ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 220 ยุ่งเหยิง

ตอนที่ 220 ยุ่งเหยิง

โจวเสาจิ่นชะเง้อมองอยู่หน้าประตูห้องโดยสารที่เฉิงฉือพำนักอยู่

เฉิงฉือกำลังสนทนาอยู่กับผู้เฒ่าซ่งอย่างออกรส “เป็นไปไม่ได้ที่ราชสำนักจะยอมควักเงินมากถึงเพียงนี้มาลงกับกังหันน้ำและการชลประทานเพื่อลดปัญหาอุทกภัยหรอกขอรับ ตามความเห็นของข้า การสร้างทำนบแม่น้ำใหม่จึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด…”

โจวเสาจิ่นลอบแลบลิ้นอยู่ในใจ ขณะที่กำลังจะหดคอกลับมา จู่ๆ เฉิงฉือก็มองมา เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”

ดูเหมือนกับว่าเขายังคงจดจ่ออยู่กับการหารือกับผู้เฒ่าซ่งเมื่อครู่อยู่ แววตาคมกล้า สีหน้าเยียบเย็น ดูเคร่งขรึมยิ่งนัก

หรือว่าปกติแล้วในยามที่ท่านน้าฉือคุยธุระจริงจังก็มีท่าทางเช่นนี้?

โจวเสาจิ่นขบคิดอยู่ในใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ในครัวลองทำขนมทานเล่นชนิดใหม่ ข้าจึงอยากจะถามท่านว่าต้องการของว่างสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”

อันที่จริงเป็นนางที่ทำขนมทานเล่นเหล่านี้ขึ้นมาเอง

“พวกข้าไม่กินของว่าง” เฉิงฉือตอบอย่างสุภาพ “ข้ากับท่านผู้เฒ่าซ่งกำลังยุ่งอยู่ พวกเจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ!”

ความหมายก็คือ ให้นางไม่ต้องมารบกวนพวกเขา

ผู้เฒ่าซ่งได้ยินแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ท่าทางเหมือนอยากให้นางรีบออกไปเสีย

เห็นทีว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล!

โจวเสาจิ่นกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วถอยออกไป

วันถัดมา เฉิงฉือยังคงปิดประตูหารือกับผู้เฒ่าซ่งเช่นเคย

โจวเสาจิ่นถามพวกเขาว่าต้องการดื่มน้ำชาหรือไม่

ปรากฏว่าเฉิงฉือยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ผู้เฒ่าซ่งก็ชี้ไปที่จอกชาเบื้องหน้าตนเอง กล่าวว่า “ชาหลงจิ่งนี้ไม่เลว ทันทีที่ข้าจิบก็รู้ว่าเป็นยอดใบชาที่เก็บก่อนวันเชงเม้ง ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ข้าจะดื่มชานี้”

โจวเสาจิ่นจึงได้แต่ถอยออกไปอีกครั้ง

วันที่สาม เฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่งเอาลูกคิดมาคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง

โจวเสาจิ่นฉวยโอกาสยามที่พวกเขาพักอยู่เข้าไปถามพวกเขาว่า “…คนเรือตกปลากับกุ้งมาสดๆ ใหม่ๆ เจ้าค่ะ พวกชุนหว่านเตรียมเอาไปคลุกแป้งทอดกิน อยากจะให้ยกเข้ามาให้ท่านทั้งสองสักจานหนึ่งหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ต้อง” เฉิงฉือจ้องมองกระดาษทดเลขที่อยู่เบื้องหน้าโดยไม่เคลื่อนสายตา แล้วกล่าวกับผู้เฒ่าซ่งว่า “ข้าคำนวณได้สี่สิบเก้า ท่านคำนวณได้เท่าไรขอรับ ข้าคิดว่าตัวเลขนี้ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ไม่ตรงกับค่าการขุดลอกแม่น้ำ ในทางกลับกันค่าความแรงของกระแสน้ำกลับลดลงขอรับ”

ส่วนผู้เฒ่าซ่งกลับไม่แม้แต่จะชายตามองโจวเสาจิ่นสักครั้ง เอ่ยว่า “ข้าก็คิดว่าตัวเลขนี้ไม่ถูกต้องเหมือนกัน เช่นนั้นพวกเราคำนวณใหม่อีกรอบเถอะ”

เฉิงฉือหยิบลูกคิดแล้วดีดขึ้นลงครู่หนึ่ง ลูกคิดเรียงกันตามแต่ละหน่วยอย่างเรียบร้อย

