บทที่ 141
บ้านเกิด
“เจ้าว่าไงนะ!?”
หลังจากที่กลุ่มคนและลั่วเฟิงเฉิงพูดคุยกันอยู่นาน สีหน้าของชายชราก็ตึงเครียดขึ้น
“ท่านลุงลั่ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักเลยเจ้าค่ะ ตราบใดที่พวกเรายังไม่ละทิ้งภารกิจนิกายของพวกเราก็ยังพอมีหวัง!” แม่นางมู่หลูกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง ดูเหมือนว่านางจะไม่อยากยอมแพ้ต่อโชคชะตาฟ้าลิขิต
นิกายที่ทั้งสองพูดถึงคือ ‘นิกายลำนำแห่งขุนเขา’ ซึ่งเป็นนิกายของพวกเขาโดยมีชายชื่อ ‘เม่งเทียนฉือ’เป็นประมุข
ตั้งแต่ก่อตั้งนิกาย พวกเขามีหน้าที่ดูแลความสงบสุขและคงไว้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เมื่อพรสวรรค์ด้านค่ายกลของแม่นางมู่หลูปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด เม่งเทียนฉือจึงส่งนางไปยังเมืองหวางตู้เพื่อคานอำนาจกับเหล่าขั้วอำนาจต่างๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันไฟสงครามได้ลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทำให้แม่นางและลั่วเฟิงเฉิงติดร่างแหไปด้วย ทั้งสองจึงตัดสินใจลี้ภัยขึ้นไปอาศัยอยู่บนหุบเขาแห่งต้นกำเนิดเป็นการชั่วคราว
แม้ว่านิกายของพวกเขาจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ฉางหลางหนุนหลังอยู่อย่างลับๆ แต่ทว่าสมบัติของนิกายลำนำแห่งขุนเขา ‘บ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่’ เป็นที่หมายตาจากขั้วอำนาจจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้เชื้อพระวงศ์ตัดช่องน้อยแต่พอตัวและยุติให้การสนับสนุนแก่พวกเขา ทำให้นิกายของทั้งสองตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เม่งเทียนฉือนั้นมีนิสัยดื้อรั้นไม่ต่างจากแม่นางมู่หลู เขาตัดสินใจเดิมพันอนาคตของนิกายไว้กับ
‘เมล็ดพันธุ์ของบัวหิมะที่ลุกไหม้’ ที่จะช่วยให้วรยุทธ์ของเขานั้นไร้เทียมทาน เขาจึงส่งคนจำนวนมากออกตามหามัน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นคือกลุ่มของชายหนุ่มหญิงสาวที่มายังยอดเขาแห่งต้นกำเนิดเพื่อขอความช่วยเหลือจากมู่หลูผู้ใช้ค่ายกลนั่นเอง
“พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ลั่วเฟิงเฉิงเมื่อเห็นแม่นางมู่หลูตอบกลับโดยไม่คิดแล้ว เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้
ในฐานะสหายเก่า เขานั้นรู้จักวรยุทธ์ของเม่งเทียนฉือดีกว่าใคร ตราบใดที่ประมุขของนิกายได้ครอบครองพลังของดอกบัวนั้น เขาจะมีชัยเหนือศัตรูได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าบัวเหมันต์ที่ลุกไหม้ไม่ได้ติดอันดับสมบัติหายาก นอกจากจะหาแหล่งต้นกำเนิดของมันได้ยากแล้ว การจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเก็บมันนั้นยากยิ่งกว่า
“เอาน่าท่านลุง อย่าได้กังวลนักเลย อีกอย่างข้าได้ค้นพบดอกบัวที่ว่าแล้ว! แต่การที่จะเข้าไปเก็บมันนั้นต้องใช้วิชาค่ายกลที่แข็งแกร่งของศิษย์พี่หญิงหลอกล่อเหล่าอสุรกายที่เฝ้ามันออกมาเสียก่อน”
