำมานั้นในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดอีก 10% ด้วย!”
เมื่อเย่เย่ได้ยินเสวี่ยหยูยื่นข้อเสนอดังนั้น เขาก็หยุดเท้าลงก่อน
เขาหันกลับไปมองความจริงจังที่ปรากฏชัดบนใบหน้าเสวี่ยหยู ในท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา
“ก็ได้ แต่อย่าเล่นลูกไม้ตุกติกอะไรกับข้าอีกล่ะ! ไม่งั้นแล้วผลลัพธ์ของมันอาจจะร้ายแรงกว่าที่ท่านคิดเสียอีก!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าเย่เย่กลับมานั่งตามเดิมแล้ว เสวี่ยหยูก็โล่งใจและแววตาก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
หากนางไม่สามารถคว้าสิ่งนี้ให้อยู่ในมือได้ นั่นหมายถึงนางจะไม่ได้เสียโอกาสทางธุรกิจกับลูกค้ารายใหญ่เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นการหาเรื่องกับจ้าววรยุทธ์ลึกลับที่มีศักยภาพสูงส่งอีกด้วย ซึ่งผลลัพธ์นี้ค่อนข้างร้ายแรงกับทั้งตระกูลเสวี่ยและหอการค้าตงหยวนเลย แต่ถ้าหากนางสามารถเป็นพันธมิตรกับจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งระดับนี้ได้ ต่อให้ต้องจ่ายหนักหน่อย แต่มันก็คุ้มค่ากับทั้งตัวนางเองและหอการค้าตงหยวนแห่งนี้
เสวี่ยหยูสามารถวิเคราะห์ใจความสำคัญได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นนางจึงรีบแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเย่เย่และหวังว่าเย่เย่นั้นจะประนีประนอมกับเธอด้วยเช่นกัน สำหรับตัวเย่เย่เอง สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในใจเขานั้นก็คือการรีบๆขายโสมราชานี่ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้นำเงินมาฝึกฝนตนเองให้พัฒนาไปอีกระดับขั้น ดังนั้นแล้วเขาจึงขี้เกียจเสียเวลาไปต่อรองกับหอการค้าอื่นๆ ในเมื่อตอนนี้เสวี่ยหยูเองก็ยอมรับผิดชอบในส่วนที่นางทำเขาเสียเวลาแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะให้โอกาสหอการค้าของนางอีกรอบได้แสดงความจริงใจ
หลังจากที่ทั้งสองตกลงเรื่องราคากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เย่เย่ก็ตัดสินใจขายโสมราชาแก่ให้แก่หอการค้าตงหยวนในราคา 300,000 เหรียญทอง
นางจ่ายเงินให้แก่เย่เย่ 300,000 เหรียญทองตามที่ตกลง ถึงแม้ว่ามันจะเข้าเนื้อบ้างแต่นางก็เชื่อว่านางจะสามารถหาผลประโยชน์จากโสมราชาแก่ต้นนี้ได้แน่ๆ ดังนั้นแล้วเมื่อทำการค้าเสร็จนางจึงดีใจเป็นอย่างมาก ส่วนเย่เย่เมื่อได้ราคาขายดีกว่าที่คาดไว้ เขาเองก็ดีใจอยู่ลึกๆแต่ไม่ได้แสดงออกมา ต่อหน้าอีกฝ่ายเขาเพียงแค่เก็บเหรียญทองทั้งหมดแล้วเดินจากไป
เมื่อออกจากหอการค้าตงหยวนมาเขาก็พบว่าด้านนอกนั้นมืดเสียแล้ว
ด้วยความที่ด้านนอกเป็นเวลามืด เย่เย่จึงไม่ออกจาก หลิงเฉิงในทันที เขาตัดสินใจที่จะหาโรงเตี๊ยมในเมืองนี้เพื่อแลกเปลี่ยนยาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์มาพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองก่อน
ถึงแม้เขาจะไม่คิดว่าเสวี่ยหยูจะไม่ได้กล้าขนาดฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ก็จริง แต่อันตรายนั้นไม่ได้มีแค่นางคนเดียวเสียหน่อย ดังนั้นแล้วหากเป็นไปได้เขาก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งของตนเองเผื่อไว้เสียก่อน
‘ตรวจพบตั๋วเหรียญทอง 10,000 เหรียญทองจำนวน 30 ใบ ต้องการแลกเปลี่ยนหรือไม่?’
‘แลกเปลี่ยน!’
ทันทีที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมได้แล้ว เย่เย่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและใช้กล้องสแกนตั๋วเหรียญทอง 300,000 เหรียญทองนี้ทันที ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงชั่วพริบตาตั๋วทอง 300,000 เหรียญทองนี้ก็กลายเป็นความว่างเปล่าและเงินในระบบก็เพิ่มขึ้นมาจาก 20 เหรียญจักรวาลเป็น 3020 เหรียญจักรวาลแล้วในตอนนี้
‘ช่างเป็นนายท่านที่ประเสริฐล้ำ! นี่เป็นของสมนาคุณ รองเท้าแห่งสายลมศักดิ์สิทธิ์ และหินรูนแห่งการทำลายล้าง 10 ชิ้น!’
