บทที่ 143
เฉินเซียน
“เจ้าสองคนกำลังเดินทางไปหลิงเฉิงงั้นรึ? ข้าชื่อ ‘เฉินเซียน’ ถ้าไม่รังเกียจละก็ไปพร้อมกันกับข้าไหมล่ะ?”
ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังทะเลาะกัน ชายหนุ่มหน้าหยกที่ดูอ่อนวัยกว่าทั้งสองก็ได้ปรากฏตัวและพูดกับพวกเขาขึ้น
“ดีเลย ข้าเบื่อพี่ข้าเต็มทนแล้ว”
ทันทีที่ลี่อิงได้ยินข้อเสนอของชายหนุ่มแปลกหน้า นางก็ได้ตอบตกลงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย แต่ทว่าลี่เฉียนเฟิงที่หวงน้องสาวยิ่งกว่าใครก็ได้ซักไซ้ชายแปลกหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ
“เจ้าเป็นคนท้องถิ่นที่นี่นิ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ไปกับเพื่อนๆของเจ้ากันล่ะ?”
เฉินเซียนได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับคำถามของลี่เฉียนเฟิงนั้นจี้ใจดำเขาอย่างจัง หนุ่มหน้ามนไม่ได้ตอบคำถามของชายผู้พี่แต่อย่างใด ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะจากเหล่า
ชายฉกรรจ์โต๊ะข้างๆก็ดังขึ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าจะบอกให้เอาไหมล่ะว่าทำไมไอ้สวะนี่มันถึงไม่มีใครต้องการ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“หวางชวน นี่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นบ้าใบ้หรอกนะ”
เฉินเซียนตอบชายวัยกลางคนอย่างไร้เยื่อใย
“หาา!? นี่เจ้าอยากตายรึไง?” หวางชวนและพรรคพวกลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินเข้าหาเรื่องชายหนุ่มวัยละอ่อน
กลุ่มชายฉกรรจ์นี้มีหวางชวนเป็นหัวโจก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอันธพาล แต่ก็มีวรยุทธ์ในระดับจ้าววรยุทธ์ทำให้พวกเขามักหาเรื่องคนนู้นคนนี้และสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ลี่เฉียนเฟิงจึงพยายามจูงมือน้องสาวออกไป เย่เย่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาก็รอดูว่าเฉินเซียนจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป
หนุ่มหน้าหยกแม้จะเกลียดหวางชวนเข้าไส้ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะต่อสู้กับชายร่างกำยำ เขาเอาแต่ก้มหน้าพลางคิดในใจ หากเขาไม่ได้ปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ละก็ เขาคงใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาและสืบทอดกิจการโรงเตี๊ยมของครอบครัว แต่ทว่า เฉินเซียนนั้นมีพรสวรรค์ที่สูงส่ง เขาบังเอิญปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวเมืองต่างยกย่องเขาในฐานะอัจฉริยะ
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักไม่จีรังยั่งยืน เฉินเฟิงในวัย 14 ก็ค้นพบว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตนนั้นหาได้ยากยิ่ง ว่ากันว่าในโลกนี้มีเพียงไม่ถึงสิบคนที่ครอบครองพลังแบบเดียวกับเขา ทำให้เขาไม่สามารถหากระบวนท่าหรือวิชายุทธ์ที่เหมาะสมกับเขาได้ ซึ่งทำให้พลังปราณของเขาหยุดพัฒนามานานหลายปี
เฉินเซียนนั้นไม่ต่างอะไรกับเทวดาตกสวรรค์ จากอัจฉริยะได้กลายเป็นตัวตลกที่ชาวเมืองต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ย หวางชวนที่เคยอิจฉาในพรสวรรค์ของเขาก็มักแวะมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยๆเพื่อกลั่นแกล้งเขาด้วยความหมั่นไส้
ในซูเจิ้งนี้ เขาถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสาม ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ที่ หลิงเฉิงเพื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของเมืองสารขัณฑ์นี้ และควานหา
โอกาสใหม่ๆให้กับตน
ขณะที่บรรยากาศในโถงรับรองของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความอึดอัด เสียงเจี๊ยวจ๊าวของหญิงสาววัยรุ่นก็ได้ดังแทรกขึ้นมา
“ไร้มารยาทสิ้นดี! ที่บ้านไม่สั่งสอนบ้างหรือไงว่าไม่ให้พูดแทรกระหว่างที่คนอื่นสนทนากันน่ะ? นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วพวกเจ้ายังจะมาพูดจาดูถูกวรยุทธ์ของคนอื่นกันอีก? ดูถูกวรยุทธ์รึไง? พวกเจ้านี่มัน…อื้อ อื้อ อื้อ”
ลี่อิงยั๊วะจัดเมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาสุนัขไม่รับประทาน เข้ามาขัดจังหวะระหว่างที่นางกับพี่ชายกำลังพูดคุยทำข้อตกลงกับเฉินเซียน นางจึงจัดร่ายยาวสุภาษิตใส่พวกเขาไปหนึ่งกระบวนท่า
ลี่เฉียนเฟิงเห็นดังนั้นก็รีบเอามืออุดปากนางเอาไว้ “ชู่วว เจ้านี่หาเรื่องให้ข้าไม่พักเลยนะ อยู่เงียบๆไม่เป็นรึไง!?”
“เฮ้ยๆๆๆๆ แม่สาวน้อย เจ้าออกมาหาประสบการณ์นี่นะ!? ให้ป๊ะป๊าสั่งสอนประสบการณ์ให้เจ้าสักหน่อยเอาไหมล่ะ หือ?” เมื่อหวางชวนเห็นทั้งสองยังเด็กอยู่มาก เขาก็อดพูดจาดูถูกไม่ได้
“ต้องขออภัยแทนน้องสาวข้าด้วยจริงๆ ข้าจะอบรมนางให้ดีกว่านี้” ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ลุกขึ้น ก่อนประสานมือทำความเคารพและกล่าวขอโทษต่อกลุ่มอันธพาลด้วยความนอบน้อม
“ท่านพี่ จะไปขอโทษพวกมันทำไม!? แง่มม” เมื่อเห็นท่าทีที่น่าหมั่นไส้ของพี่ชาย นางจึงอดใจไม่ไหวที่จะแทรกขึ้นและกัดเข้าที่ขาของลี่เฉียนเฟิง
“โอ๊ย ข้าเจ็บนะเฟ้ย เจ้าเด็กไม่รู้จักโตนี่!?” ชายหนุ่มสลัดขาของเขาออก บนขาของเขาก็ทิ้งร่องรอยฟันเขี้ยวของหญิงผู้เป็นน้องสาว
เฉินเซียนที่นิ่งเงียบอยู่นาน เขาก็ยื่นข้อเสนอให้กับหวางชวนและพรรคพวก เพื่อไกล่เกลี่ยและสะสางปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“เอาอย่างนี้ หวางชวนวันนี้ข้าจะไม่เก็บค่าอาหารและเหล้าหมักของเจ้าแลกกับการที่เจ้ายอม กลับไปแต่โดยดี ว่าไง?”
เพี๊ยะ!
หวางชวนตบหน้าเฉินเฟิงอย่างรุนแรงจนร่างของชายหนุ่มล้มลงอย่างไม่เป็นท่า ชายฉกรรจ์ได้กวาดสายตาไปรอบๆ และเริ่มข่มขู่ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
“พวกเจ้าออกไปให้หมด อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง!”
แขกทั้งหมดภายในร้านต่างพากันหวาดกลัวและรีบหนีออกไปจนหมด เหลือเพียงเย่เย่ที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
“เฮ้ย แกน่ะไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง? นี่แกกำลังดูหมิ่นข้างั้นรึ!?”
ชายร่างใหญ่เดินไปหาเย่เย่ พร้อมกับกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะลงกับพื้น และจ้องเย่เย่ตาเขม็ง
“ท่านลูกค้า เพื่อความปลอดภัยเชิญออกไปก่อนเถอะขอรับ สำหรับอาหารมื้อนี้ท่านไม่ต้องจ่าย ถือว่าชดใช้แทนคำขอโทษของพวกเราแล้วกันขอรับ” เฉินเซียนพยายามโน้มน้าวให้ เย่เย่ออกจากโรงเตี๊ยมของเขาไป
“ เวลาคับขันเช่นนี้ เจ้ายังคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญ ช่างน่าประทับใจจริงๆ”
เย่เย่รู้สึกชื่นชมเฉินเซียนจากใจจริง เขาควักตั๋วทองออกจากแขนเสื้อและวางลงบนโต๊ะอาหาร
“ตั๋วทองนี้แทนค่าอาหารและน้ำใจของเจ้า รับเอาไว้เถอะ!” เย่เย่รินเหล้าลงจอกและนั่งดื่มต่ออย่างสบายใจ
“แปลกคนเสียจริง” สาวน้อยปากจัดจ้องมองเย่เย่ด้วยความงุนงง แต่นางก็รู้สึกชอบใจกับความใจเด็ดของเขา ตรงกันข้ามกับพี่ชายของนางที่รู้สึกว่าเย่เย่นั้นโง่เขลา
เมื่อเย่เย่ปฏิเสธที่ออกจากโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าหยกก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา หวางชวนที่ไม่พอใจในท่าทีของเย่เย่ก็ผลักเฉินเซียนออกไป และพูดกับเย่เย่ขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้ยน้องชาย เอ็งจะขี้เก๊กไปถึงไหนกันวะ? บ้านเอ็งขายน้ำเก๊กฮวยผสมหล่อฮังก๊วยหรือไง! ข้าอยากจะรู้นักว่าเอ็งจะทนมือทนเท้าข้าได้สักกี่น้ำ”
เดิมทีหวางชวนก็หงุดหงิดจากการโดนแม่หญิงต่างเมืองด่าทอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องฉุนเฉียวยิ่งขึ้นเมื่อเห็นท่าทีไม่ประสีประสาของเย่เย่ หากเขาไม่ได้สั่งสอนบทเรียนให้กับทั้งสองแล้วละก็เขาคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่…