บทที่ 61
เจิ้งซูแทนคุณ
ถึงแม้ว่างานประมูลของหอการค้าขนาดเล็กที่จัดร่วมกันในหลิงเฉิงนั้นจะไม่ได้ดึงดูดสายตาของคนมามากมายนัก แต่กระนั้นก็ยังถือว่ามีผู้เข้าร่วมอยู่มากมายเช่นกัน ดูเหมือนขนาดของหอการค้าจะไม่ใช่ปัญหาจริงๆ
กระบวนท่าดัชนีเคลื่อนดาราของเสวี่ยหยูที่ถูกประมูลด้วยเสวี่ยหยูเองนั้นสร้างความร้อนรุ่มให้แก่งานประมูลได้ไม่น้อยเลยเช่นกัน และมันถูกขายไปได้ในราคาสูงถึง 250,000 เหรียญทอง
เมื่อถึงคราของผงทองคำแท้ ผู้เข้าร่วมงานทุกคนต่างก็เริ่มแย่งชิงสิ่งนี้กันอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าเขาคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่มีค่าสุดของงานในวันนี้แล้ว ขณะเดียวกันที่ด้านหลังเวที ตงเหรินนั้นกำลังสำลักเลือดอยู่เพราะตามเดิมแล้วผงทองนั้นต้องเป็นของเขาแท้ๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้กระทบเขามากเท่าไหร่ แต่ยังไงเสียการที่ได้เห็นเงิน 300,000 เหรียญทองต้องตกไปอยู่ในมือของเย่เย่นั้นยังไงมันก็เจ็บปวดใจอยู่ดี
อย่างสุดท้าย รองเท้าเทพวายุก็ได้ถูกนำขึ้นสู่เวทีการประมูลโดยถือเป็นของปิดงาน สิ่งนี้มันกลายเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดลงไปในดงระเบิด ซึ่งยามที่เหล่าผู้ร่วมประมูลต่างพากันคึกคักราวกับระเบิดถูกจุดขึ้นแล้วหลังจากที่ได้ยินคำแนะนำจากผู้ดำเนินรายการประมูล
แม้ในงานประมูลนี้จะมีจ้าววรยุทธ์ระดับที่แข็งแกร่งพอที่จะใช้มันได้ไม่กี่คน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆที่ไม่ใช่จ้าววรยุทธ์จะไม่เห็นค่าของมัน
ราคาของรองเท้าเทพวายุนั้นพุ่งขึ้นสูงถึง 500,000 เหรียญทองเพียงพริบตาเดียว ด้วยราคานี้แม้แต่ผู้ดำเนินรายการเองยังตกตะลึง และในท้ายที่สุดมันก็ตกไปอยู่ในมือของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่มีทุนทรัพย์แข็งแกร่งด้วยราคา 640,000 เหรียญทอง
เย่เย่กลับไปยังหอการค้าหยูเย่ด้วยเงินมากถึง 940,000 ที่ได้จากการประมูลผงทองคำแท้และรองเท้าเทพวายุได้ กระนั้นเขากลับไม่ได้เติมเงินทั้งหมดเข้าไปในระบบแต่เก็บมันไว้เพื่อขยายกิจการในช่วงนี้แทน
“นายน้อยเจ้าคะ แบบนี้ดีแล้วหรือ?”
เสี่ยวหยูนั้นรู้ดีว่าเย่เย่ต้องการเงินมากขนาดไหน ถึงขนาดที่ยอมตั้งหอการค้าหยูเย่ขึ้นมาก็เพื่อให้ได้เงินมามากมายแล้วแท้ๆ แต่เมื่อนางได้รับเงินจำนวน 940,000 เหรียญทองมาจากเย่เย่ มันทำให้นางต้องชั่งใจว่าจะรับไว้ดีหรือไม่
“เก็บมันไว้ หอการค้าหยูเย่นั้นไม่ได้เป็นแค่ของข้าแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นของเจ้าด้วย ข้าไม่อยากปล่อยให้ที่นี่เหี่ยวเฉาไปโดยไม่ทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งที่แล้วข้ายังเอาเงินจากคลังมา 100,000 เหรียญทองด้วย จำได้ว่ายังไม่ได้โปะคืนเลย เพราะงั้นก็เก็บเอาไว้เป็นเงินทุนนั่นล่ะนะ”
ถึงจะเป็นแค่คำพูดที่พยายามให้เสี่ยวหยูยอมรับเงินก้อนนี้ไป แต่จริงๆแล้วเขาก็อยากจะให้นางจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่แล้ว
ความตั้งใจดั้งเดิมของเย่เย่ที่ก่อตั้งหอการค้าหยูเย่แห่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะหากองทุนมาเติมเงินเข้าระบบแลกเปลี่ยนเรื่อยๆ และด้วยการนี้ หากเขาเอาแต่มองหอการค้าของตนต้องขาดทุนหรือย่ำอยู่กับที่ ท้ายสุดแล้วคนที่จะเจอปัญหาก็จะเป็นเขาเองที่ไม่มีทุนสำหรับเติมเงินและนำมาฝึกฝนวรยุทธ์ตนเอง
ด้วยเหตุนี้ เย่เย่จึงยอมสละเงิน 940,000 เหรียญทองก้อนนี้เพื่อให้เสี่ยวหยูเก็บไว้สำหรับพัฒนาหอการค้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีกโดยไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าเย่เย่มั่นใจในสิ่งที่ทำอยู่เสียขนาดนั้น เสี่ยวหยูก็เลิกที่จะขัดขืน อย่างไรก็ตาม นางก็แอบปฏิญาณไว้ในใจว่าจะพัฒนาหอการค้าหยูเย่แห่งนี้ให้กลายเป็นหอการค้าขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าหอการค้าแห่งอื่นๆในหลิงเฉิงให้ได้ และจะต้องตอบแทนคุณเย่เย่ที่ไว้วางใจในนางให้อีกเป็น 100 เท่าเลย!
ทว่าก่อนที่เสี่ยวหยูจะได้แสดงพลังของตนเพื่อให้สานฝันตามปณิธานที่ตั้งไว้ได้ เคราะห์กรรมของหอการค้าหยูเย่แห่งนี้ก็ถูกทลายทิ้งด้วยการปรากฏตัวของเจิ้งซู
“ท่านเย่ ท่านหญิง! ขออภัยจริงๆ พอดีว่าวันนี้ข้าเพิ่งจะโน้มน้าวเหล่าคนในตระกูลของข้าให้มาเป็นพันธมิตรกับหอการค้าหยูเย่ได้สำเร็จ ดังนั้นข้าเลยมาสายนิดหน่อย ได้โปรดอย่าได้ใจร้อน จากวันนี้เป็นต้นไป ข้า และตระกูลเจิ้งทั้งหมดตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามช่วยพัฒนาหอการค้าหยูเย่แห่งนี้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำได้ โดยเริ่มจากพวกข้าจะอุดหนุนตำรากระบวนท่า ยารวมไปถึงอาวุธต่างๆจากหอการค้าของท่านเท่านั้น ตราบใดก็ตามที่ตระกูลเจิ้งยังอยู่ในหลิงเฉิงแห่งนี้ หอการค้าหยูเย่ จะไม่มีวันไร้ซึ่งแขกอย่างเด็ดขาด!”