เขาบอกชิงเฟิงว่า “ไปเอากระดาษมาให้พวกข้า”

ชิงเฟิงวิ่งเข้าห้องเล็กข้างๆ ไปอย่างรวดเร็วดั่งควัน หอบกระดาษออกมาด้วยหนึ่งเตา[1] แล้วเริ่มตัดกระดาษเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหนึ่งฉื่อ

โจวเสาจิ่นถอนหายใจ ได้แต่ถอยออกมา

ชุนหว่านที่รออยู่ข้างนอกรีบเดินเข้ามาหา เอ่ยถามอย่างเคร่งเครียดว่า “นายท่านสี่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“ไม่กล่าวอะไรเลยสักอย่าง” โจวเสาจิ่นตอบอย่างผิดหวัง “ท่านน้าฉือยุ่งมาก ไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ชุนหว่านย่นหัวคิ้ว “หรือไม่ ท่านก็ไปกล่าว ‘ขอโทษ’ นายท่านสี่ตรงๆ ดีหรือไม่เจ้าคะ”

“เช่นนั้นก็ต้องรอให้มีโอกาสก่อนถึงจะทำได้!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านน้าฉือเริ่มคำนวณกระแสน้ำนั่นอีกแล้ว”

ชุนหว่านพูดไม่ออกเล็กน้อย

กล่าวได้ว่าเวลานายท่านสี่คำนวณตัวเลขเหล่านั้นจะไม่สนใจไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น คราวก่อนปี้อวี้ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ตัดกางเกงตัวในให้นายท่านสี่ จึงขอให้นายท่านสี่ไปลอง สื่อมามาวิ่งไปห้าหกรอบ นอกจากจะเชิญนายท่านสี่ไปลองชุดในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้แล้ว กลับกันยังถูกนายท่านสี่ตะเพิดออกมาอีกด้วย

โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปดูที่ครัวว่ามีผลไม้และแตงหวานสดบ้างหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะลองหั่นผลไม้นำเข้าไปให้สักถาดหนึ่ง หากว่าท่านน้าฉือยังไม่สนใจข้าอีก ข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ชุนหว่านพยักหน้ารับคำ แล้วไปที่ครัว

เวลาผ่านไปหนึ่งจอกชา นางกลับมารายงานโจวเสาจิ่นว่า “เห็นว่าคืนนี้หลังจากจอดเทียบท่าแล้วจะไปซื้อสาลี่บนฝั่งมาสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็เคี่ยวสาลี่กับไป่เหอในน้ำเชื่อมก็แล้วกัน” โจวเสาจิ่นกล่าวพึมพำ วันรุ่งขึ้นไปเคี่ยวในครัวและยกเข้าไปให้ด้วยตนเอง

เฉิงฉือหน้านิ่วคิ้วหมวด กำลังเดินวนไปมาอยู่ในห้อง

เห็นได้ว่า การคำนวณตัวเลขนั้นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าไรนัก

โจวเสาจิ่นคิดว่าตนเข้ามาได้ไม่ค่อยถูกจังหวะนัก

เป็นไปตามคาด ไม่ทันรอให้นางเอ่ยกล่าวอะไร เฉิงฉือก็ชี้ไปที่โต๊ะน้ำชาข้างๆ กล่าวว่า “เจ้ายกอะไรมา วางเอาไว้ตรงนั้นเถอะ!” จากนั้นก็ไม่เอ่ยถามนางอีกแม้ประโยคเดียว เดินตรงไปที่หน้าโต๊ะ แล้วคิดคำนวณต่อ

ผู้เฒ่าซ่งเอนกายอิงเก้าอี้มีเท้าแขนอยู่ข้างๆ พลางหลับตาลงพักผ่อนสายตาด้วยสีหน้าอิดโรย

โจวเสาจิ่นวางสาลี่และไป่เหอในน้ำเชื่อมลงบนโต๊ะน้ำชา แล้วถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า

ชุนหว่านเห็นแล้วก็ดีใจ

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมองนางพลางส่ายศีรษะ

ชุนหว่านสีหน้าดำดิ่งลงมา

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

นางสูดลมหายใจเข้าลึก ปลอบชุนหว่านว่า “ช่างเถิด ท่านน้าฉือมีจิตใจกว้างขวางเสมอมา เขาย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราด้วยเรื่องเหล่านี้เป็นแน่ พวกเราก็ไม่ต้องกระวนกระวายเหมือนชายหนุ่มจากเมืองฉี่ที่กลัวว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา[2] เช่นนั้นหรอก พรุ่งนี้ควรทำอะไรก็ไปทำสิ่งนั้นกันดีกว่า!”

