“ท่านจะจากข้าไปทั้งๆอย่างนี้เลยงั้นเหรอ? ท่านจะไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ข้ากำลังจะขายท่านหน่อยหรืออย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าเย่เย่เดินตรงไปยังม้าของเขา เด็กหนุ่มก็รีบหันมองตามพร้อมกับวิ่งเข้าไปหยุดเย่เย่ไว้ด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดคาดสุดๆ เขาในตอนนี้กำลังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นอย่างมากเลย
นั่นเพราะความสามารถของเย่เย่นั้นดูจะโดดเด่น ดังนั้นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มจึงกลัวว่าตนจะโดนถลกหนังออกแน่ๆหากพูดอะไรออกไป แต่เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าเย่เย่จะปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้
“ทำไมน่ะ? เจ้าดูไม่พอใจที่ข้าทำแบบนี้ หรือข้าควรจะกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำดีล่ะ?”
เย่เย่หันกลับไปมองพร้อมรอยยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม แววตาของเขานั้นเผยให้เห็นความสนอดสนใจที่จะทำในสิ่งที่พูดไม่น้อยเลย
“ม-ไม่นะ! ข้าแค่สงสัยเฉยๆ!”
เด็กหนุ่มที่เห็นเย่เย่หันกลับมาเขาก็เผลอถอยออกไปนิดหน่อย อนึ่งก็กลัวเย่เย่จะจับเขาสั่งสอนบทเรียนนั่นแหละ
“ถ้าอยากได้เหตุผล ข้าคงบอกได้แค่ว่าข้ายุ่งอยู่และข้าไม่เสียเวลากับเจ้ามากนัก เพราะงั้นไว้เจอกันนะ!”
เย่เย่พูดเชิงขบขันเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มดูจะมีสีหน้าเคร่งเครียด กระนั้นเขาก็ไม่ได้จริงจังอะไรอยู่แล้ว เขาเพียงโบกไม้โบกมือให้เด็กน้อยและเตรียมจะไปจากที่นี่แล้ว
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มคนเดิมก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขารีบเดินไปหาเย่เย่พร้อมกับคุกเข่าลงไปทันที
“นายท่าน ข้าชื่อเจิ้งซู ขอรับ! ข้าเป็นลูกชายของเจ้าตระกูลเจิ้งแห่งหลิงเฉิง ข้านั้นถูกใส่ร้ายป้ายสีโดนทรราชในตระกูลจนต้องมาอยู่ที่นี่ ตราบใดก็ตามที่นายท่านให้ข้าได้ติดตามและช่วยให้ข้าสามารถเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ ข้าสัญญาณว่าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ของท่านอย่างสาสมเลยขอรับ!”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ก้มหัวจรดพื้นในท่าคลานเข่านั้นทันที
*ตึง!*
หัวของเด็กหนุ่มนั้นกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังระงมจนบริเวณหน้าผากของเด็กหนุ่มนั้นแดงเป็นวงที่กระแทก สีหน้าที่เขาเงยขึ้นมามองเย่เย่นั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจแบบเต็มปอด
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจิ้งซูเห็นความหวังที่จะได้กลับไปยังจุดเดิมที่จากมาหลังจากโดนขับไล่ออกจากตระกูลพร้อมกับผู้เป็นแม่ สัญชาตญาณของเขานั้นบอกเขาว่าเย่เย่คือคนเดียวที่จะสามารถช่วยเขาให้ออกจากหลุมโคลนตมนี้ได้ ดังนั้นแล้วเจิ้งซูจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างเด็ดขาด
ทว่าทางฝั่งเย่เย่เองหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เจิ้งซูพูดจบแล้วเขากลับต้องขมวดคิ้วแน่น
“ขอโทษทีนะ เจ้าน่าจะหาผิดคนแล้ว! ข้าไม่เคยคิดจะรับลูกศิษย์อะไรนั่นหรอก แถมข้าเองก็ไม่มีเวลามาสอนเจ้าด้วย! เอาล่ะนั่นถือเป็นคำแนะนำจากข้า และข้าจะไปแล้ว ลาล่ะ!”
