สีหน้าของเฉิงฉือและฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงเป็นปกติ มีเพียงโจวเสาจิ่นที่แอบทอดถอนใจพลางกล่าวกับชุนหว่านเป็นการส่วนตัวว่า “สาขาหังโจวคงจะได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวชื่นชมต้นกุ้ยฮวาสองต้นนั้นของสาขาหนิงโปกระมัง ก็เลยตั้งใจนำมาปลูกให้เป็นการเฉพาะ ในฤดูกาลนี้ ไม่รู้ว่าต้นกุ้ยฮวาสองต้นนี้จะมีชีวิตรอดได้หรือไม่
ชุนหว่านเบิกดวงตาโพลง พลางกล่าว “หากไม่รอดจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อาจจะนำต้นที่คล้ายๆ กันเข้ามาปลูกใหม่อีกสองต้นแทนกระมัง อย่างไรเสียก็พวกเราก็ไม่รู้อยู่แล้ว”
ชุนหว่านไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
มีสาวใช้มาเชิญโจวเสาจิ่นไปรับมื้อเย็นที่ห้องโถงหลัก
โจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปสวมชุดเพ่ยจื่อสีชมพูไร้ลวดลายขอบสีเขียว รวบผมขึ้นเป็นมวยคู่หนึ่ง คาดที่คาดผมไข่มุกจากทางใต้ แล้วเดินไปที่ห้องโถงหลัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เส้นผมสีดอกเลาถูกรวบเป็นมวยหนึ่งอย่างเรียบร้อย ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมทองจี้หยกมันแพะผลท้อคู่หนึ่ง สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีเหลืองแก่ลายนกกระเรียนสีแดงคาบเห็ดหลิงจือ สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก กำลังสนทนาอยู่กับสตรีสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมสีเขียวนกแก้วอายุราวๆ สี่สิบปีผู้หนึ่งอยู่
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยิ้มร่าหันมากวักมือเรียกนาง ชี้ไปที่สตรีผู้นั้นแล้วกล่าวกับนางว่า “ผู้นี้คือฮูหยินหวัง เป็นฮูหยินของหลงจู๊รองของสาขาหังโจว เกรงว่าความเป็นอยู่ของพวกเราในช่วงหลายวันนี้คงต้องรบกวนฮูหยินหวังเสียแล้ว”
พวกนางพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ สาขาหังโจวก็เหมือนกับสาขาหนิงโป ส่งคนที่คุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ โดยรอบมาให้การรับรองพวกนาง แต่โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าสาขาหังโจวจะถึงกับส่งฮูหยินของหลงจู๊รองมาให้การรับรองพวกนาง
นางยิ้มพลางยอบกายทำความเคารพฮูหยินหวังผู้นั้น กล่าวเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินหวัง”
ฮูหยินหวังรีบเบี่ยงตัวหลบ กล่าวซ้ำๆ ว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” สายตาที่มองโจวเสาจิ่นนั้นมีความประหลาดใจและสงสัยสายหนึ่งวาบผ่าน
โจวเสาจิ่นเพียงทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ก็ยืนอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อาหารเย็นเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านเห็นว่าให้นำมาขึ้นโต๊ะตอนนี้เลยหรือว่าจะรอนายท่านสี่กลับมาแล้วค่อยตั้งโต๊ะดีเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าหิวหรือยัง”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “ช่วงบ่ายรับประทานของทานเล่นไปมาก ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเรารอชายสี่กลับมาก่อนแล้วค่อยตั้งโต๊ะ พอมาถึงเขาก็ถูกบรรดาหลงจู๊ที่ได้ยินข่าวเร่งรีบมาห้อมล้อมเอาไว้หมด ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อใดถึงจะคุยกันเสร็จ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ธุระย่อมสำคัญกว่า! หรือไม่ข้าไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนที่ข้าเดินเข้ามานั้นเห็นด้านหลังบ้านเหมือนจะมีสระน้ำและภูเขาจำลองอยู่ด้วย พวกเราลองไปเดินเล่นที่นั่นดูเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลับอยู่บนเรือมาทั้งบ่าย ตอนนี้จึงอารมณ์ดียิ่ง ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินหวังว่า “ฮูหยินหวัง ไปเดินเล่นกับพวกข้าด้วยดีหรือไม่”
ฮูหยินหวังยินดีไปเป็นเพื่อนด้วยเป็นอย่างยิ่ง
คนทั้งกลุ่มเดินไปยังด้านหลังบ้าน
หินจากทะเลสาบไท่หูวางกองเป็นผู้เขาจำลอง ยอดเขามีศาลาหกแฉกสีแดงอยู่หลังหนึ่ง ข้างๆ ภูเขาจำลองมีสระน้ำ นอกจากปลูกดอกบัวเอาไว้แล้ว ยังมีนกเป็ดน้ำยวนยางคู่หนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำอีกด้วย
โจวเสาจิ่นจ้องมองนกเป็ดน้ำยวนยางนั้นตาไม่กะพริบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดหัวเราะ พลางกล่าวว่า “ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะประหลาดใจ ที่จวนของพวกเราเลี้ยงนกกระเรียนสีแดงเอาไว้เพียงสองตัว ไม่มีจวนไหนเลี้ยงนกเป็ดน้ำยวนยางเลย คงเป็นครั้งแรกที่เจ้าได้เห็นกระมัง”
ซอยจิ่วหรูเลี้ยงนกกระเรียนสีแดงด้วยอย่างนั้นหรือ
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้ยินเรื่องนี้
นางพยักหน้าอย่างเขินอาย กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่านกเป็ดยวนยางนี้หากตัวหนึ่งตายไป อีกตัวหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“จริงเจ้าค่ะ!” ฮูหยินหวังกล่าวยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้สระน้ำนี้เคยเลี้ยงนกเป็ดน้ำยวนยางเอาไว้สองคู่ ต่อมามีตัวหนึ่งตายไป อีกตัวหนึ่งก็ไม่ยอมกินจนตายตามไปด้วย ตอนนี้จึงเหลือนกเป็ดน้ำยวนยางอยู่เพียงหนึ่งคู่เท่านั้น”
ขณะที่พวกนางกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีปลาจิ๋นหลี่แหวกว่ายเข้ามา
ฮูหยินหวังจึงหักกิ่งไม้หนึ่งมาเล่นกับปลาจิ๋นหลี่เหล่านั้น
บางทีอาจเป็นเพราะมีคนมาเล่นกับพวกมันเช่นนี้บ่อยๆ ปลาจิ๋นหลี่พวกนั้นจึงไม่ตื่นกลัว อ้าปากงับกิ่งไม้นั้นเล่น
ฮูหยินหวังบอกให้สาวใช้เด็กหักกิ่งไม้มาให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เด็กๆ กระทำกัน จึงส่งกิ่งไม้นั้นให้ชุนหว่าน
ชุนหว่านกระตือรือร้นยิ่งนัก เล่นกับปลาจิ๋นหลี่พวกนั้นเลียนแบบฮูหยินหวัง
โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงยืนดูอยู่ข้างๆ
เฉิงฉือกลับมาแล้ว
เขากล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “พวกท่านล้อมวงกันทำอะไรอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ ข้าก็ว่าเหตุใดในห้องโถงถึงไม่มีใครสักคน!”
โจวเสาจิ่นก้าวออกไปทำความเคารพเฉิงฉือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้ากำลังรอเจ้ามากินข้าวด้วยอย่างไร!”