ในจังหวะที่เย่เย่แลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นนั้น กล่องข้อความก็ปรากฏขึ้นในตัวแอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาล และในเวลาเดียวกันนั้นรองเท้าสีเหลือง 1 คู่กับหินที่สลักอักษรที่ดูไม่คุ้นตาจำนวน 10 ลูกก็ปรากฏออกมาตรงหน้าเย่เย่
“นึกว่าตัดระบบของสมนาคุณทิ้งไปแล้วซะอีก”
เย่เย่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งเหล่านี้มากๆ เพราะดาบเหล็กดำกับประคำอสนีบาตที่ได้มาตั้งแต่เมื่อครั้งได้ของสมนาคุณครั้งสุดท้ายนั้นช่วยชีวิตเขาได้มาก และนี่มันก็ผ่านมานานแล้วหลังจากที่ได้ของสมนาคุณครั้งนั้น เพราะฉะนั้นครั้งนี้เย่เย่จึงคาดหวังในประสิทธิภาพของสิ่งเหล่านี้เป็นอันมาก
จากการที่ได้สำรวจสิ่งของเหล่านั้นแล้ว ความคาดหวังของเย่เย่ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะรองเท้าแห่งสายลมศักดิ์สิทธิ์นี่ ยามที่สวมมันก็ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปกติ และด้วยความเร็วนี้มันก็ทำให้เย่เย่นั้นเคลื่อนไหวได้ว่องไวเกินกว่าจะหาจ้าววรยุทธ์คนอื่นๆจะคาดคิดเสียอีก แล้วไหนจะหินรูนแห่งการทำลายล้างเหล่านี้ หากมันเกิดการระเบิดขึ้นล่ะก็ มันจะปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่รุนแรงออกมาได้ ซึ่งถึงเป็นไพ่ตายที่เอาไว้ช่วยชีวิตตนเองของเย่เย่ได้เลย
ตอนนี้ต่อให้เขายังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวคนจากหอการค้าตงหยวนจะมาฆ่าชิงทรัพย์เขาอีกต่อไปแล้ว หรือต่อให้จนมุมจริงๆ เขาก็ยังสามารถหาทางหนีทีไล่ได้ง่ายๆ
“มีเงินนี่มันดีจริงๆ! ถ้าข้าสามารถหายาวิเศษเช่นเดียวกับโสมราชาได้เยอะๆ ข้ามิกลายเป็นเทพยุทธ์ระดับสูงได้ในเวลาอันสั้นเลยหรือไงนะ?”
ในใจของเย่เย่นั้นมันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย ซึ่งภายในหลายๆเรื่องที่ครุ่นคิดอยู่นั้นมันก็มีแผนการเป็นคนร่ำรวยในอนาคตแฝงอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นอย่างสุดท้ายที่จะทำ ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ลงรายละเอียดลึกนักและตัดสินใจที่จะค่อยๆแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี่ก่อน
“เอาล่ะ ในที่สุดก็แลกเปลี่ยนเอายาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์มาได้สักที!”
เย่เย่ไม่สามารถอดกลั้นความดีอกดีใจเอาไว้ได้ เขารีบเข้าไปยังหมวดยาเพื่อแลกเปลี่ยนเอาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์ออกมา และด้วยราคา 1,000 เหรียญจักรวาลที่ต้องจ่ายนั้น มันทำให้เหรียญของเขาเหลือ 2,020 เหรียญในทันที แต่กระนั้นบนใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มแห่งความพออกพอใจเผยให้เห็นอยู่
แม้ว่าเย่เย่นั้นจะสามารถแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์เพื่อที่จะมาพัฒนาเข้าสู่การเป็นเทพยุทธ์ได้ตั้งแต่เมื่อตอนที่ขายยาควบแน่นจิตวิญญาณในราคา 100,000 เหรียญทองจากการประมูลครั้งล่าสุดนั้นก็จริง แต่เขาจะไม่เหลืออะไรเลยหลังจากแลกเปลี่ยนเอายานี้มาแล้ว ต่างกับตอนนี้ ที่ต่อให้เย่เย่จะใช้เงินไปถึง 1,000 เหรียญจักรวาล เขาก็ยังเหลือเงินอีกจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายอย่างอื่นต่อ
แต่เย่เย่ก็ไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไรออกมาเพิ่มในครั้งนี้ กลับกันเขาก็รีบกลืนยาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์ลงไปแล้วเริ่มกระบวนการยกระดับตนเองเป็นเทพยุทธ์ในคืนนี้เลยทันที