วิกฤตทางด้านการเงินทำให้โจวเสาจิ่นกลุ้มใจเป็นอย่างมาก
ในชาติก่อน นางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในเรือน ใช้เงินน้อยยิ่งนัก จึงไม่เคยต้องกังวลถึงเรื่องนี้เลย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ขาดเงินในมือคือตอนที่หนีออกจากตระกูลเฉิง แล้วเผชิญพายุหิมะห่าใหญ่ที่ทงโจว ติดอยู่ที่นั่นนานหลายวัน จนไม่เหลือเงินสักแดงเดียว ทว่าฝานหลิวซื่อกลับรีบนำกำไลอันเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลฝานไปจำนำ พานางไปหาพี่สาวจนเจอ ต่อมาหลังจากแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่ง นางมีสินเดิมของตนเอง อีกทั้งมีหม่าชื่อช่วยดูแลจัดการทรัพย์สินให้ รายจ่ายของนางส่วนใหญ่จึงเสียไปกับการบริจาคธูป น้ำมันและเงินทองให้วัด นางอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้ ไม่เคยขาดแคลนเงินเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อกลับชาติมาเกิดใหม่ นางจะมีเงินไม่พอใช้!
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องพระของเรือนหานปี้ซาน ทว่ายิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่น จนเขียนอักษรผิดไปสองตัวติดต่อกัน
นางจึงวางพู่กันลงเสีย และตัดสินใจจะทำจิตใจให้สงบลงก่อน ทว่ากลับได้ยินเสี่ยวถานที่นั่งถักพู่ลั่วจื่ออยู่ที่ประตูกล่าวกับซือเซียงว่า “…ถึงกับต้องพลิกหาจนทั่วเรือนหลิวทิง ถึงจะหากระถางเซี่ยนหยางที่คุณชายใหญ่สือกล่าวถึงใบนั้นจนเจอเจ้าค่ะ”
เรือนหลิวทิง คือเรือนของเฉิงสือจวนรอง
โจวเสาจิ่นเงี่ยหูฟังอย่างอดไม่ได้
ซือเซียงถามขึ้นว่า “กระถางเซี่ยนหยาง คุณชายใหญ่สือต้องการปลูกดอกดารารัตน์อย่างนั้นหรือ กระถางนี้ก็ไม่ได้หายากอะไรมิใช่หรือ ในเรือนของพวกข้าก็มีสองสามใบ ทุกปีพอถึงช่วงเวลานี้ก็จะนำออกมาให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองจัดดอกดารารัตน์” นางกล่าวพลางอุทาน “ไอ้โหยว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง และกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็คงจะลืมไปเสียแล้ว สองวันมานี้งานยุ่งวุ่นวายมาก จนลืมบอกให้ป้ารับใช้ที่เรือนเพาะชำช่วยเลือกดอกดารารัตน์สวยๆ มาให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองของพวกข้าสักสองสามต้น ปีที่แล้วพวกเราบอกช้าไปหน่อย ดอกดารารัตน์ต้นที่งดงามต่างก็ถูกผู้อื่นเลือกไปจนหมด”
เสี่ยวถานกล่าวขึ้นว่า “ปีที่แล้วดอกดารารัตน์ในเรือนของพวกข้าก็เบ่งบานได้งดงามยิ่ง แม้แต่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ก็ยังกล่าวชมยามที่มาคารวะในช่วงปีใหม่เจ้าค่ะ”
ซือเซียงยิ้มพลางกล่าวว่า “มีตอนไหนบ้างหรือที่ต้นไม้ดอกไม้ในเรือนของพวกเจ้าจะไม่งดงาม”
“จริงด้วย” เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ “อย่างไรก็ตามพี่สาวเจินจูของพวกข้าเพาะเลี้ยงดอกไม้ได้ดียิ่ง ดอกดารารัตน์ของพวกข้าล้วนเป็นพี่สาวเจินจูที่ตัดแต่งด้วยตัวเอง พี่สาวเจินจูบอกว่า กระถางเซี่ยนหยางที่คุณชายใหญ่สือกล่าวถึงใบนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู แปดถึงเก้าในสิบส่วนคุณชายใหญ่สือจะต้องเอาไว้สำหรับจัดดอกดารารัตน์ที่สื่อความหมายถึงการสอบจิ้นซื่อเป็นแน่ กระถางที่ว่านั้นต่างจากกระถางเซี่ยนหยางธรรมดาทั่วไปของพวกข้าที่หากไม่ใช่ทรงกลมก็จะเป็นทรงสี่เหลี่ยม และไม่ใช่เพียงเพื่อเอาไว้ตกแต่งให้เข้ากับชั้นวางไม้จันทร์แดงเท่านั้น แต่ต้องการจัดดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงการสอบจิ้นซื่อ เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลามาก เป็นไปได้มากว่าคุณชายใหญ่สือต้องการจะมอบให้ผู้อื่นเจ้าค่ะ!”
“มอบให้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ” ซือเซียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ยังมีผู้ใดที่ทำให้คุณชายใหญ่สือต้องให้ความใส่ใจมากขนาดนี้ด้วยหรือ”
“ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวถานยิ้มตอบ “คุณชายใหญ่สือกับสะใภ้ใหญ่สือล้วนเป็นผู้ที่ชื่นชอบการสังสรรค์กับผู้อื่นยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ แม้สะใภ้ใหญ่สือจะเพิ่งคลอดบุตรได้ยังไม่ถึงเดือน แต่ก็ได้ตระเตรียมเชื้อเชิญญาติสนิทและมิตรสหายมาทานโจ๊กล่าปาในจวนช่วงเทศกาลล่าปา[1] กันแล้วเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ซือเซียงก็ทราบเช่นกัน นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “กล่าวไปแล้วสะใภ้ใหญ่สือผู้นี้ก็ไม่เลวนัก ตั้งแต่แต่งงานเข้าตระกูลเฉิงมา ก็ทำโจ๊กล่าปาด้วยตนเองและนำไปส่งให้แต่ละจวนในทุกๆ ปีอีกด้วย”
เสี่ยวถานได้ยินแล้วก็บุ้ยปาก พลางกล่าวท้วงว่า “ต่อให้นางเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแล้วจะทำอย่างไรได้เจ้าคะ คุณชายใหญ่ของพวกข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโตที่เป็นทายาทสายตรง ภรรยาของคุณชายใหญ่ของพวกข้าต่างหากที่จะมีฮูหยินเอกของตระกูลในภายภาคหน้า”
ซือเซียงถึงตระหนักได้ว่าตนเองพลั้งปากไปเสียแล้ว รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “จริงด้วย! ข้าก็เพียงกล่าวไปอย่างนั้นเอง เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”
ระยะนี้เสี่ยวถานสนิทสนมกับซือเซียงเหมือนดังพี่สาวน้องสาว ครั้นได้ยินแล้วก็ฉุกคิดได้ว่าตนเองพูดจาแรงเกินไป จึงลอบรู้สึกเสียใจอย่างอดไม่ได้ อธิบายไปว่า “เป็นเพราะข้าทนดูจวนรองที่ชอบประจบประแจงผู้ที่เหนือกว่าแต่เหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าไม่ได้จึงกล่าวไปเช่นนั้น พี่สาวคงไม่ทราบว่าพี่ชายร่วมสายเลือดของคุณชายหมิ่นผู้นั้นได้รับตำแหน่งจ้วงหยวนในปีเหรินเฉินกระมัง นายท่านสี่ของพวกข้าก็สอบได้จิ้นซื่อในปีนั้นเช่นเดียวกัน แต่ได้ตำแหน่งจิ้นซื่อขั้นสอง[2] อันดับที่สิบสอง คุณชายใหญ่สือตั้งใจประจบประแจงคุณชายหมิ่นผู้นั้น ทำเสมือนกับว่าหากประจบประแจงคุณชายหมิ่นผู้นั้นได้ก็เท่ากับเอาอกเอาใจไปถึงจ้วงหยวนได้ก็ไม่ปาน จึงเหยียบย่ำนายท่านสี่ของพวกข้าไว้ใต้ฝ่าเท้า”
โจวเสาจิ่นไม่แปลกใจเลยสักนิด
ทว่าซือเซียงกลับตกตะลึงพลางเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
เสี่ยวถานกึ่งขุ่นเคืองกึ่งปรารถนาจะสมานรอยร้าวระหว่างนางกับซือเซียงเมื่อครู่ จึงกล่าวด้วยใจที่อัดอั้นว่า “ยังมีมากกว่านั้นอีกเจ้าค่ะ! คราวก่อนตอนที่คุณชายหมิ่นกับคุณชายใหญ่ไปเป็นแขกของตระกูลกู้ที่ซอยเหมยฮวานั้น ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สือไปทราบมาได้อย่างไร จึงปรารถนาจะติดตามไปด้วย หลังจากนั้น ตระกูลกู้ก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายหมิ่น และนำเหล้าองุ่นล้ำค่าของตระกูลออกมารับแขก ในตอนนั้นคุณชายหมิ่นได้กล่าวหยอกล้อไปว่า