เฉิงฉือกล่าว “ทั้งวันข้าไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนยันค่ำ ท่านจะรอข้าเพื่ออันใด กลัวว่าข้าจะปล่อยให้ท้องหิวอย่างนั้นหรือ!” กล่าวจบ หันไปพยักหน้าให้ฮูหยินหวัง กล่าวอย่างเกรงใจว่า “หลายวันนี้คงต้องลำบากฮูหยินหวังแล้ว”
ฮูหยินหวังคงคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะสุภาพกับนางถึงเพียงนี้ จึงตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ค่อยถูกเล็กน้อย “นายท่านสี่กล่าวเกินไปแล้ว นี่…นี่เป็นเรื่องที่คนเป็นภรรยาสมควรกระทำ มิกล้าถือเป็นเรื่อง ลำบาก อย่างที่นายท่านสี่กล่าวเจ้าค่ะ” นางกล่าว แล้วก็รีบถามขึ้นว่า “ต้องการให้ตั้งโต๊ะเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหลือบมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ตั้งโต๊ะเถิด ตอนอยู่บนเรือเมื่อช่วงบ่ายกินของทานเล่นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ เชิญให้ฮูหยินหวังไปตั้งโต๊ะ
ฮูหยินหวังรีบออกไปจัดการ
รอจนกระทั่งเฉิงฉือและคนอื่นๆ เริ่มรับประทานอาหาร นางจึงไปห้องน้ำชาเพื่อสั่งให้สาวใช้ชงชา เงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดหรูหราทว่าแต่งหน้าแต่งตาเป็นสาวใช้ผู้หนึ่ง ไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก นัยน์ตาทั้งคู่สว่างสุกใส เผยให้เห็นความงามหลายส่วน
ลักษณะเช่นนี้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างแน่นอน
นางรีบก้าวออกไปสอบถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางมีอะไรให้รับใช้หรือ”
“ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” เจินจูกล่าวยิ้มๆ “ช่วงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บนเรือเสียเป็นส่วนใหญ่ คุณหนูรองกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่สบายตัว ช่วงนี้จึงให้ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชาเหล่าจวินเหมย ให้ข้านำใบชามาให้พวกพี่สาวที่ห้องน้ำชาชงให้เป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหวังรีบกล่าว “ท่านวางใจ พวกข้าจำเอาไว้แล้ว”
เจินจูกล่าวขอบคุณยิ้มๆ แล้วกลับห้องโถงหลักไป
เฉิงฉือกำลังคุยเรื่องกำหนดการของสองสามวันนี้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่น “…วันมะรืนเป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์วันที่สิบหน้าเดือนแปด พรุ่งนี้ไปเดินเล่นในเมืองก่อน ตอนกลางวันของวันที่สิบห้าเดือนแปดมีงานวัดที่วัดหลิงอิ่น พวกเราจะไปเดินเล่นที่นั่น ตอนกลางคืนไปทะเลสาบซีหู ข้าให้ฉินจื่อผิงเตรียมเรือสำราญเอาไว้ลำหนึ่ง พวกเราจะได้กินข้าวและชมจันทร์อยู่บนเรือสำราญไปด้วย จากนั้นพวกเราจะไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง แล้วก็ออกเดินทางกลับจินหลิงในวันที่ยี่สิบเดือนแปด”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้ว ในใจพลันรู้สึกอยู่ไม่สุขประหนึ่งกำลังซ่อนลูกกระต่ายน้อยเอาไว้ในเสื้อก็ไม่ปาน
ชมจันทร์อยู่บนเรือสำราญที่ทะเลสาบซีหู…นี่เป็นเรื่องที่นางไม่กล้าแม้แต่จะนึกฝัน
ถ้าหากได้ไปจริงๆ นางรู้สึกว่าการกลับมาชีวิตใหม่ในครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าได้ชมจันทร์ที่ทะเลสาบซีหู ต้องสนุกไม่น้อยเป็นแน่”
เห็นได้ชัดว่า นางพึงพอใจกับกำหนดการนี้
เฉิงฉือเห็นมารดาพึงพอใจ อารมณ์จึงดีตามไปด้วย เมื่อเห็นสาวใช้เด็กยกน้ำชาเข้ามา จึงประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งที่ห้องรับรองที่อยู่ข้างๆ ด้วยตัวเอง
หลังจากดื่มชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงฉือเร่งให้โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปพักผ่อน “พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปเดินเที่ยวกันอีกขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชื่อฟังบุตรชายทุกอย่าง ขานรับยิ้มๆว่า “ได้” แล้วกลับห้องชั้นในไปโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง
โจวเสาจิ่นอยู่ให้การรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้างหน้าล้างตาจนเสร็จ ถึงได้ออกมาจากห้องชั้นใน
สาวใช้และบ่าวชายต่างก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว และยังเร็วไปเล็กน้อยกว่าจะถึงเวรยามของกะดึก ป้าหลายคนจึงรวมตัวกันอยู่ที่ห้องด้านนอกเพื่อรอคำสั่ง
ภายในบ้านจึงเงียบเชียบ
เฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวากลางลานบ้านเพียงลำพัง
โจวเสาจิ่นตกตะลึง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เดินเข้าไปใกล้ เฉิงฉือก็หันหน้ากลับมา
ดวงหน้าของเขาหล่อเหลา สีหน้าเย็นชา ชั่วขณะที่เห็นชัดเจนว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นผู้ใดแล้ว สีหน้าเย็นชานั้นก็ราวกับหิมะที่หลอมละลาย พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นมาในทันที “เจ้าเพิ่งออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าหรือ ฮูหยินผู้เฒ่าหลับแล้วหรือยัง”
โจวเสาจิ่นสงสัยว่าตัวเองอาจจะมองผิดไป
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าน่าจะหลับในอีกไม่ช้านี้แล้วเจ้าค่ะ เหตุใดท่านน้าฉือถึงมายืนอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
“เปล่า” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เพียงเห็นว่าต้นกุ้ยฮวาสองต้นนี้ปลูกได้งามนัก จึงยืนที่นี่ครู่หนึ่งเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก เอียงศีรษะถามเขาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือรู้สึกว่าต้นกุ้ยฮวาสองต้นนี้ปลูกได้งามยิ่งจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ต้นกุ้ยฮวาสองต้นนี้ เป็นของที่ผู้อื่นเอามาประจบประแจงเขา
นางรู้สึกว่าท่านน้าฉือไม่ใช่คนประเภทที่ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้
ท่านน้าฉือต้องกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่เป็นแน่!
เฉิงฉือมองดวงตาสว่างสุกใสระยิบระยับของนาง เสมือนกับดวงดาราที่ส่องสว่างสะท้อนแสงถึงกันและกันบนท้องนภาก็ไม่ปาน จึงหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
มองไม่ออกเลยว่าบางครั้งเด็กผู้นี้ก็เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
เขากล่าว “พรุ่งนี้อยากให้ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าหรือไม่”
จากนั้นก็ซื้อของไม่มีประโยชน์กลับมาอีกหนึ่งกองใหญ่อย่างนั้นหรือ!
โจวเสาจิ่นโบกมือรัว กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือบอกว่ามีธุระมิใช่หรือเจ้าคะ ท่านไปทำธุระของท่านเถิดเจ้าค่ะ มีฮูหยินหวังไปเป็นเพื่อนแล้ว พวกข้าย่อมหาซื้อของที่พึงใจได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือได้ยินแล้วรู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจเล็กน้อย
ทุกครั้งเด็กคนนี้มักจะมีท่าทางประหลาดใจอยู่เสมอ น่าสนุกยิ่งนัก เสียดายที่พรุ่งนี้เขาติดธุระจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงได้แหย่เด็กผู้นี้เล่นจนทำให้ผ่านวันวันหนึ่งไปได้อย่างรวดเร็ว
เขายิ้มพลางกล่าวขอตัวลากับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง วันถัดมาให้คนไปถามจี๋อิ๋งว่าไปเดินเล่นกับพวกนางได้หรือไม่ หากไปไม่ได้ ต้องการให้นำอะไรมาฝากนางหรือไม่
จี๋อิ๋งกล่าวว่านางต้องการนอนหลับพักผ่อน ถ้าหากสะดวก ให้โจวเสาจิ่นนำขนมเปี๊ยะจินหวาของสงจี้กลับมาให้สักเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นแต่งตัวใหม่ แล้วนั่งเกี้ยวไปยังตรอกชิงเหออันเลื่องชื่อของหังโจวพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
พอลงจากเกี้ยว ก็พบคนกลุ่มใหญ่เดินกันขวักไขว่เต็มท้องถนน ร้านรวงกว่าหนึ่งร้อยร้าน บ้างก็ขายผ้าไหม บ้างก็ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป บ้างก็ขายชาดแต่งหน้าต่างๆ…มีขายแม้กระทั่งมวยผมปลอม เป็นอย่างที่เฉิงฉือกล่าวเอาไว้จริงๆ มีเพียงของที่เจ้าคิดไม่ถึงเท่านั้น ไม่มีของที่เจ้าหาซื้อไม่ได้ ไม่ว่าของอะไรก็มีขายทุกอย่าง
ฮูหยินหวังถามขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการซื้ออะไรบ้างเจ้าคะ ข้ามีร้านที่คุ้นเคยอยู่บ้าง พาท่านตรงไปที่ร้านได้เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้าเพียงเดินดูไปเรื่อยๆ หากเจออันที่ถูกใจก็จะซื้อกลับไปด้วยเท่านั้น เจ้าพาพวกข้าไปดูร้านที่เจ้าคุ้นเคยตามที่เจ้าสะดวกได้เลย”
ฮูหยินหวังขานรับแล้วพาพวกนางไปร้านขายผ้าร้านหนึ่ง
การค้าของร้านนั้นดียิ่ง สตรีทั้งที่ยังไม่แต่งงานและแต่งงานแล้วต่างเบียดเสียดกันเลือกผ้าอยู่ภายในร้านขนาดห้าห้องกั้น เสมียนสิบกว่าคนต่างจดกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เมื่อหลงจู๊เห็นฮูหยินหวังก็ทิ้งลูกคิดที่ดีดคำนวณไปได้ครึ่งหนึ่งในมือลงแล้วก้าวออกมาต้อนรับ จากนั้นพาพวกนางเบียดผ่านสตรีกลุ่มนั้นเข้าไปยังลานกลางบ้านด้านหลัง
ภายในลานกลางบ้านปูพื้นด้วยแผ่นหิน ปลูกต้นไผ่สีน้ำตาลด่างเอาไว้ทั้งสี่มุม มีซุ้มองุ่นตั้งอยู่ตรงกลาง ใต้ซุ้มองุ่นวางเอาไว้ด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำกับเก้าอี้มีเท้าแขน ยังไม่ทันที่พวกนางจะได้นั่งลง ก็มีสาวใช้เด็กหน้าตางดงามยกน้ำชาและของทานเล่นเข้ามา
ฮูหยินหวังเข้าประเด็นโดยการบอกวัตถุประสงค์การมาคร่าวๆ ให้เขาฟัง หลงจู๊ผู้นั้นพาเสมียนใหญ่สองคนยกผ้ากองโตเข้ามาด้วยตัวเอง ชี้ไปที่ผ้าสีทองลายดอกมัดหนึ่งในจำนวนนั้นพลางกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นผ้าที่มาจากเจียซิง ทอออกมาจากเครื่องทอผ้าของตระกูลตู้ ปีนี้ถูกเลือกให้เป็นสินค้าส่งไปให้วังหลวง เป็นเพราะนายท่านของพวกข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับนายท่านของตระกูลตู้มาช้านาน จึงได้มาหลายมัด ซึ่งเอาไว้ต้อนรับเฉพาะลูกค้าเก่าแก่ของทางร้านเท่านั้นขอรับ” แล้วก็ชี้ไปที่ผ้าสีเขียวมรกตอีกมัดหนึ่งพลางกล่าว “นี่เป็นผ้าที่มาจากฉางโจว กล่าวกันตามจริงแล้ว ถ้าพูดถึงการทอ หากเมืองหังโจวนับว่าเป็นลำดับสองเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดกล้านับว่าตัวเองเป็นลำดับหนึ่ง แต่ถ้าพูดถึงลวดลาย ลวดลายของทางฉางโจวจะใหม่กว่าขอรับ…”
………………………………………………