ก็คงต้องเป็นเช่นนี้แล้ว

ชุนหว่านปลอบใจตนเอง แล้วกลับห้องพักโดยสารไปพร้อมกับโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นไม่ไปหาเฉิงฉืออีก นางอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหมือนแต่ก่อน ระหว่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินซ่งสนทนากันถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีต นางก็เย็บปักอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

ฟังไปเรื่อยๆ นางก็ค่อยๆ เกิดความสนใจขึ้นมา

โดยเฉพาะเกร็ดประวัติเกี่ยวกับตระกูลที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ในเจียงหนานเหล่านั้น อาทิ ตระกูลกู้ที่ไห่หนิงสร้างชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลได้อย่างไร ตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียงเริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในรุ่นใด ตระกูลที่สืบทอดมาจากตระกูลบัณฑิตในรัชกาลก่อนใดบ้างที่ตกต่ำเสื่อมถอยลงในปัจจุบัน สาเหตุที่เสื่อมถอยคืออะไร อีกทั้งมีตระกูลใดบ้างที่เฟื่องฟูยิ่งขึ้น และใครเป็นผู้นำความเฟื่องฟูมาให้…ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่าแล้ว ความสัมพันธ์จากการเกี่ยวดองระหว่างตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียงในเจียงหนานก็ผุดขึ้นในห้วงสมองของโจวเสาจิ่น

นางค้นพบว่าโลกใบนี้ช่างเล็กยิ่งนัก เลี้ยวไปมุมหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้เจอคนรู้จักคนหนึ่งแล้ว ต่อให้นางไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่ก็รู้ว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับตนอย่างไรบ้าง

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัศจรรย์ใจเหลือคณา

โจวเสาจิ่นตั้งใจฟังยิ่งขึ้น

ยามฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้แก่ฮูหยินซ่งฟังก็ยังเก็บบางส่วนเอาไว้ไม่เล่าจนหมด กระทั่งหลังจากที่ฮูหยินซ่งออกไปแล้วและเหลือเพียงโจวเสาจิ่นคนเดียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะเล่าเพิ่มเติมอีกสองประโยค เพียงแต่สองประโยคนี้ กลับทำให้โจวเสาจิ่นตกตะลึงเหลือแสนทุกประโยค เฉกเช่นเมื่อคืน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งให้นางอยู่หวีผมให้ตัวเอง แล้วกระซิบบอกนางว่า ชวีหยวนพ่อตาของเกาเย่าผู้เป็นเจ้ากรมโยธาธิการและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งจิ่นเซินเป็นบุตรชายที่เกิดจากอนุ เนื่องจากมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาได้รับความโปรดปรานยิ่ง ยามที่เขาอายุสิบขวบ มารดาใหญ่[3] ฉวยโอกาสตอนที่บิดาของชวีหยวนไม่อยู่ ขับไล่มารดาผู้ให้กำเนิด และขายให้กับหอนางโลม ต่อมานางหนีไปได้ แล้วพบกับผู้นำตระกูลเซิน ถูกผู้นำตระกูลเซินรับเลี้ยงดูอยู่ข้างนอก จนให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง บุตรชายคนนี้ถูกผู้นำตระกูลเซินรับกลับเข้าไปเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลเซินโดยให้มีสถานะเป็นบุตรบุญธรรม ภายหลังเมื่อชวีหยวนเรืองอำนาจขึ้น ได้สืบหาจนพบมารดาผู้ให้กำเนิด แม้ว่าแม่ลูกจะไม่ได้มีความผูกพันมากนัก แต่ชวีหยวนกลับดูแลเอาใจใส่น้องชายร่วมมารดาของตนเป็นอย่างดี และน้องชายร่วมมารดาของชวีหยวนก็คือเซินชิงอวิ๋นผู้เป็นรองเจ้าเมืองจินหลิงนั่นเอง…ดังนั้นเจ้าเมืองจินหลิงคนก่อนๆ ต่างก็ไม่อาจแตะต้องเซินชิงอวิ๋นผู้นี้ได้เลย…

โจวเสาจิ่นจำได้ว่าตอนนั้นตนอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงจนเกือบจะกลืนไข่ไก่ฟองหนึ่งได้เลยทีเดียว