พูดจบเย่เย่ก็เตรียมจะจากไปอีกครั้ง ทว่าเจิ้งซูก็ยังตาม เย่เย่มาอีกพร้อมกับพูดเช่นเดิมด้วยความจริงใจ “ไม่ต้องรับข้าเป็นศิษย์ก็ได้! แต่ได้โปรดให้ข้าได้ติดตามท่านเถิด! ข้าหวังว่านายท่านจะให้โอกาสข้า และข้าจะตอบแทนท่านอย่างสาสมเลย! ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม!!”
มองไปยังเด็กหนุ่มที่เอาแต่จะก้มคุกเข่าต่อหน้าเขา เย่เย่ก็รู้สึกได้ถึงความช่วยไม่ได้ กระนั้นแล้วความตั้งใจของเขาก็ยังไม่สั่นคลอน ไม่มีอะไรสามารถมาโน้มน้าวใจที่แข็งแกร่งประดุจหินผาได้หรอกแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นเขาจึงปฏิเสธอย่างเยือกเย็นไปอีกสักที “เจ้าควรจะไปมองหาคนอื่นมากกว่า เชื่อข้าสิ”
เย่เย่ควบม้าผ่านเด็กหนุ่มไปโดยไม่หันกลับมามองอีกครั้ง
สีหน้าของเจิ้งซูนั้นดูจะหมดหวังลงไปอีกครั้ง ทว่าไม่นานนักเขาก็เห็นเย่เย่วกกลับมาจากไกลๆ นั่นทำให้แววตาของเขามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เหตุผลที่เย่เย่กลับมานั้นก็เพราะจะถามทางไปร้านค้าที่เสี่ยวหยูตั้งให้ เขาไม่ได้ใจอ่อนแต่อย่างใดแต่กระนั้นมันก็เป็นโอกาสดีที่เด็กหนุ่มจะได้เดินตามอยู่ห่างๆ ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ในสิ่งที่หวัง ซึ่งเย่เย่เองก็รู้ดีว่าเด็กคนนี้คงจะตามเขาไปอีกพักใหญ่ๆแต่ในท้ายสุดเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและมุ่งหน้าตรงไปยังร้านค้าของเสี่ยวหยูโดยพลัน
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวหยูนั้นเห็นว่าคนที่เดินไปเดินมาละแวกร้านของนางนั้นเริ่มน้อยลงแล้ว ดังนั้นนางจึงเตรียมจะปิดร้านสำหรับค่ำคืนนี้ แต่ในตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนอายุราวๆ 30 ปีก็เดินเข้ามาในร้านค้าของนางพร้อมกับวางขวดยาลงไปตรงหน้านางโดยไม่พูดอะไร
“แม่ค้า! ยาฟื้นพลังของเจ้ามันของจริงหรือเปล่าเนี่ย? ข้าซื้อไปครั้งก่อน แล้วต้องใช้เมื่อวานเพราะต้องสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง ในตอนที่ข้าจะใช้ยานี่เพื่อฟื้นพลังของข้า มันกลับกลายเป็นว่าหลังจากที่กินไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ข้าน่ะเกือบตายเพราะมือศัตรูรู้ไหม! หากไม่ใช่ว่าข้าฉลาดพอที่จะหาทางออก ป่านนี้ข้ากลายเป็นศพไปแล้ว ไหนว่ามาซิว่าเจ้าจะชดเชยให้ข้ายังไง?”
ชายวัย 30 คนนี้นั้นมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้าระดับหนึ่งเลยแถมยังดูว่องไวอีกด้วย สภาพของเขานั้นดูไม่เหมือนกับคนที่บาดเจ็บมาแม้แต่นิด เห็นดังนั้นเสี่ยวหยูก็เดาไว้ก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้ามาเพื่อกรรโชกทรัพย์แน่ๆเพราะฉะนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากมายนัก
“ยาจากขวดนี่ไม่ใช่ยาฟื้นพลังที่ข้าขายให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ จะเอายาที่คุณภาพแย่กว่าที่ข้าขายมาบ่นให้รับผิดชอบไม่ได้นะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาไถเงินได้ง่ายๆหรอก!”
เสี่ยวหยูเทยาที่อยู่ในขวดนั้นออกมาและตรวจสอบมันอย่างละเอียดจนทำให้นางพบว่ายานั้นถูกสับเปลี่ยน นั่นจึงทำให้เสี่ยวหยูโกรธมากๆจนแสดงออกผ่านน้ำเสียงและแววตาทันที
เพราะมีเงินในจำนวนจำกัด เสี่ยวหยูจึงไม่กล้าที่จะซื้อของในระดับที่สูงเกินไปมาขาย กระนั้นแล้วยาฟื้นพลังที่ขายให้แก่ชายคนนี้ไปนั้นก็ถือเป็นของที่ระดับสูงที่ในร้านมีขายด้วย นางมั่นใจว่ายาฟื้นพลังที่นางขายนั้นมีฤทธิ์ในการฟื้นคลื่นพลังในร่างกายอย่างแน่นอน แม้จะไม่ได้มีฤทธิ์เทียบเท่ากับสิ่งที่เย่เย่แลกมาจากระบบก็จริง แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อจ้าววรยุทธ์ที่ต้องการใช้มันแล้ว
ทว่ายาที่ชายคนนี้นำมานั้นหาใช่ยาฟื้นพลังของร้านแต่อย่างใด มันเป็นยาอะไรไม่รู้แต่ที่แน่ๆคือยาของทางร้านถูกเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน คนคนนี้จงใจเอายาฟื้นพลังปลอมมาเพื่อขู่กรรโชกทรัพย์โดยตรง แน่นอนว่าเสี่ยวหยูรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
“ฮึ่ม! เจ้ากำลังจะบอกว่าข้านั้นหลอกลวงงั้นเหรอ! ถึงข้า เฉิงเทียนเฉิง จะเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์ทั่วๆไป แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครมากลั่นแกล้งได้ง่ายๆหรอกนะ! เลือกมาซะว่าจะยอมชดใช้เงินให้ข้าดีๆ หรือให้ข้าพังร้านเจ้าทิ้งซะตอนนี้เลย!”
มันไม่ใช่แผนที่เพิ่งคิดเมื่อ 1-2 วันก่อน เฉิงเทียนเฉิงนั้นคอยสังเกตการณ์ร้านค้าของเสี่ยวหยูมาพักใหญ่ๆจนรู้แล้วว่าทั้งร้านมีเพียงเสี่ยวหยูคนเดียว ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะมากรรโชกทรัพย์ที่นี่
ความสามารถของเฉิงเทียนเฉิงนั้นสูงกว่าเสี่ยวหยู แต่เขาแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจอะไร หากต้องสู้จริงๆเขานั้นสามารถล้มศัตรูได้มากมายด้วยความสามารถตนเองกระนั้นก็ยังแสร้งทำเป็นจะเป็นจะตายอยู่ ช่างเป็นบุคคลที่มีความไม่ละอายใจสูงจนน่ากลัวจริงๆ
การมีปากมีเสียงกันของทั้งสองคนนั้นดึงดูดให้คนอื่นๆที่อยู่รอบข้างต่างหันมาสนใจที่พวกเขา นอกจากนั้นจำนวนคนเองก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ในตอนนี้ผู้คนที่เดินผ่านมาที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นต่างก็พากันคิดว่าเสี่ยวหยูหลอกลวงลูกค้ากันไปหมดแล้ว พวกเขาเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์เสี่ยวหยูกันไปต่างๆนาๆซึ่งยิ่งทำให้เฉิงเทียนเฉิงรู้สึกภูมิใจในแผนการของตนเองมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“เจ้ามัน….!”
ความโกรธของเสี่ยวหยูมันอยู่ในระดับที่เกินจะควบคุมได้แล้ว ดังนั้นมันจึงทำให้นางเข้าปะทะกับเฉิงเทียนเฉิงในทันที ทว่าท้ายสุดนางก็ต้องเป็นฝ่ายถูกกดต่ำ
นั่นเพราะยังไงเสียระดับของเฉิงเทียนเฉิงนั้นก็ยังอยู่สูงกว่าเสี่ยวหยูที่เป็นตอนนี้อยู่ดี เสี่ยวหยูรู้สึกเสียใจและทุกข์ใจเป็นอย่างมากกับการที่ตนต้องมาตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางไว้ตั้งแต่ต้น รวมถึงทำให้คนอื่นๆที่ผ่านไปผ่านมาเข้าใจผิดอีก ความรู้สึกผิดนี้เปรียบเสมือนหอกที่คอยทิ่มแทงตนเองเพราะตนไม่สามารถรักษาชื่อเสียงของร้านค้าที่เย่เย่มอบหมายให้มาเปิดได้ดีพอ
ในขณะที่เสี่ยวหยูอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตูร้าน
“เกิดอะไรขึ้นกับร้านข้างั้นหรือ เสี่ยวหยู?”
เย่เย่ที่หลงทางกับเมืองนี้อยู่พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ได้มาถึงยังร้านค้าที่เสี่ยวหยูระบุไว้ในจดหมายเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกโล่งอกที่หาร้านเจอ แต่พอเข้าร้านมาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเสียเท่าไหร่
เขาลืมเรื่องที่จะหันไปเกลี้ยกล่อมเจิ้งซูที่ตามมาติดๆให้ไปที่อื่นก่อนและรีบลงจากม้าแล้วเข้าไปในร้านพร้อมกับเอ่ยถามเสี่ยวหยูที่กำลังอยู่ในสภาวะแตกตื่นด้วยความใจเย็นทันที
เมื่อได้ยินเสียงเย่เย่ที่ฟังดูใจเย็น ความแข็งแกร่งของเสี่ยวหยูก็หายฮวบลงไปราวกับเป็นเข็มที่หลุดลงไปในมหาสมุทรลึก
เด็กสาวหันหน้าไปมองด้วยความตกใจแล้วก็พบว่าเย่เย่นั้นกำลังแหวกฝูงชนที่หนาแน่นเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเย่เย่นั้นดูอ่อนโยนยิ่งนัก
“ข้าขอโทษจริงๆเจ้าค่ะนายน้อย! ตั้งแต่เปิดร้านมาก็มีคนมาสร้างปัญหาเรื่อยๆเลย ข้ามันไร้ความสามารถที่ไม่รักษาชื่อเสียงของร้านให้นายน้อยได้! เพราะงั้นได้โปรดลงโทษข้าเลยเจ้าค่ะ!”
ยิ่งได้รับความอ่อนโยนจากเย่เย่มากขึ้นเท่าไหร่ เสี่ยวหยูก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ความคาดหวังของเย่เย่ไม่เป็นดังที่เขาควรจะได้รับมากขึ้นเท่านั้น
แม้ในตอนนี้เสี่ยวหยูอยากจะโผเข้าอ้อมกอดเย่เย่มากเพื่อบอกว่านางเจ็บปวดหัวใจขนาดไหนมันก็ไม่กล้า นางทำได้เพียงก้มหัวลงต่ำแล้วกล่าวขอโทษจากเย่เย่เท่านั้น
เย่เย่นั้นไม่สนใจสายตาที่กำลังจับจ้องมาด้วยความประหลาดใจของคนรอบข้าง เขาเดินเข้าไปเชยคางเสี่ยวหยูขึ้นพร้อมกับเอ่ยกับเธอด้วยความอ่อนโยนดังเดิม “ยัยบ๊อง เจ้าทำได้ขนาดนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว! เพราะฉะนั้นที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
ทันทีที่เข้ามาในร้าน เย่เย่ก็ฟังเสียงลือเสียงเล่าจากเหล่าคนที่มามุงตลอดทางจนมาถึงเสี่ยวหยู ดังนั้นเขาสามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว เช่นนั้นแล้วหลังจากที่เขาปลอบ เสี่ยวหยูเสร็จ สีหน้าของเย่เย่ก็เปลี่ยนไปเป็นเกรี้ยวกราดแบบสุดๆยามที่หันมองเฉิงเทียนเฉิง
เฉิงเทียนเฉิงที่เห็นเย่เย่หันมามองเข้าด้วยความดุร้าย เขาก็รู้สึกได้เลยว่าคนคนนี้คงไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆเหมือนเสี่ยวหยูแน่ๆ แต่ตอนนี้การต่อสู้นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเท่าการใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์หรอก! เขาหันไปพึ่งเหล่าผู้คนจำนวนมากในที่นี้และเสแสร้งว่าตนเองเป็นเหยื่อก่อนจะพูดกับ เย่เย่ “เจ้าเป็นเจ้าของที่นี่สินะ? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าของที่ข้าซื้อไปจากที่นี่นั้นเกือบจะฆ่าข้าแล้วเพราะมันเป็นของปลอม! เจ้ามาก็ดี บอกข้ามาว่าเจ้าจะชดเชยให้ข้าอย่างไร?”
“บนโลกใบนี้เนี่ย ยังมีจ้าววรยุทธ์ที่ไม่ยอมตรวจสอบยาที่จะซื้อก่อนจะควักเงินจ่ายอยู่อีกงั้นเหรอ? ถ้าเจ้าอยากจะแกล้งโง่ก็เชิญ แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะโง่เหมือนที่เจ้าเสแสร้งหรอกนะ! เพราะงั้นถ้าเจ้าอยากจะใส่ร้ายร้านข้าล่ะก็ เอาหลักฐานที่บอกว่ายานั่นซื้อมาจากร้านข้ามาแสดงให้ดูเลยสิ! แต่ถ้าเจ้าหาหลักฐานมาไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถก้าวออกจากประตูร้านข้าในวันนี้ได้เลย!”
เมื่อเย่เย่พูดจบ วรยุทธ์อันมหาศาลแห่งเทพยุทธ์ก็ระเบิดฟุ้งออกมา ความเข้มข้นและรุนแรงของมันนั้นมากพอที่จะทำให้คนอื่นๆรู้สึกอึดอัดไปตามๆกันเลย ซึ่งเฉิงเทียนเฉิงที่อยู่ใกล้สุดนั้นเป็นคนแรกที่รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังนี้
เขารีบถอยออกไป 1-2 ก้าวพร้อมกับแววตาที่มองมาทางเย่เย่ราวกับเห็นผีเสียอย่างนั้น เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึง 20 เช่นนี้จะมีความแข็งแกร่งระดับเทพยุทธ์!