ชายรูปร่างสูงโปร่ง นาม ‘หม่าเจียนเยว่’ พูดขึ้นทันทีที่เขาสังเกตเห็นสีหน้าเป็นกังวลของชายแก่
แม่งนางมู่หลูเมื่อได้ยินคำยกยอปอปั้นของศิษย์น้อง นางอดที่จะเปรียบเทียบวิชาค่ายกลของ
นางกับเย่เย่ในใจเสียไม่ได้
หลังจากที่เห็นศักยภาพของเย่เย่ นางก็อยากจะชักชวนเขามาเป็นส่วนหนึ่งของนิกาย แต่ทว่าในครั้งนั้นนางไม่ได้เอ่ยออกไปเพียงเพราะไม่ต้องการลากเย่เย่เข้ามาพัวพันกับภยันตรายที่นางต้องเผชิญ
“ท่านลุง พวกเราไม่มีทางเลือก ถึงแม้มันจะเสี่ยงเพียงใด พวกเราก็ต้องลองดูสักตั้ง” นางยืนยันความประสงค์ของตนกับ
ลั่วเฟิงเฉิงด้วยความหนักแน่น
แม้ว่าชายแก่จะเป็นห่วงหญิงสาวรุ่นราวคราวหลาน แต่ในใจลึกๆแล้วเขาก็รู้ดีว่าเพื่อความอยู่รอดแล้ว พวกเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หลังจากที่เห็นการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเหล่าคนหนุ่มสาว เขาก็พูดขึ้น
“ก็ได้ๆ จะทำอะไรก็ทำมันซะตอนนี้เลย จะได้ไม่เก็บเอาไปนอนฝัน เดี๋ยวฝันร้ายกันพอดี”
แม่นางมู่หลู หม่าเจียนเยว่ และพรรคพวกก็ได้พยักหน้าตอบรับผู้อาวุโสอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาออกเดินทางพร้อมลั่วเฟิงเฉิงและมุ่งหน้าสู่แหล่งกำเนิดของบัวเหมันต์ที่ลุกไหม้
ในขณะเดียวกัน รุ่งเช้าวันถัดมา ณ เมืองหลิงเฉิง เย่เย่ก็ได้ขี่ม้าพาเสี่ยวหยูออกจากประตูเมือง และเดินทางไปยังหุบเขาแสงจันทร์บ้านเกิดของนาง
ระหว่างทางเต็มไปด้วยความอึดอัด ทั้งสองแทบไม่พูดคุย หรือแม้จะหันหน้ามองกันเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อเข้าถึงเขตบ้านเกิดของนาง ในที่สุดเสี่ยวหยูก็ยิ้มกว้างออกมาด้วยความคิดถึง
“นี่คือหุบเขาแสงจันทร์งั้นรึ!? ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะสวยขนาดนี้มาก่อนเลย” หลังจากที่เย่เย่เห็นปฏิกิริยาของเสี่ยวหยู เขาก็มองไปยังทิวทัศน์รอบๆเพื่อหาเรื่องคุย
“โน่นคือบ้านเกิดของข้าเอง หมู่บ้านบุปผาสวรรค์” นางชี้ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
หากนางไม่ต้องทำงานรับใช้ตระกูลเย่ละก็ นางคงแต่งงาน สร้างครอบครัวที่อบอุ่น และใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในชนบทแห่งนี้ไปแล้ว
ทันทีที่ทั้งสองควบม้าเข้าไปยังหมู่บ้าน ดูเหมือนว่าจะมีชายคนหนึ่งจำหน้าคร่าตาเสี่ยวหยูได้ เขาเดินปรี่เข้ามาทักทายเสี่ยวหยูอย่างเป็นกันเอง
“เจ้า…[ชื่อจริงเสี่ยวหยู]ไม่ใช่รึไงน่ะ!?” เขามองเสี่ยวหยูตาไม่กะพริบ สีหน้าของเขาตกตะลึงเมื่อเห็นนางเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้
“ใช่แล้วข้าเอง” เสี่ยวหยูยิ้มตอบ นางเองก็จำ ’ซูจุ้น’ น้องชายที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของลุงผู้มีพระคุณได้เช่นกัน นางลงจากหลังม้า โผกอดน้องชายด้วยความคิดถึง และพูดคุยตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“พี่ชาย ขอบคุณนะที่พาพี่สาวของข้ามาส่งถึงที่ เชิญเข้ามาในบ้านก่อน ข้าจะต้อนรับท่านอย่างดีเอง!” หลังจากที่เสี่ยวหยูแนะนำให้เขารู้จักกับเย่เย่ เขาก็รีบเชิญแขกเข้าบ้านอย่างไม่รีรอ และวางแผนให้เสี่ยวหยูทำกับข้าวพื้นเมืองให้เย่เย่กิน แต่ทว่าทันใดนั้นเองเสียงเจ้าเล่ห์ก็ดังขึ้นข้างหลังพวกเขาทั้งสาม