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับหัวเราะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โจวเสาจิ่นนอนไม่หลับไปครึ่งค่อนคืน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฮูหยินหยวนฟังด้วยหรือไม่นะ

ถ้าหยวนซื่อล่วงรู้ความลับที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้เหล่านี้ แล้วตระกูลเฉิงก็ยังคงหนีไม่พ้นบทสรุปที่ถูกยึดทรัพย์สินและฆ่าล้างยกตระกูล เช่นนั้น…

โจวเสาจิ่นแทบจะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ตระกูลเฉิงจะต้องไปพัวพันกับปัญหาของราชวงศ์เป็นแน่ และยังไปพัวพันกับเรื่องที่ไม่โปร่งใสมากเรื่องหนึ่งด้วย ด้วยเหตุนี้ตระกูลเฉิงถึงได้ถูกโค่นล้มทั้งตระกูลอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น หาไม่แล้วด้วยเส้นสายและข้อมูลข่าวสารของตระกูลเฉิง คงไม่มีทางที่จะพลาดพลั้งอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เป็นแน่

ความจริงแล้วสำหรับบรรดาบุรุษของตระกูลเฉิงในเมืองจินหลิงที่อยู่ห่างไกล ต่อให้ลูกหลานของตระกูลเฉิงในจิงเฉิงได้กระทำความผิดร้ายแรง ก็ไม่น่าจะถึงขั้นที่ไม่ปล่อยแม้แต่คนอื่นๆ ในตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นกลับไม่ได้สนใจว่าเป็นสายใดหรือจวนใด ขอเพียงเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูก็ล้วนพินาศหมดทั้งสิ้น

ในปีนั้นราชวงศ์เกิดเรื่องฉาวโฉ่อะไรขึ้นบ้างนะ

ไท่จื่อ[4] ประชวรแล้วสิ้นพระชนม์ หวงไท่ซุน[5] ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท แต่หวงไท่ซุนเหมือนกับพระชนกของเขา ประชวรและสิ้นพระชนม์ก่อนองค์ฮ่องเต้ องค์ฮ่องเต้ทรงโศกเศร้าพระทัยยิ่ง ไม่นานก็สวรรคต องค์ชายสี่ถึงได้สืบทอดราชบัลลังก์

โจวเสาจิ่นพยายามรำลึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน

องค์ชายสี่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด จึงต้องเริ่มสืบสาวราวเรื่องจากเขา

ตอนที่ไท่จื่อยังอยู่ในตำแหน่ง มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายสี่ไม่ได้เป็นฮองเฮา ส่วนเขาเองก็ไม่ได้เป็นโอรสองค์โต นอกเหนือจากทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นผู้ที่ซื่อตรงและเที่ยงธรรมแล้ว ก็ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นแต่อย่างใด ในเมื่อไม่ได้เป็นทั้งสายตรงและไม่ได้เป็นโอรสองค์โตจึงยิ่งไม่เป็นที่สนใจนัก

ต่อมาเมื่อไท่จื่อประชวรแล้วสิ้นพระชนม์ องค์ชายรอง องค์ชายสาม องค์ชายห้า และองค์ชายเจ็ดต่างคัดค้านการแต่งตั้งพระราชนัดดาองค์โตเป็นรัชทายาท ทว่าองค์ฮ่องเต้กลับดึงดันแต่งตั้งพระราชนัดดาโดยไม่สนใจความคิดเห็นของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ราชสำนักจึงถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้นานถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว ในพงศาวดารได้จารึกชื่อเหตุการณ์นี้ว่าเป็น ‘ความขัดแย้งด้านธรรมเนียมปฏิบัติ’ สุดท้ายปรากฏว่าเจ้ากรมตรวจการฝ่ายซ้ายถูกเนรเทศ องค์ชายรองผู้ที่ยืนกรานคัดค้านที่สุดในนั้นถูกริบฐานันดรเป็นสามัญชน ส่วนองค์ชายสามถูกลดศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง ดังนั้นหลังจากที่หวงไท่ซุนประชวรสิ้นพระชนม์แล้ว องค์ชายสี่จึงชนะในศึกชิงบัลลังก์กับองค์ชายสาม ท้ายที่สุดก็สืบทอดราชบัลลังก์จนสำเร็จ

มีตรงส่วนไหนที่ลอบวางอุบายได้กันนะ

องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ที่ทรงอำนาจมากองค์หนึ่ง เขาไม่เพียงอายุยืนยาว แต่ยามที่ครองราชย์เขานึกอยากจะประหารบรรดาขันทีใหญ่ประจำสำนักบริหารกิจการภายในวังทั้งยี่สิบสี่สำนักคนใดก็ประหาร นึกอยากจะเนรเทศก็เนรเทศ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งต่อหน้าองค์ฮ่องเต้แม้ประโยคเดียว บรรดาหัวหน้าขุนนางในราชสำนักหลายคนล้วนพ่ายแพ้ย่อยยับยามที่คัดค้านองค์ฮ่องเต้ ภายหลังมีคนตั้งฉายาให้หยวนเหวยชางผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าขุนนางเป็นระยะเวลานานที่สุดขณะที่องค์ฮ่องเต้ทรงครองราชย์ว่าเป็น ‘อัครเสนาบดีอายุยืน’ โดยสื่อความหมายว่าเขาอดทนอดกลั้นได้เหมือนกับเต่าตัวหนึ่ง พี่เขยยังเคยหยอกล้อหยวนเหวยชางครั้งหนึ่งด้วยเหตุนี้เช่นกัน…ดังนั้นเรื่องขององค์ชายรองกับองค์ชายสามจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะลงมือได้เลย

นั่นก็เป็นเพราะหวงไท่ซุนแล้ว

ตอนที่หวงไท่ซุนประชวรองค์ฮ่องเต้ยังเคยเสด็จไปที่เขาไท่ซานเพื่อทำพิธีบวงสรวงให้แก่หวงไท่ซุนด้วยตนเองครั้งหนึ่ง ยามที่เสด็จออกจากเมืองหลวงหรือเสด็จเข้าเมืองหลวงก็ห้ามไม่ให้ผู้คนออกมาบนถนน หลินซื่อเซิ่งยังเคยส่งคนมากำชับนางไม่ให้ออกจากเรือนเป็นการเฉพาะด้วย

หลังจากที่หวงไท่ซุนสิ้นพระชนม์ ผ่านไปครึ่งปีองค์ฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคต

โจวเสาจิ่นเอามือเท้าคาง นึกไม่ออกจริงๆ ว่าราชวงศ์เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

หรือว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนตนห่างไกลจากเรื่องพวกนี้มากเกินไปกันนะ

หากว่าไม่ได้เกิดใหม่ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลเฉิงเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนั้น

หากว่านางไม่รู้เรื่องของตระกูลเฉิง จะปรารถนาอยากเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้อย่างไร

หากว่าไม่ได้เข้าใกล้ท่านน้าฉือ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลเฉิงยังมีบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง!

นางต้องคิดหาทางให้ท่านน้าฉือนำความไปแจ้งเฉิงจิงให้เร็วที่สุดให้ได้

ตอนนี้เฉิงจิงเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว น่าจะมีอิทธิพลมากกว่าแต่ก่อนถึงจะถูก

น่าเสียดายที่ใช้อุบายนักพรตเต๋าไปแล้ว!

แต่ต่อให้ไม่ได้ใช้ หมายจะหลอกท่านน้าฉือ หลอกฮูหยินผู้เฒ่ากัว…โจวเสาจิ่นคิดว่าด้วยความสามารถของนาง นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ต้องหาโอกาสบอกท่านน้าฉือให้ได้!

แต่จะหาโอกาสนั้นได้เมื่อไรกันนะ

โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นทุกข์เหลือคณา ตัดสินใจฉวยโอกาสนี้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่าเรื่องเก่าแก่เหล่านั้นให้มาก นางรู้สึกรางๆ ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจงใจเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางฟัง

แต่นางไม่มีความคิดอยากจะเป็นภรรยาเอกของบุตรชายคนโตผู้เป็นทายาทสายตรง รู้เรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรกระมัง

………………………………………………………………….

[1] 1 เตา เท่ากับ กระดาษร้อยแผ่น

[2] ชายหนุ่มจากเมืองฉี่ที่กลัวว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา เปรียบเปรยได้ว่า ตีตนก่อนไข้

[3] มารดาใหญ่ สำหรับบุตรที่เกิดจากอนุจะต้องเรียกภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของบิดาว่า มารดาใหญ่

[4] ไท่จื่อ คือ มงกุฏราชกุมาร

[5] หวงไท่ซุน คือ พระราชนัดดาผู้เป็นรัชทายาท

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท