บทที่ 135
แรงกดดัน
การพูดถึงวิญญาณกลับชาติมาเกิดเป็นหัวข้อที่ห้ามพูดในที่สาธารณะไม่ว่าที่ใดก็ตาม ดังนั้นทันทีที่กงเจิ้นเปิดประเด็นกล่าวหาเย่เย่ ทุกสายตาในโถงงานเลี้ยงก็จับจ้องมาที่เย่เย่ด้วยความตึงเครียด พวกเขากลืนน้ำลายลงไปเอื้อกใหญ่ และเฝ้ารอคำตอบของประธานหอการค้าหยูเย่อย่างใจจดใจจ่อ
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนทั้งโลก วิญญาณกลับชาติมาเกิดน้อยคนนักที่จะเล็ดลอดจากการไล่ล่าของพวกเขาไปได้ นอกจากนั้นแม้ว่าผู้เข้าร่วมพิธีวิวาห์จะไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับเย่เย่ แต่พวกเขาก็ตกเป็นเป้าหมายในการกวาดล้างเช่นเดียวกับในกรณีของเจียงหวูจิ้น ดังนั้นแขกทั้งหลายจึงได้แต่ภาวนาขอให้เย่เย่ไม่ใช่วิญญาณตนนั้น
ในบรรดาผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด มีเพียงหลินซิวเหยียนเท่านั้นที่อยากให้เย่เย่ยอมรับสารภาพเพื่อที่จะได้กำจัดศัตรูที่บังอาจท้าทายอำนาจของเขาให้พ้นทาง
บรรยากาศภายในโถงกลางจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดราวกับว่าหากเกิดประกายไฟเพียงเล็กน้อยมวลอากาศก็จะระเบิดออกในทันที เมื่อเย่เย่ได้ยินคำถามของกงเจิ้น หัวใจของเขาก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ขาทั้งสองของเขาด้านชา ปลายนิ้วก็ไร้ความรู้สึก สีหน้าก็ซีดเซียวราวกับซากศพ
เสี่ยวหยูที่ยืนข้างกายของชายผู้เป็นที่รัก เมื่อนางเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดี นางที่ถูกพลังของกงเจิ้นสะกดเอาไว้อย่างสมบูรณ์จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งสายตาให้กำลังใจเขาอยู่เงียบๆ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและความกลัว
“ข้าไม่ทราบว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ทันทีที่รวบรวมสติสัมปชัญญะกลับมาได้ เพื่อความอยู่รอดเขาจึงทำเป็นไขสือ และตอบกลับชายในชุดคลุมสีขาวกลับไปอย่างใจเย็น น้ำเสียงของเขายังคงไม่มีพิรุธเช่นเคย
“จริงอยู่ที่ข้าเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิด แต่มันก็เป็นแค่ข้อกล่าวหาลมๆแล้งๆ หากท่านจะใช้ข่าวลือนั้นในการฆ่าผู้บริสุทธิ์แล้วละก็ข้าคงห้ามอะไรท่านไม่ได้ แต่ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของทัณฑ์สวรรค์จะต้องถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน” เย่เย่ไม่เพียงปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่เขายังตั้งคำถามกับการปฏิบัติหน้าที่ของกงเจิ้นด้วยเช่นกัน
หลังจากได้ยินคำตอบของเย่เย่ แขกที่ลุ้นตัวโก่งก็พากันเหงื่อตกกันเป็นแถบๆ ต่อให้เย่เย่ไม่ใช่วิญญาณกลับมาเกิดแต่หากเขาทำให้ทัณฑ์สวรรค์โกรธชะตากรรมก็คงไม่ได้ต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตามคำตอบของเย่เย่ก็ช่วยยืดเวลาชีวิตของพวกเขาได้อยู่
“เย่เย่ ระวังคำพูดของเจ้าด้วย! ที่ท่านกงเจิ้นกล่าวหาเจ้านั่นเป็นเพราะเขามีหลักฐานเพียงพอ แล้วต่างหาก มันไม่แปลกบ้างหรือที่เจ้าจะสามารถก้าวข้ามสู่ขั้นเทพอสูรในเวลาไม่ถึงปี นี่มันบ้าบอสิ้นดี!? ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก!” หลินซิวเหยียนสบโอกาส เขาโค้งคำนับแก่กงเจิ้น อย่างนอบน้อม ก่อนจะพูดสนับสนุนข้อกล่าวหาของเขา ในใจเขาไม่สนว่ากงเจิ้นจะเป็นใคร เขาเพียงต้องการยืมมือทัณฑ์สวรรค์ในการกำจัดศัตรูของเขาให้สิ้นซาก
ศิษย์แห่งตำหนักประกายแสงต่างพยักหน้าแสดงความเห็นด้วยกับข้อสังเกตของท่านประมุข กลับกันเหล่าบรรดาลูกจ้างหอการค้าหยูเย่ต่างมองพวกเขาด้วยสายตาเคียดแค้น หากไม่มีกงเจิ้นเป็นตัวกลางทั้งสองฝ่ายคงได้เข้าปะทะกันไปแล้ว
เย่เย่แสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีที่รีบร้อนของยักษาตนแรกราวกับว่าการกระทำทุกอย่างของเขาเย่เย่ได้คาดการณ์เอาไว้หมดแล้ว
กงเจิ้นที่เห็นมือที่สามเข้ามาขัดจังหวะ เขาก็กวาดตามองหลินซิวเหยียนด้วยท่าทีหยามเหยียด ทันทีที่หลินซิวเหยียนเห็นดังนั้นเขาก็เสียวสันหลังวาบ ก่อนที่จะรีบพูดชี้แจงขึ้นอย่างร้อนรนในทันที
“ท่านกง ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะยืมมือท่านนะขอรับ ข้าเพียงแต่ต้องการตั้งข้อสังเกตสนับสนุนท่านเท่านั้นขอรับ”
กงเจิ้นมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะเมินราวกับยักษาผู้ถือครองอำนาจมากที่สุดในภูมิภาคเป็นอากาศธาตุ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็ถามเย่เย่และเสี่ยวหยูขึ้นอีกครั้ง เขาผ่อนแรงกดดันของเขาเพื่อให้เสี่ยวหยูพูดออกเสียงได้ตามปกติ “หากเจ้าไม่ใช่วิญญาณกลับชาติมาเกิด ดังนั้นเจ้าต้องมีความทรงจำในอดีตหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นข้าขอถามพวกเจ้าทั้งสองเจอกันครั้งแรกที่ไหน?”
“มันเริ่มตั้งแต่ที่ข้าฟื้นขึ้นมา หลังจากนั้นเสี่ยวหยูก็เป็นคอยดูแลข้ามาโดยตลอด จากความสัมพันธ์แบบเจ้านายและสาวใช้ก็ได้พัฒนามาเป็นอย่างที่เจ้าเห็นเนี่ยแหละ” เย่เย่ตอบคำถามของกงเจิ้นในทันที น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและไม่แสดงความน่าสงสัยออกมา
“เดิมทีข้าไม่ใช่สาวใช้ประจำตัวของนายน้อย แต่ทว่าตั้งแต่นายน้อยถูกทำร้ายข้าก็เป็นคนคอยดูแลเขามาโดยตลอด” เสี่ยวหยูเสริมขึ้น แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากคำตอบของเย่เย่ทำให้นางรู้ว่าเขาไม่หลงเหลือความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับนางเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าภายนอกของเย่เย่จะดูสุขุม แต่ในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยเขาจึงต้องพูดความจริงเท่าที่เขารู้ และภาวนาให้แม่นางเสี่ยวหยูเล่นบทตามน้ำไปด้วยเท่านั้น และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งสองเข้าขากันราวกับจบเอกการแสดง
กงเจิ้นที่ยิงคำถามราวกับปืนกล ก็ไม่พบข้อผิดสังเกตแต่อย่างใด แต่หลินซิวเหยียนดูเหมือนว่าจะไม่ยอมลดราวาศอกลงง่ายๆ เขาเดินตรงมาหากงเจิ้น และพูดขึ้นด้วยวาจาฉะฉาน
“ท่านกง พวกเขาทั้งสองคบหาดูใจกันมานาน ย่อมปกป้องซึ่งกันและกัน เย่เย่ที่เปลี่ยนอุปนิสัยไปราวกับเป็นคนละคนและพัฒนาวรยุทธ์ของเขาได้อย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้นคือข้อเท็จจริงที่ท่านไม่ควรมองข้าม ได้โปรดพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนด้วย”
“หุบปาก! ข้าไม่ต้องการความเห็นจากเจ้า!” กงเจิ้นผายมือขึ้นปล่อยคลื่นอัดอากาศใส่หลินซิว
เหยียนอย่างรุนแรง
อั่กกก
ร่างของยักษาตนแรกถูกซัดกระเด็นออกไป เขากระอักเลือดกลางอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะตกลงกระแทกกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกใจกลัว แม้ว่าในใจของเขาจะเปี่ยมไปด้วยความคับข้องใจ แต่เขาก็ไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นครั้งที่สอง
เหล่าศิษยานุศิษย์ที่เห็นประมุขของพวกเขาเสียท่า พวกเขาจึงรีบเข้ามาพยุงตัวผู้นำขึ้นในทันที ในใจของพวกเขาต่างตระหนักถึงความแข็งแกร่งของทัณฑ์สวรรค์ และไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากงเจิ้นอีก
หลังจากชายในชุดคลุมสีขาวสั่งสอนบทเรียนให้กับ หลินซิวเหยียนแล้ว เขาก็หยิบเข็มทิศสีขาวทองออกมาจากแขนเสื้อและแสดงให้เย่เย่เห็น
“เข็มทิศนี้เรียกว่า ‘เข็มทิศแห่งการเกิดใหม่’ ทันทีที่มันเริ่มทำงานเข็มของมันจะชี้แสดงตนของวิญญาณกลับชาติมาเกิด แม้ว่ามันจะต้องใช้พลังปราณจำนวนหนึ่งในการขับเคลื่อน แต่นี่คงเป็นวิธีสุดท้ายที่จะพิสูจน์ตัวตนของเจ้า”
กงเจิ้นมั่นใจมากว่าเมื่อเขาอธิบายวิธีการใช้งานของเข็มทิศ เย่เย่ต้องแสดงข้อพิรุธออกมาทางสีหน้าอย่างแน่นอน แต่ทว่าเขาต้องผิดหวังเมื่อเย่เย่ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับท้าให้เขารีบใช้งานมัน ปฏิกิริยาของเย่เย่ทำให้กงเจิ้นเริ่มแสดงความไม่มั่นใจออกมา
แต่ในเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร กงเจิ้นยังคงตัดสินใจใช้เข็มทิศเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของเขา แม้ว่าจะทำให้เขาสูญเสียพลังปราณส่วนหนึ่งไปก็ตาม…