น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาได้เห็นจอกแสงรัตติกาล[3]จอกนั้น คุณชายใหญ่สือจึงรีบนำจอกสุราที่เรียกว่า ‘จอกแสงรัตติกาล’ ที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากที่ใดมามอบให้คุณชายหมิ่น แต่น่าเสียดายที่คุณชายหมิ่นไม่แยแสคุณชายใหญ่สือ ไม่เพียงคืน ‘จอกแสงรัตติกาล’ จอกนั้นแก่คุณชายใหญ่สือเท่านั้น แต่ยังกล่าวกับคุณชายใหญ่สืออีกว่า การคบกันของวิญญูชน แม้เพียงน้ำเปล่ารสจืดก็คบหากันได้ ทำเอาคุณชายใหญ่สือหน้าแดงเถือกด้วยความอับอาย…
…ครั้นพวกข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก…
…คุณชายใหญ่สือมักจะอาศัยความที่เขาอายุมากกว่าคุณชายใหญ่ ชอบมาชี้นิ้วสั่งการต่อหน้าคุณชายใหญ่อยู่เสมอ แต่เขากลับไม่คิดเลยว่า ต่อให้เขาอายุมากกว่าคุณชายใหญ่แล้วอย่างไร ผู้ที่จะมาดูแลตระกูลเฉิงในภายหน้า ก็ยังคงเป็นคุณชายใหญ่ของพวกข้าอยู่ดี”
ซือเซียงกล่าวเห็นด้วยไม่หยุด
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับครุ่นคิดอยู่ในใจว่า หยวนซื่ออยากจะรับบุตรีของตระกูลหมิ่นมาเป็นสะใภ้ ยามที่หมิ่นเจี้ยนเฉียงมาเป็นแขกในเรือน นางจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฉกฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่ดีเช่นนี้มิใช่หรือ หมิ่นเจี้ยงเฉียงกล่าวแดกดันเฉิงสือขนาดนั้น หรือว่าจะรู้อะไรบางอย่างมาก่อนแล้วกันแน่ อีกทั้งยังประทับใจในตัวเฉิงสวี่เป็นอย่างมาก คงอยากให้เฉิงสวี่มาเป็นน้องเขยของเขากระมัง
นางลุกขึ้นมาจิบชาร้อนหนึ่งจิบ
ไม่ว่าอย่างไร ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางเพียงภาวนาขอให้องค์พระโพธิสัตว์พิทักษ์รักษา นางให้อยู่อย่างสงบสุข ผ่านวันเวลาสองปีนี้ไปได้อย่างราบรื่นดุจดั่งคลื่นลมที่เงียบสงบ ส่วนเรื่องที่เฉิงสวี่จะแต่งงานกับผู้ใด หรือว่าเฉิงลู่จะเป็นเช่นไรนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยทั้งสิ้น
***
ภายในเรือนลี่เสวี่ย ลานบ้านที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งเสียงเอื้อนเอ่ยของผู้คน ไอหนาวเย็นยังไม่พัดโชยมาถึง ทว่าเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือในห้องหนังสือกลับวางกระถางไฟใบใหญ่เอาไว้กระถางหนึ่ง ถ่านเงินชั้นดีในกระถางนั้นลุกโชติช่วงเป็นสีแดงจ้า สว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง
ชั้นหนังสือภายในห้องนั้นว่างเปล่า แต่บนพื้นกลับมีจดหมาย หนังสือ และหนังสือภาพวาดตกกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้น
ร่างสูงโปร่งของเฉิงฉือ สวมชุดเจียเผาผ้าเนื้อละเอียดสีครามตัวหนึ่งยืนอยู่หน้ากระถางไฟ ลำตัวตั้งตรงราวกับต้นไป๋ฮว่า[4] กลางทุ่งหญ้าในทางตอนเหนือ สีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งรูปปั้นที่ดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงชั่วกาลนานก็ไม่ปาน เปิดสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือมากวาดตาดูสองสามครั้งจากนั้นก็โยนลงในกระถางไฟอยู่อย่างนั้น
เปลวไฟกระพือขึ้นอย่างรวดเร็ว กลืนกินบัญชีที่เขาโยนลงไปในกระถางไฟจนมอดม้วย
ไหวซานหอบบัญชีกองใหญ่กองหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นฉากที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ตกใจเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างลังเลว่า “นายท่านสี่ขอรับ บัญชีเหล่านี้ก็จะเผาหมดเลยหรือขอรับ”
“เผาให้หมดเลย” เฉิงฉือสีหน้านิ่งไร้รอยกระเพื่อมใดๆ จากนั้นก็โยนบัญชีลงในกระถางไฟต่อ
ไหวซานวางบัญชีที่หอบมาวางลงบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ลังเลอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านขอรับ นี่ล้วนเป็นบัญชีที่ผ่านมาหลายสิบปีของจวน ครั้นเผาหมด ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว วันหลังอยากจะตรวจสอบอะไร ก็ไม่อาจตรวจสอบที่ใดได้แล้วนะขอรับ”
แสงเพลิงส่องสะท้อนบนใบหน้าของเฉิงฉือ เผยให้เห็นสีหน้าของเขาที่เยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าเพียงทิ้งบัญชีเหล่านี้แทนพวกเขาเท่านั้นเอง พวกเขาอ่านดูแล้วจะเข้าใจอะไรหรือ”
ไหวซานรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ
เฉิงฉือโยนบัญชีอีกเล่มหนึ่งลงไปในกระถางไฟ แล้วกล่าวเสียงบางเบาว่า “ฟางชินถงว่าอย่างไรบ้าง”
ไหวซานตอบ “เขาบอกว่าเครื่องทอผ้าสองพันเครื่อง เขาเพียงคนเดียวรับซื้อไม่ไหว ถามท่านว่าช่วยหาคู่ค้าอีกสักคนหนึ่งมารับซื้อด้วยได้หรือไม่…”
เส้นเลือดบนขมับของเฉิงฉือกระตุก
ไหวซานเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนว่านายท่านสี่จะอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก
หลังจากที่เขาออกจากห้องหนังสือไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาหลุบตาลง แต่กลับได้ยินเสียงของเฉิงฉือที่ยังคงความอบอุ่นเล็กน้อยดังขึ้นข้างหูว่า “แม้แต่เขาผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเจียซิ่งผู้นี้ก็ยังรับซื้อเครื่องทอผ้าสองพันเครื่องของข้าไม่ไหว ข้าว่าผู้อื่นก็ยิ่งไม่มีปัญญาซื้อได้…เช่นนี้ก็ดี คราวก่อนมีนายวาณิชคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจิ้งซี่ อยากจะติดต่อค้าขายกับพวกเรา ข้าเห็นว่าเขายังเป็นผู้ที่รู้การรู้งานผู้หนึ่ง เจ้าลองไปถามเขาดูว่าเขากล้ารับซื้อเครื่องทอผ้าสองพันเครื่องกับช่างทอผ้าฝีมือดีสามร้อยคนหรือไม่ ตอนนี้ข้าไม่ต้องการเงินของเขาสักแดงเดียว ค่อยมาชำระในอีกสองปีข้างหน้า แต่ข้ามีเรื่องไหว้วานเขาอยู่เรื่องหนึ่ง ภายในเวลาสองปีนี้ เขาต้องร่วมมือกับข้าโค่นล้มฟางซินถง ข้าไม่ชอบใจที่เขาเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเจียซิ่ง”
“ขอรับ!” ไหวซานเหงื่อตกพลางเอ่ยตอบ
“อย่างไรก็ตามเงินที่สิบสามห้างติดข้าเอาไว้นั้นอีกสองปีให้หลังถึงจะชำระคืนให้ได้ ก็ไม่ต่างอะไรนัก” เฉิงฉือโยนบัญชีอีกเล่มลงไปในกระถางไฟ ถ่านเงินราวกับต้านแรงกระแทกของบัญชีไม่อยู่ พอเสียง ตุบ เสียงหนึ่งดังขึ้นเถ้าถ่านก็ฟุ้งกระจาย เห็นได้ว่ากำลังจะกระเด็นโดนตัวของเฉิงฉือ
ทว่าฉับพลันแขนเสื้อของไหวซานกลับวาดเป็นเส้นโค้งอย่างรวดเร็วดั่งอสนีบาต สะเก็ดไฟทั้งหมดประหนึ่งปะทะเข้ากับตาข่ายไร้รูปอันหนึ่ง แล้วร่วงลงในกระถางไฟทั้งหมด
เฉิงฉือโยนบัญชีอีกเล่มเข้าไป
ครั้งนี้บัญชีตกลงไปในกระถางไฟเบาๆ และยอมถูกเผาผลาญแต่โดยดี
ไหวซานรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่ขอรับ ท่านให้ข้าไปสืบเรื่องของคุณหนูรองตระกูลโจว…”
“เป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงฉือพลิกบัญชีเล่มหนึ่งอย่างไม่สนใจ
“ตั้งแต่คุณหนูรองตระกูลโจวเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนยามอายุหกเดือนจนถึงตอนนี้ ก็ไม่เคยออกไปที่ไหนไกลๆ เลยสักครั้ง กล่าวได้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงวันที่ยี่สิบสี่เดือนสามของปีนี้ นางไม่เคยออกไปข้างนอกโดยลำพังเลยขอรับ” ไหวซานกล่าว “ทว่าหลังจากเดือนสาม นางออกไปนอกจวนหลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนสี่ ก่อนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง นางกับพี่สาวกลับไปกราบไหว้บรรพชนที่บ้านเดิมของตระกูลโจว อีกครั้งหนึ่งเมื่อคราวบ่าวตระกูลจวงที่เคยรับใช้ตาของนางมาขอความเมตตาจากนาง…” เขารายงานทุกเรื่องของโจวเสาจิ่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสามเป็นต้นมาให้เฉิงฉือฟังอย่างละเอียด และกล่าวอีกว่า “นายท่านสี่ขอรับ ข้ารับประกันได้ว่า นางเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองโจว และเป็นคุณหนูรองของจวนสี่จริงๆ ขอรับ”
เฉิงฉือเอ่ยถามว่า “แล้วทางด้านเมืองจิงเฉิงมีข่าวคราวอะไรหรือไม่”
“มีขอรับ” ไหวซานตอบ “บ่าวเด็กคนนั้นฉลาดเฉลียวยิ่งนัก หลังจากที่คนของตระกูลจี้ส่งเขาไปถึงเมืองจิงเฉิง ในชั่วพริบตาเขาก็สลัดคนผู้นั้นหลุดไปได้ แล้วจ้างวานพ่อค้าเร่ต่างถิ่นผู้หนึ่ง แสร้งทำเป็นอาของเขาที่ต้องการไปส่งสินค้าที่เมืองเทียนจิน จึงจำต้องฝากเขาเอาไว้ที่อารามซ่างชิงที่อยู่ใกล้ๆ กับซอยซุ่ยเหรินขอรับ…” บางทีอาจเพราะเป็นเด็กมีไหวพริบดี ทุกคนก็เลยชื่นชอบเขาก็เป็นได้ กล่าวถึงตรงนี้ ไหวซานเผยรอยยิ้มบางออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวิตขึ้น “ผู้ที่จับตามองเขาอยู่บอกว่า ดูเหมือนเขาจะเอ้อระเหยลอยชายอยู่ทุกวัน หากไม่ไปชมงิ้วก็ไปเหลาสุรา หรือไม่ก็ไปเดินเล่น ทั้งยังชักชวนนักพรตเด็กของอารามซ่างชิงคนหนึ่งให้ไปด้วยกัน และช่วยนักพรตเด็กคนนั้นชำระเงินค่าขนมกินเล่นที่ติดค้างเอาไว้เป็นเงินจำนวนยี่สิบทองแดงอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกวันเขาจะผ่านไปทางซอยอีเถียวของถนนซุ่ยเหรินกับซอยหูซ่างซูทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพื่อไปพูดคุยกับผู้คนในละแวกนั้น ในจำนวนเหล่านั้นคนที่เขาซักถามถึงมากที่สุดก็คือตระกูลหลินที่ซอยอีเถียวกับตระกูลมู่ที่ซอยหูซ่างซูขอรับ…”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “สองตระกูลนี้มีอะไรเป็นพิเศษหรือ”
นัยน์ตาของไหวซานปรากฏความสับสนวาบผ่านสายหนึ่ง “ตระกูลหลินเป็นตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ยศผิ่นขั้นสาม ส่วนตระกูลมู่แม้เป็นผู้คงแก่เรียน แต่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการในสำนักตรวจการ ทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกันผ่านบุตรชายและบุตรสาว…แม้นไม่ใช่การแต่งงานระหว่างผู้มีฐานะทัดเทียมกันสักเท่าใด แต่ตระกูลหลินกับตระกูลมู่ต่างเป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ของกัน ทั้งยังเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน บุตรชายของตระกูลหลินมีหน้าตาโดดเด่นยิ่งนัก ด้านคุณธรรมความดีก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ อายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวของตระกูลมู่ ทั้งคู่ยังเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงพอถือได้ว่าเป็นการแต่งงานที่ดีขอรับ…ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าคุณหนูรองตระกูลโจวให้บ่าวเด็กผู้นั้นไปสืบเรื่องของตระกูลหลินกับตระกูลมู่สองตระกูลนี้เพื่ออะไร” กล่าวจบแล้ว เขาก็กล่าวเพิ่มอีกว่า “บ่าวเด็กผู้นั้นชื่อฝานฉี เป็นพี่ชายร่วมน้ำนมเดียวกันกับคุณหนูรองตระกูลโจวขอรับ”
………………………………………………………………….
[1] เทศกาลล่าปา (腊八节) จัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็นเทศกาลบูชาบวงสรวงเทพเจ้าและบรรพบุรุษ หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเก็บตุนผลผลิตในช่วงฤดูหนาว โดยผู้คนจะเข้าป่าไปล่าสัตว์มาเป็นเครื่องสังเวยเซ่นไหว้ ซึ่งคำว่า 腊 (ล่า) อันเป็นชื่อของพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้านี้ มีรากศัพท์มาจากคำว่า 猎 (เลี่ย) ที่แปลว่า การล่าสัตว์ ส่วนคำว่า 八 (ปา) นี้ หมายถึงเทพเจ้าแปดองค์ที่กราบไหว้ในเทศกาลล่าปา ในวันนี้ผู้คนจะต้มโจ๊กล่าปาทานกัน โดยนำข้าว ธัญพืช ถั่วและผลไม้แห้งต่างๆ ที่เก็บเกี่ยวมาต้มเป็นโจ๊ก นำไปเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ และแบ่งให้เพื่อนบ้าน ก่อนที่จะรับประทานกันภายในครอบครัว
[2] จิ้นซื่อ คือผู้ที่สอบผ่านข้อสอบขุนนางระดับสูงสุด โดยตำแหน่งจิ้นซื่อจะแบ่งเป็นสามขั้น จิ้นซื่อขั้นหนึ่งมีสามอันดับได้แก่ จ้วงหยวน หรือผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง ปั๋งเหยี่ยน หรือผู้ที่สอบได้อันดับสอง และทั่นฮวา หรือผู้ที่สอบได้อันดับสาม ทั้งสามอันดับนี้จะเรียกโดยรวมว่า ซานติ๋งเจี่ย (三鼎甲) หรือสามยอดบัลลังก์ ส่วนจิ้นซื่อขั้นสองและสามนี้มีหลายอันดับด้วยกัน ผู้ที่สอบได้จิ้นซื่อขั้นสองจะได้รับสมญานามว่า จิ้นซื่อชูเซิง (进士出身) และผู้ที่สอบได้จิ้นซื่อขั้นสามจะได้รับสมญานามว่า ถงจิ้นซื่อชูเซิง (同进士出身)
[3] จอกแสงรัตติกาล หรือ จอกเยี่ยกวงเปย (夜光杯) เป็นจอกสุราที่ทำจากหยกน้ำดีจากเขาฉีเหลียนซาน เมื่อรินสุราใส่จอกแล้ว จอกจะเปลี่ยนเป็นสีขาวพระจันทร์ และสะท้อนแสงสวยงาม จึงเป็นที่มาของชื่อจอกสุรานี้
[4] ต้นไป๋ฮว่า (白桦树) หรือต้น Birch เป็นต้นไม้ประจำถิ่นแถบตอนเหนือของจีน มีลำต้นสีขาวตลอดทั้งปี