“โอ๊ะโอ๋ ซูจุ้น เจ้ามีแขกหรือนี่? โอ้ แม่หนูนี่น่าหม่ำ” ชายวัยกลางคนใบหน้าเรียวเล็กราวกับอสรพิษปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของซูจุ้น เขาเดินเข้ามาเอามือเย็นเฉียบเชยคางแม่นางเสี่ยวหยูและจ้องนางตาไม่กะพริบราวกับอยากจะกินกลืนนางทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น
เย่เย่เห็นดังนั้นก็โกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ทว่าก่อนที่เขาจะลงมือเสี่ยวหยูก็เบือนหน้าหนีและปัดมือของชายเจ้าเล่ห์ออกในทันที
ชายเจ้าของเสียงเจ้าเล่ห์นี้ มีนามว่า ‘ลิ่วฉาน’ เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำสนิท ดูแล้วคล้ายคลึงกับศิษย์แห่งสำนักใดสำนักหนึ่งแต่นั่นก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขานั้นเป็นหัวโจกที่คุมหมู่บ้านบุปผาสวรรค์แห่งนี้อยู่
“ท่านลิ่ว อย่างที่ท่านเห็นวันนี้ข้ามีแขกได้โปรดกลับมาหาข้าวันหลังเถอะ” ซูจุ้นเดินเอาตัวเข้ามาขวางระหว่างลิ่วฉานและเสี่ยวหยูเอาไว้ ก่อนที่จะนำทางพาเสี่ยวหยูและเย่เย่ไปยังบ้านของตน
เมื่อปีกลายมีคนในหมู่บ้านค้นพบเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่หุบเขาแสงจันทร์ เมื่อข่าวถึงหูของลิ่วฉานเขาก็เดินทางมายังหมู่บ้านบุปผาสวรรค์และเกณฑ์กำลังชาวบ้านเข้าขุดเหมืองนั้นด้วยอำนาจเงินตรา ไม่นานนักหมู่บ้านบุปผาสวรรค์ก็ตกอยู่ใต้อาณัติของเขาไปโดยปริยาย
ลิ่วฉานนั้นเป็นศิษย์แห่งสำนักกระบี่ประหารเทพ เขามีนิสัยใจคอที่โหดเหี้ยมอำมหิต เขามักข่มเหงรังแกชาวบ้านอยู่เป็นเนืองนิจ ด้วยเส้นสายกับสำนักดาบอันเลื่องชื่อและความแข็งแกร่งระดับเทพยุทธ์ส่งผลให้ไม่ผู้ใดกล้าหืออือกับเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อซูจุ้นเห็นลิ่วฉานพิศวาสในตัวเสี่ยวหยู เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเข้าใกล้พี่สาวในทุกกรณี ในวันนั้นเสี่ยวหยูได้เสียสละครั้งใหญ่ ในวันนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะปกป้องนางบ้าง
เย่เย่จ้องมองชายเจ้าเล่ห์ด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขาไม่สนว่าลิ่วฉานเป็นใครหรือใหญ่มาจากไหน ในเมื่อแตะต้องผู้หญิงของเขาแล้ว ต่อให้เป็นถึงทัณฑ์สวรรค์เขาก็จะไม่ปรานี
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่าทีของเจ้าคืออะไรน่ะ ข้าเพียงต้องการพูดคุยทำความรู้จักกับแม่นางเท่านั้น อย่าลืมสิ ข้าหาคนมาทำงานแทนเจ้าได้เสมอนั่นแหละ” ลิ่วฉานกระซิบข้างหูซูจุ้นด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย และพยายามข่มขู่ให้เขายอมจำนน
แม้ว่าซูจุ้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เขาเดินหันหลังและนำทางแขกทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน…