บทที่ 69
ชุดเกราะทะลวงสวรรค์
แม้ว่าการแข่งขันรอบถัดไป อีก 3 วันถัดจากนี้จะเป็นเพียงการแข่งขันในรอบที่ 3 ของการประลองหลิงหยวน แต่บรรยากาศความครึกครื้น และความตื่นเต้นที่ปกคลุมไปทั่ว เฉิงหลินนั้นไม่ต่างอะไรกับรอบชิงชนะเลิศเลย เพราะการประลองรอบถัดไปจะเป็นมวยคู่เอกที่ทั่วทุกสารทิศในเมืองนี้ต้องจับตามอง นั่นก็คือคู่ระหว่างเย่เย่ เทพยุทธ์แห่งหอการค้าหยูเย่ และ เฉินเทียนหนาน หัวหอกผู้เป็นความภาคภูมิใจของปราการ หลิงหยวนนั่นเอง !
หลังจากศึกครั้งนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นขาวหรือดำ เย่เย่ก็ไม่ได้มีประสงค์ที่จะลงแข่งขันในการประลองต่อ เดิมทีเขาไม่ได้ต้องการที่จะคว้าแชมป์อยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการทำลายความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อปราการหลิงหยวนเท่านั้น
ปราการหลิงหยวนนั้นเป็นผู้จัดการประลองในครั้งนี้ ดังนั้นแม้ว่าจะดูไม่ให้เกียรติแก่ผู้ลงชื่อประลองอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็มีความชอบธรรมที่จะเปลี่ยนตัวผู้เข้าแข่งขันระหว่างการแข่งขัน หลายต่อหลายคนไม่พอใจกับการกระทำนี้ แต่ก็ได้แต่เงียบไม่ปริปากเพราะสิ่งที่พวกเขาจะได้รับชมในรอบต่อไปนี้มันเติมเต็มในส่วนที่คับข้องใจเหล่านั้นจนล้นปรี่ไปเสียแล้ว ! บรรยากาศในหลิงเฉิงตอนนี้แม้จะปกคลุมไปด้วยความตื่นเต้น แต่ก็แฝงไปด้วยความหม่นหมองด้วยเช่นกัน
กระนั้นเย่เย่ก็ไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบๆมากนัก แม้ว่าหอการค้าตงหยวนจะยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนสภาพเศรษฐกิจภายในหอการค้าหยูเย่ก็ยังคงที่ด้วยแรงสนับสนุนของตระกูลเจิ้ง หลังจากที่เย่เย่ปรับสถานะพลังของเขาให้เข้าฝัก เขาก็ไม่ได้ฝึกฝนต่อ แต่เขาเลือกที่จะแลกเปลี่ยนไอเทมบางอย่างออกมาจากระบบแทน เขาให้ซูฉีเจี่ยเก็บของนั้นเข้ากล่อง และมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของตระกูลเจิ้งพร้อมกันกับเขา
สิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนมาให้เจิ้งซูนั้นคือเกราะสีทองแวววาว สร้างด้วยวัสดุจากแก้ว มาพร้อมกับดาบสีม่วงที่ดูตัดกันกับเกราะสีทองสง่า ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องเสียไปทั้งหมดคือ 1000 เหรียญจักรวาล ทำให้เงินคงเหลือในระบบเขาเหลือเพียง 2000 เหรียญจักรวาลเท่านั้น แต่คุณสมบัติของเจ้าเกราะแสบตานี่ก็เหมาะสมกับราคาแล้ว มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กดำเป็นไหนๆ เพราะความสามารถของมันคือทำให้จ้าววรยุทธดาดๆสามารถปลดล็อกขุมพลัง และข้ามขั้นทัดเทียมกับเทพยุทธ์ได้ในทันทีขณะสวมใส่มัน
แม้ว่าเจิ้งซูจะเป็นเจ้าตระกูลเจิ้งในปัจจุบัน แต่วรยุทธของเขายังเทียบเท่ากับจ้าววรยุทธไก่อ่อนที่ตามโลกไม่ทัน พลังของเขายังไม่เพียงพอสำหรับการต่อกรกับเหล่าขั้วอำนาจทั้ง 5
อย่างไรก็ตามเย่เย่ยังไม่ได้ทำให้เขาเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธในทันที เพราะพื้นฐานการต่อสู้ของเจิ้งซูนั้นยังไม่แน่น และขาดประสบการณ์ในการรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด หากเขาเลื่อนขั้นในตอนนี้เขาต้องควบคุมพลังของเขาไม่อยู่ และถูกอำนาจของพลังครอบงำจิตใจเป็นแน่
ดังนั้นเย่เย่จึงตัดสินใจที่จะมอบเกราะทองชิ้นนี้ให้กับเขาแทน นั่นไม่ใช่เพียงแค่จะทำให้เจิ้งซูมีสถานะที่ทัดเทียมกับเขา แต่ยังเป็นการรักษาสภาวะจิตใจที่ไม่พร้อมของเจิ้งซูในการเป็นเทพยุทธ์อีกด้วย
เมื่อเย่เย่ และซูฉีเจี่ยเดินทางมาถึงที่พำนักตระกูลเจิ้งแล้วนั้น ก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังออกมาจากสวนอันกว้างใหญ่ของตระกูลเจิ้ง
“ท่านเจิ้งซู ได้โปรดอภัยให้ข้าที่ข้าต้องพูดเช่นนี้ หอการค้าหยูเย่นั้นตกอยู่ในที่นั้นลำบาก ท่านอย่าได้เอาอนาคตของพวกเรา และลูกหลานตระกูลเจิ้งไปเดิมพันกับหอการค้าไร้ค่าเยี่ยงนั้นเลยขอรับ พูดแล้วก็อดสูนัก! ข้าไม่อยากจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย!”
“ใช่แล้ว! แม้ว่าท่านเย่จะมีคุณต่อท่าน แต่ท่านเจิ้งซูก็ตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆนั่นไปแล้ว! พวกเราไม่มีอะไรติดใจต่อกัน! แม้ว่าพวกเราจะไม่ให้การสนับสนุนพวกเขาต่อ พวกเขาจะว่าอะไรได้!?”
เหล่าผู้อาวุโสที่เคยสนับสนุนเจิ้งซูในครั้งก่อนรวมตัวอยู่ที่สวนตระกูลเจิ้ง พวกเขาได้แต่หวังว่าผู้นำตระกูลเจิ้งจะรีบตัดความสัมพันธ์กับเย่เย่ให้เร็วที่สุด จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
อย่างไรก็ตามแนวคิดของเจิ้งซูก็หาได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขาปฏิเสธที่จะผิดสัญญาที่เคยมีให้ต่อเย่เย่ “ลูกผู้ชายน่ะ พูดแล้วไม่กลับคำ! แล้วก็นะข้ายังเป็นผู้นำตระกูลเจิ้งคนปัจจุบันอีกด้วย ถ้าข้าไม่เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก เลิกพูดเรื่องไร้สาระอย่างตัดความสัมพันธ์กับหอการค้าหยูเย่ไปได้เลย! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าพร้อมที่สนับสนุนหอการค้าหยูเย่ดังเดิม !!”
เจิ้งซูนั้นเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เขาตระหนักว่าถ้าเขาไม่ได้เย่เย่คอยค้ำจุนเขาในวันนั้น คงไม่มีเจิ้งซูในวันนี้ ยิ่งกว่านั้นเขายังเคยอาศัยที่หอการค้าหยูเย่ระยะหนึ่งทำให้เขานั้นรับรู้ถึงขีดความสามารถของเย่เย่ที่คนทั่วไปยากจะหยั่งถึง ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้เฒ่าผู้แก่ภายในตระกูลจะคัดค้านเขาเสียงแข็งแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นของเขาที่มีต่อเย่เย่สั่นคลอนได้เลย
ถึงกระนั้นความไว้ใจของเจิ้งซูที่มีต่อเย่เย่ในสายตาคนนอกนั้นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดี
ทั้งเจิ้งกงและเจิ้งเฉิง สองผู้เฒ่าที่เคยคัดค้านต่อการดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลของเจิ้งซูในครั้งก่อน ยิ่งทวีความไม่พอใจในตัวเจิ้งซูขึ้นอย่างมาก แม้ผู้เฒ่าทั้งสามที่เคยยืนหยัดข้างเจิ้งซูยังต้องเห็นด้วยกับความคิดของเจิ้งกง และเจิ้งเฉิงอีกด้วย พวกเขาลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าตระกูลเจิ้งควรตัดท่อน้ำเลี้ยงให้กับหอการค้าหยูเย่โดยทันที
“แรกเริ่มพวกเราได้ยอมรับการเป็นพันธมิตรกับหอการค้าของท่านในนามของตระกูลเจิ้ง โดยในข้อตกลงเบื้องต้นเขียนไว้ว่าหากอาวุธ และยาจากหอการค้าหยูเย่ไม่ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูลเจิ้ง ท่านเจิ้งซูจะยอมลาออกจากการเป็นผู้นำตระกูล ท่านเคยรับประกันไว้แบบนั้น แล้วไหนล่ะ? ปัจจุบันตระกูลเจิ้งของเราไม่ได้เป็นแม้แต่แมวตัวที่ 5 ของเฉิงหลิงด้วยซ้ำไป? ท่านพอจะอธิบายอย่างมีเหตุผลแบบผู้ใหญ่ได้ไหมล่ะท่านเจิ้งซู…”
เจิ้งกงรู้ว่าเจิ้งซูนั้นมีนิสัยดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ จึงเล่นงานเขาด้วยคำพูดแทงใจดำเกินกว่าเจิ้งซูจะทานทนได้
ทันทีที่คำพูดกระแนะกระแหนของเจิ้งกงหลุดออกมาจากปากของเขา ผู้อาวุโสต่างๆก็เริ่มหารือเกี่ยวกับความเหมาะสมของการเป็นผู้นำของเจิ้งซู ใบหน้าเจิ้งซูนั้นบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์โกรธ แต่เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้เลย
เจิ้งซูนั้นบรรลุการเป็นจ้าววรยุทธ์ และควบคุมพลังของตนให้เสถียรได้เพียงไม่ถึงครึ่งเดือน เขาได้เสนอความร่วมมือกับหอการค้าหยูเย่ให้ผู้อาวุโสทั้ง 5 พิจารณา แม้ว่าในตอนแรกผู้อาวุโสจะอนุมัติสิ่งที่เขาเสนอ แต่ปัจจุบันตระกูลเจิ้งก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าแมวที่ผอมโซแห่งเฉิงหลิงเลย ดังนั้นเจิ้งซูจึงหมดความชอบธรรมในการเป็นผู้นำตระกูลไปโดยปริยาย
เจิ้งซูเคยยื่นข้อเสนอโดยที่ฝากฝังอนาคตในฐานะประจำตระกูลเจิ้งไว้กับหอการค้าหยูเย่ก็จริง แต่เย่เย่นั้นหมกมุ่นอยู่กับการซ้อม และไม่อยากเปิดเผยสินค้าที่เขาแลกมาจากระบบเร็วเกินไป สิ่งที่หอการค้าหยูเย่เสนอขายให้แก่ตระกูลเจิ้งนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขายดาษดื่นตามท้องตลาดของเมืองเฉิงหลินเลย
เหล่าผู้อาวุโสดูท่าจะเริ่มหมดความอดทนมาทีละนิด มีเพียงเจิ้งซูเท่านั้นที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นที่เขามีต่อเย่เย่ ครั้งนี้ต่อให้ขุมอำนาจทั้ง 5 ของเฉิงหลิงพยายามจะรวมหัวกันกำจัดพวกเขาก็ตาม แต่เจิ้งซูได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะยืนหยัดเคียงข้างเย่เย่ที่เขาเคารพรัก
“ใช่แล้ว! พวกเราต้องการผู้นำตระกูลที่มีวิสัยทัศน์ เจิ้งซูเจ้ามันไร้ค่าไร้ราคา เจ้าไม่สมควรที่จะนั่งแท่นผู้นำตระกูลของเราอีกต่อไป !” เจิ้งเฉิง ต่อด้วยเจิ้งกง คนแล้วคนเล่าตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของเจิ้งซู ณ ขณะนี้เพียงแค่ผู้เฒ่า 3 ใน 5 คนลงนามไม่ไว้วางใจเจิ้งซู เขาจะหลุดจากตำแหน่งผู้นำตระกูลในทันที
ความตึงเครียดที่สวนอันกว้างขวางของตระกูลเจิ้งมาดำเนินมาถึงจุดขีดสุด ทันใดนั้นเองเย่เย่ และซูฉีเจี่ยก็ได้เดินมาถึงบริเวณรอบนอกสวน ผู้คนในตระกูลเจิ้งล้วนตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เขาพบเจออยู่ตรงหน้า พวกเขาลังเลที่จะให้การต้อนรับการมาของเย่เย่อยู่ไม่น้อย
“เอ๋~ ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้ใดที่ต้องการฟ้องร้องจะต้องเอาชนะผู้นำตระกูลอย่างราบคาบ มิฉะนั้นการฟ้องร้องจะถือว่าเป็นโมฆะนี่นะ? ”
เย่เย่ไม่รอช้า เขาเดินเข้ามาในสวนพร้อมกับซูฉีเจี่ยข้างกายของเขา เมื่อผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจิ้งเห็นการมาถึงของเย่เย่ หน้าพวกเขาก็เริ่มถอดสี ตรงกันข้ามกับเจิ้งซูที่นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง แต่ก็รู้สึกละอายใจ และไม่กล้าที่จะพบหน้าเย่เย่
เจิ้งเฉิง และเจิ้งกงทำตัวไม่ถูก และแสดงความไม่พอใจต่อการมาของเย่เย่ พวกเขารู้ดีว่าการที่จะต่อกรกับเย่เย่นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“ท่านเย่ นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลของข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง!”
เจิ้งกงรวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดออกไปต่อหน้าเย่เย่ แสร้งทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เกรงกลัวพลังของหอการค้าหยูเย่เลยแม้แต่น้อย
“อะไรกัน? ข้าพูดผิดตรงไหนหรือไงน่ะ? ตั้งแต่ที่พวกเราเป็นพันธมิตรกันข้าก็ได้อ่านกฎของ
ตระกูลเจิ้งแล้ว ถ้ามีคำไหนที่ข้าพูดผิดไป ได้โปรดชี้แนะด้วย” เย่เย่พยักหน้าให้เจิ้งซู ก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้าเจิ้งกงด้วยสายตาหยามเหยียด
เจิ้งกงไม่กล้าสบตาเย่เย่ และทำทีเป็นมองไปบริเวณรอบๆ แต่กระนั้นเขาก็ตอบกลับเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ที่ท่านพูดมาก็ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่กรณีของท่านมันกรณีพิเศษ ท่านช่วยเหลือเจิ้งซูในการชนะการประลอง และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลในฐานะคนนอก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป นี่เป็นเรื่องภายในตระกูล ผู้คนในตระกูลเจิ้งจะเป็นผู้ตัดสิน คนนอกห้ามยุ่ง!”
เจิ้งเฉิงเห็นด้วยกับคำพูดของเจิ้งกง และพยายามกีดกันไม่ให้เย่เย่มาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในตระกูลนี้ได้อีก
“ท่านคงคิดว่าข้าจะถือวิสาสะเป็นตัวแทนเจิ้งซูในการประลองกับท่านสินะ? อืมๆ แน่นอนว่าเรื่องภายในก็ต้องให้คนในจัดการล่ะนะ จริงๆแล้วที่ข้ามาก็แค่มาเพื่อมอบของให้เจิ้งซูเท่านั้นเอง”
หลังจากที่เย่เย่พูดจบเขาก็หยิบเกราะสีทองอร่าม และดาบสีม่วงออกมาจากกล่องของซูฉีเจี่ย พร้อมทั้งมอบให้เจิ้งซูในทันที
“เจิ้งซู ใส่เกราะทะลวงสวรรค์นี่ซะแล้วพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อกรที่ทัดเทียมกับเจ้าอีกต่อไป จงไปทวงคืนสิ่งที่เป็นของเจ้ากลับมา !”
หลังจากที่เย่เย่กับเจิ้งซูด้วยน้ำเสียงใจเย็น ความสิ้นหวัง และความลังเลภายในดวงตาของเจิ้งซูกลับกลายเป็นความมั่นใจที่ท่วมท้นแทน
“เอาล่ะ!!”
เมื่อเจิ้งซูได้ใส่เกราะทะลวงสวรรค์ และถือดาบสีม่วงอยู่ในมือ เขามองไปที่ผู้เฒ่าเจิ้งเฉิงด้วยสายตาท้าทาย โดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ
“โฮ่~ ท่านเจิ้งซู ท่านคงไม่คิดว่าท่านจะเอาชนะข้าได้เพียงแค่ใส่เกราะสะท้อนแสงให้ข้าตาบอด แล้วเอามะเขือยาวสีม่วงในมือนั่นมาตีข้าจนตายหรอกนะ? ในฐานะคนแก่ประจำตระกูลข้าขอชี้แนะว่าให้ท่านกลับไปคิดให้ดีก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเสียล่ะ!”
เจิ้งเฉิงมองไปที่เจิ้งซูก็พบว่านัยน์ตาของเขาพร้อมที่จะปะทะได้ทุกเมื่อ เขากู่ร้องเสียงดังอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้อาวุโสท่านอื่นๆต่างพากันส่ายหัวกับการกระทำอันน่าผิดหวังของเจิ้งซู พวกเขาคิดว่าเจิ้งซูนั้นถูกเย่เย่สะกดอย่างสมบูรณ์ไปเสียแล้ว…