แผนที่วางไว้ของเฉินเทียนเฉิงนั้นถูกทลายหายไปหมดแล้ว ในตอนนี้ แม้เขาจะมีความกล้าพอที่จะเดินหน้าต่อ แต่ใจของเขานั้นไม่ขออยู่ร่วมกับร่างกายอีกต่อไปหากเขายังไม่ละทิ้งความกล้านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องถามถึงคนอื่นเลยว่าจะอยากเข้ามาช่วยเขาไหม ในตอนนี้ขอแค่ยืนดีห่างๆอย่างห่วงๆยังดีกว่าออกหน้ามารับผิดชอบด้วยเป็นไหนๆ เพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่กลัวเย่เย่จะระเบิดความโกรธแล้วไล่ขยี้พวกเขาเป็นผักปลากันหมด
บนโลกใบนี้ มีกฎ 1 ข้อที่ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่ว นั่นก็คือ ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะถูกเคารพ ก่อนหน้านี้ เฉิงเทียนเฉิงแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวหยู ดังนั้นแม้บางคนจะรู้แล้วว่าฝ่ายไหนผิด แต่พวกเขาก็ยังต้องเลือกอยู่ฝั่งคนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้ที่เย่เย่ผู้อยู่ในระดับเทพยุทธ์ปรากฏตัว แม่ยกฝั่งเฉิงเทียนเฉิงจึงย้ายมาอยู่ฝั่งเย่เย่จนหมดและมันทำให้ เฉิงเทียนเฉิงกลายเป็นเหยื่อสังคมอย่างที่เขาอยากเป็นแทน
“ม-แหม่ บางทีข้าอาจจะจำผิดเองก็ได้ ดูเหมือนว่ายาฟื้นพลังนี่ข้าคงจะซื้อมาจากร้านอื่นนั่นแหละ ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆที่มารบกวนเช่นนี้”
เฉิงเทียนเฉิงหน้าถอดสี เขาไม่กล้าที่จะก่อความวุ่นวายเพิ่มแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษเย่เย่และเตรียมจะหันหลังแล้วหนีออกไปตอนนี้เลย
แต่ในทันทีที่เขาเตรียมจะหนีจริงๆ เขาก็พบว่าตัวเขานั้นไม่สามารถขยับไปไหนได้ทั้งนั้นราวกับว่าร่างนี้ถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นกำลังผูกและรัดตรึงเขาไว้ให้อยู่กับที่
เย่เย่ที่เป็นเทพยุทธ์นั้นกำลังมองเฉิงเทียนเฉิงพร้อมแสยะยิ้ม เขาใช้คลื่นพลังแห่งโลกและสวรรค์รั้งร่างของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อไม่ให้ไปไหนได้ และเมื่อคนอื่นๆที่มุงอยู่ได้เห็นดังนั้น พวกเขาก็ช็อกไปพร้อมๆกันเพราะความแข็งแกร่งของเย่เย่เลย
“เจ้าคิดว่าเจ้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปได้ง่ายๆเลยงั้นเหรอ? นี่เห็นร้านของข้าเป็นอะไรกันน่ะ?”
ไม่เพียงแต่เฉิงเทียนเฉิงเท่านั้นที่โดนโซ่พลังล่ามไว้ แต่คนอื่นๆที่มองอยู่โดยรอบ ใครก็ตามที่กำลังแอบซุบซิบนินทาอยู่ต่างก็โดนเย่เย่เหลือบมองจนต้องเสียวสันหลังไปตามๆกันด้วย เย่เย่เอ่ยตามขึ้นมาในภายหลังด้วยความเย็นชา “ใครก็ตามที่คิดจะมาก้าวก่ายร้านของข้าให้เสียๆหายๆ จงจำไว้ว่าพวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้สาสม! เอาล่ะ ทีนี้เป็นทางเลือกของเจ้า! จะยอมทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่งเพื่อชดใช้ที่มากรรโชกทรัพย์ร้านข้า หรือจะยอมจ่ายเหรียญทองมา 30,000 เหรียญและให้คำมั่นสัญญาแก่ข้าว่าเจ้าจะไม่เข้ามายุ่งกับร้านของข้าอีก!”
ฟังข้อเสนอของเย่เย่แล้ว เฉิงเทียนเฉิงก็รู้สึกสำนึกผิดแบบสุดๆ ถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้ขยับไปไหน แต่เขาเองก็ขยับไปไหนไม่ได้เช่นกันเพราะโซ่พลังนี่ ดังนั้นแล้วเฉิงเทียนเฉิงจึงไม่กล้าที่จะออกความเห็นใดที่เป็นการขัดต่อเย่เย่ทั้งนั้น