เจิ้งซูเข้าพบเย่เย่และเสี่ยวหยูดด้วยความใจเย็นพร้อมกับพูดในสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งสิ่งนี้เองก็ทำให้เสี่ยวหยูถึงกับตกตะลึงไปแบบสุดๆ รวมถึงเย่เย่ยังแสดงแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจด้วยเช่นกัน
เขารู้ว่าเจิ้งซูนั้นเป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณสูง ดังนั้นแล้วหากเจิ้งซูรู้ว่าหอการค้าหยูเย่กำลังย่ำแย่หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าตระกูลเจิ้งคนล่าสุดแล้ว เขาจะต้องไม่เฉยเมยแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้คิดเลยว่าเจิ้งซูจะทำถึงขนาดนี้เพื่อเขา เพราะก่อนหน้านี้เขานั้นได้เห็นแล้วว่าเหล่าคนในตระกูลเจิ้งนั้นเจ้ายศเจ้าอย่างกันขนาดไหน แต่เจิ้งซูกลับมาบอกว่าสามารถโน้มน้าวเหล่าคนในตระกูลให้มาอุดหนุนหอการค้าของเขาได้นั้นมันก็ยังทำให้เย่เย่อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี
ทางด้านเจิ้งซูที่มองจากสีหน้าของเย่เย่แล้วก็พอจะเดาได้ว่าเย่เย่กำลังสงสัยอยู่ เขาจึงค่อยๆอธิบายด้วยใบหน้าผ่อนคลาย “อย่าได้กังวลเลยขอรับ เพราะยาเสริมพลังที่ท่านได้ให้ไว้กับข้าเมื่อครั้งนั้นมันได้ผลดีมากๆ ข้าใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถก้าวเข้าสู่จ้าววรยุทธ์สูงได้แล้ว และด้วยสิ่งนี้มันเลยทำให้เหล่าผู้อาวุโสนั้นหวาดกลัวกันจนยอมฟังสิ่งที่ข้าอธิบายรวมไปถึงพวกเขายังชื่นชมในความเก่งกาจของท่านด้วย เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้จึงสามารถเป็นจริงได้โดยที่ไม่ได้ยากเย็นนักขอรับ”
เย่เย่พยักหน้าและเอ่ยขึ้นกับเจิ้งซูด้วยเสียงเคร่งขรึม “ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ”
แม้เจิ้งซูจะพูดเหมือนง่าย แต่เย่เย่นั้นมั่นใจมากๆเลยว่าสิ่งนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนพูดแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าตัวดูจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ไปมากกว่านี้แล้ว เย่เย่ก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ เขาเพียงรับความมีน้ำใจครั้งนี้ไว้ในอกเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของตระกูลเจิ้งแม้ว่าจะมากกว่าตระกูลเสวี่ยของเสวี่ยหยูเล็กน้อย แต่ด้วยกับสนับสนุนจากตระกูลเจิ้งนี้มันก็มากพอที่จะทำให้หอการค้าหยูเย่นั้นกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
เหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นจากตอนแรกที่เขาตั้งใจจะผ่านมาดูความล่มจมของที่แห่งนี้ กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาคาดหวังนั้นมันไม่มีเค้าโครงเดิมอยู่เลย หอการค้าหยูเย่ ณ ตอนนี้ดูคึกคักและยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก ขนาดต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันมหาศาลจากปราการหลิงหยวนแต่ก็ยังสามารถยืนหยัดได้ใหม่อีกครั้งเช่นนี้ มันเริ่มชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว พวกเขาเหล่านั้นตัดสินใจแวะเวียนเข้ามาภายใน ซึ่งในขณะที่พวกเขาเหล่านี้แวะเวียนเข้ามาเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมหอการค้าหยูเย่ยังยืนอยู่เช่นนี้ได้นั้น มันก็กลายเป็นการเพิ่มชื่อเสียงของหอการค้า หยูเย่โด่งดังขึ้นไปอีก
หอการค้าหยูเย่แห่งนี้เหมือนได้รับพรไปโดยกลายๆ เมื่อเทียบกับอดีตแล้วถือว่าหอการค้าหยูเย่เติบโตมาได้เร็วพอสมควร นอกจากนั้นกำไรมันยังย้อนกลับมาหาเย่เย่อย่างมหาศาลอีกด้วย เย่เย่ได้กำไรจากการขายของมา 1 ล้านเหรียญทองแล้ว เขาเก็บ 500,000 เหรียญทองไว้สำหรับพัฒนาหอการค้าหยูเย่ ส่วนอีก 500,000 เหรียญทองก็เติมเข้าไปในระบบแลกเปลี่ยน
ยอดเงินคงเหลือในระบบจาก 2 เหรียญจักรวาลได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,002 เหรียญจักรวาล สิ่งนี้ทำให้เย่เย่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขเหลือขนาด กระนั้นเขาก็ไม่ได้รีบที่จะแลกเอาของล้ำค่าออกมาในทันทีแต่กลับเลือกที่จะไปฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อจากที่ค้างไว้
อาจจะเป็นเพราะว่าเย่เย่นั้นฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธมาตั้งแต่ระดับเล็กๆ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจถึงหลักการต่างๆของวิชานี้ด้วยตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นการฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อมันจึงไม่ทำให้เขาเจอปัญหาใดๆมากนัก และถ้ามันยังคงราบรื่นแบบนี้ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ เขาคงจะสามารถใช้พลังระดับสุดยอดของ ฝ่ามือคลื่นพิโรธอันเป็นสุดยอดกระบวนท่าของเทพยุทธ์ได้ในเร็ววันนี้แล้ว
หลังจากที่หอการค้าหยูเย่ได้ฟื้นคืนชีพจากก้นเหวขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ชายหนุ่มรูปงามผู้สวมผ้าคลุมสีแดงก็ปรากฏขึ้นมาที่หน้าทางเข้าหอการค้า เขาคนนี้มีนามว่า เซียงเฉิงหลง เขาเป็นศิษย์สำนักนิกายเพลิงสวรรค์ ที่ถือเป็นอีก 1 ใน 5 สำนักขนาดใหญ่ของหลิงเฉิงเช่นเดียวกับปราการหลิงหยวน
เขามาที่หอการค้าหยูเย่แห่งนี้ในนามของสำนักนิกายเพลิงสวรรค์เพื่อมอบข้อเรียกร้องให้แก่เย่เย่
“นิกายเพลิงสวรรค์นั้นถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหลิงเฉิงเป็นรองเพียงปราการหลิงหยวน อาจารย์ของข้าชื่นชมความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นต่อกรกับปราการหลิงหยวนเมื่อครั้งก่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงส่งคำเชื้อเชิญให้ท่านมาเข้าร่วมกับพวกเรา ดังนั้นแล้วท่านควรรีบเก็บสัมภาระที่จำเป็นแล้วไปกับข้าเสีย เพราะข้าต้องรีบกลับไปฝึกฝนวรยุทธ์ในระดับเทพยุทธ์ให้มั่นคงต่อ!”
เซียงเฉิงหลงนั้นได้เป็นเทพยุทธ์มาตั้งแต่ยังหนุ่มๆแล้ว ทว่าฝีมือของเขากลับไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร และด้วยความที่เขานั้นจบจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียง มันจึงทำให้ความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีนั้นมันฝังลึกลงไปในกระดูก ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้เอ่ยทักทายเย่เย่ให้มากความนักเมื่อครั้นเจอหน้าแถมยังเร่งเร้าให้ เย่เย่รีบๆตามเขาไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เย่เย่ค่อยๆขมวดคิ้วและไม่ได้โกรธในทันที เขาเพียงผายมือต้นรับเซียงเฉิงหลงเท่านั้น “ท่านช่างมีความโอบอ้อมแก้ข้าผู้นี้จริงๆ แต่ข้านั้นมิได้สนใจอย่างจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดๆทั้งสิ้น ณ เวลานี้ ดังนั้นขอท่านกลับไปเถิด”
เซียงเฉิงหลงนั้นไม่คาดคิดเลยว่าจะมีใครในหลิงเฉิงที่กล้าปฏิเสธคำเชิญชวนของสำนักนิกายเพลิงสวรรค์เช่นนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่คาดคิดด้วยว่าเย่เย่จะเป็นผู้มาฉีกหน้าเขาเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงโกรธเย่เย่เป็นอย่างมาก แววตาที่มองไปยังเย่เย่นั้นไม่เฉยเมยดั่งก่อนหน้าแล้ว
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดเรื่องอะไรออกมา? ข้ามาที่นี่ในตัวแทนของสำนักนิกายเพลิงสวรรค์นะ ไม่ใช่หมารับใช้ไร้เจ้าของ!”
น้ำเสียงของเซียงเฉิงหลงนั้นฟังดูก็รู้ว่าเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เขาคิดว่าเย่เย่นั้นคงกำลังเล่นตัวเพื่อให้ตนเองมีค่ามากขึ้น นั่นเพราะว่าท่ามกลางสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 มีเพียงนิกายเพลิงสวรรค์เท่านั้นที่สามารถรรับมือปราการ หลิงหยวนได้ ในตอนนี้เย่เย่น่ะเกือบจะเป็นศัตรูกับปราการ หลิงหยวนไปโดยสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นมันก็ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่ให้เย่เย่ปฏิเสธแท้ๆ
ถึงแม้ว่าเซียงเฉิงหลงจะแค่มาทำงานให้สำนักแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะต้องลงไม้ลงมือกับเย่เย่นักหรอก เขาแค่อยากจะใช้เย่เย่เป็นตัวเลื่อนขั้นให้เขาก็เท่านั้น พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนั่นก็คือ เขาใจจดใจจ่อกับงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าเย่เย่จะแข็งแกร่งกว่าเขาก็จริงแต่ยังไงเซียงเฉิงหลงก็ยังดูถูกเย่เย่อยู่ดี เขาไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ได้เด็ดขาด
“ถึงแม้ว่านิกายเพลิงสวรรค์จะแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ยังเป็นรองปราการหลิงหยวนนี่นา ในเมื่อข้านั้นสามารถฆ่าศิษยฺ์ของปราการหลิงหยวนได้ เช่นนั้นข้าจะกลัวการปฏิเสธคำเชิญของนิกายเพลิงสวรรค์ไปทำไม?”
ในเมื่อเซียงเฉิงหลงไม่ทำตัวดีๆแก่เขา เย่เย่ก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเขาเช่นกัน
หลังจากที่พูดไปแล้ว เขาก็บอกให้เสี่ยวหยูส่งแขกและหันหน้ากลับไปยังสวนด้านหลังเพื่อที่จะเตรียมฝึกฝนฝ่ามือคลื้นพิโรธของเขาต่อดังเดิม
“ด-เดี๋ยวก่อน! เจ้าเพิ่งจะมีเรื่องกับปราการหลิงหยวนไป แล้วนี่เจ้ายังมาปฏิเสธคำเชิญจากนิกายเพลิงสวรรค์อีก เจ้าคิดว่าตัวเจ้าจะรับมือกับทางปราการหลิงหยวนและนิกายเพลิงสวรรค์ได้พร้อมๆกันหรือยังไง?! ไม่มีทาง!”
เซียงเฉิงหลงนั้นยังคงหยิ่งทระนงดังเดิม ตัวเขานั้นไม่อยากจะโดนหัวเราะเยาะหากเชื้อเชิญเย่เย่ไม่สำเร็จ ดังนั้นแล้วเขาจึงพยายามชักชวนให้ได้จนถึงนาทีสุดท้าย รวมไปถึงใช้วิธีข่มขู่เย่เย่เพื่อให้เข้าร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินคำพูดพวกนั้นแล้ว เย่เย่ก็หันขวับกลับมาทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้อ 1 เจ้าคนเดียวไม่สามารถถือเป็นตัวแทนของนิกายเพลิงสวรรค์ได้ ข้อ 2 หากนิกายเพลิงสวรรค์คิดจะกำจัดข้า เจ้าจะไม่ใช่คนเดียวที่จะต้องเสียใจกับเรื่องนี้ในตอนจบ!”
แววตาของเย่เย่นั้นหนักแน่นและเกรี้ยวกราดเหมือนเมื่อตอนสู้กับจินหยูและหลินหยูฉีไม่มีผิด
ความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมานั้นทำเอาเซียงเฉิงหลงกลัวไปชั่วขณะจนต้องถอยกลับไปครึ่งก้าว เขานั้นเหมือนกับต้องเผชิญอยู่กับนักล่าปริศนาที่เขาเป็นได้แค่เหยื่อเท่านั้น
แต่แล้วด้วยความถือตน เขาไม่สามารถรับได้แน่ๆหากจะต้องยอมรับว่าตนกำลังกลัวเจ้าของกิจการหอการค้าเล็กๆเช่นนี้ ความโกรธที่พลุกพล่านขึ้นมาทำให้เขาพูดออกไป “ช่างโอหังยิ่งนัก! เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่หอการค้าหยูเย่ของเจ้าน่ะ ไม่มีวันได้เห็นตะวันรุ่งของเช้าวันใหม่แน่ๆ!”
แววตาของเย่เย่หดลงก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าด้วยความเย้ยหยัน ร่างของเย่เย่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเซียงเฉิงหลงราวกับแสงที่เคลื่อนที่จากจุดหนึ่งมายังจุดหนึ่ง
“เจ้าจะทำอะไร?”
ผิวหน้าของเซียงเฉิงหลงซีดเผือดลงไปด้วยความกลัวทันที ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักได้แล้วว่าช่องว่างของความแข็งแกร่งระหว่างเขากับเย่เย่นั้นมันกว้างขนาดไหนนอกจากนั้นสัญชาตญาณของเขายังสั่งให้เขาถอยออกไปและคอยหลบหลีกไว้ให้ดีอีกด้วย