ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 226 เกิดความเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 226 เกิดความเปลี่ยนแปลง

ดอกสาลี่[1]เบ่งบานแล้วในแจกันดอกไม้ของนางก็ยังมีดอกท้อ[2]ปักอยู่ ถึงแม้นางจะดูเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่กังวลใจ กล่าวขึ้นอย่างพอเป็นพิธีว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปที่ห้องของข้าแล้วพวกเราค่อยคุยกันดีๆ อีกที ตอนนี้ข้ามีธุระ…” แต่พอนางหันศีรษะกลับไป ก็ไร้ซึ่งเงาของเฉิงฉือและคนอื่นๆ เสียแล้ว

โจวเสาจิ่นร้อนใจจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ทว่าเฉิงเจียที่อยู่ข้างๆ นางกลับดึงมือของนางเอาไว้แล้วสะอื้นไห้เงียบๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เฉิงเจียอาจจะโมโหอย่างรุนแรง อาจจะเกรี้ยวกราดอย่างกะทันหัน หรืออาจจะถากถางประชดประชัน ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยยอมเสียเกียรติและความทระนงแล้วร้องไห้ต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก

นางรีบดึงเฉิงเจียไปข้างๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

เฉิงเจียหยุดร้อง ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ กล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “ไม่มีอะไร ช่วงนี้ข้าเพียงอ่อนไหวง่ายไปสักหน่อยเท่านั้น” จากนั้นโดยไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้พูดอะไร ก็หมุนกายกลับไปยืนอยู่ข้างๆ เจียงซื่อ ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ มารดาขณะที่ยืนฟังบรรดาผู้อาวุโสกับฮูหยินซ่งกล่าวทักทายกันอย่างยิ้มแย้มด้วยท่วงท่าอ่อนโยนและเชื่อฟัง

เจียงซื่อมองบุตรสาวอย่างพึงพอใจครั้งหนึ่ง แล้วดันเฉิงเจียไปยังเบื้องหน้าของฮูหยินซ่ง “นี่คือบุตรสาวผู้นั้นของพวกข้า ตระกูลเฉิงห้าจวน ทว่ากลับมีหญิงสาวเพียงสี่คนเท่านั้น จะแบ่งไปหนึ่งบ้านหนึ่งคนก็ยังทำไม่ได้ จึงถูกตามใจไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าโชคดีที่เด็กคนนี้เชื่อฟัง ไม่ถูกตามใจจนเสียคน งานฝีมือเย็บปักต่างๆ ก็ทำได้ไม่เลว บัญชีต่างๆ ก็ดูเป็นทั้งสิ้น” กล่าวจบ ก็พูดกับเฉิงเจียว่า “ยังไม่รีบทำความเคารพฮูหยินซ่งอีก”

เฉิงเจียก้าวออกไปยอบกายทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง

ฮูหยินซ่งรับถุงหอมมาจากป้ารับใช้ข้างกายหมายจะตกรางวัลให้

เจียงซื่อดันแล้วดันอีก

เฉิงเจียทำเพียงยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเขินอายเท่านั้น

เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยกัน พวกเราย้ายไปนั่งคุยกันที่ศาลาทิงอวี่กันดีหรือไม่”

คนทั้งกลุ่มถึงได้ตอบรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินล้อมหน้าล้อมหลังฮูหยินซ่งไปที่โถงรับแขก

โจวเสาจิ่นตกตะลึงไปเป็นการใหญ่

ท่าทางนั้นของเฉิงเจีย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นท่าทางของคนที่หมดแล้วซึ่งแรงกายแรงใจ

ช่วงเวลาที่นางไม่อยู่บ้านนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฉิงเจียมองตนเป็นเสมือนฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของนาง ทว่าตนกลับผลักนางออกไปอย่างไม่ใยดีเลยแม้แต่น้อย…

โจวเสาจิ่นดึงพี่สาวเอาไว้ กระซิบถามเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่สาวเจียใช่หรือไม่เจ้าคะ”

โจวชูจิ่นหันไปมองรอบๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาด้วยท่าทีสงบว่า “กลับไปแล้วพวกเราค่อยคุยกัน”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า นั่งอยู่ในโถงรับแขกตามมารยาทราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็ม ไม่ง่ายเลยกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเอ่ยออกมาว่า หลายวันมานี้ฮูหยินซ่งต้องนั่งอยู่บนเรือมาโดยตลอด เหน็ดเหนื่อยยิ่งแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับของวันนี้จึงเปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แทน ให้ฮูหยินซ่งได้พักผ่อนดีๆ สักคืนหนึ่ง วันมะรืนค่อยพาฮูหยินซ่งไปเดินเที่ยวเมืองจินหลิง

แต่ละจวนถึงได้แยกย้ายกันกลับ

บางทีอาจเป็นเพราะเฉิงฉือจากไปก่อนเช่นนั้นเลยทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ดียิ่งนัก พลอยทำให้ความยินดีที่ได้กลับบ้านจืดจางลงไปด้วยไม่น้อย

เมื่อกลับถึงเรือนเจียซู่ นางไม่ได้เปิดหีบสัมภาระของตนแล้วนำของฝากที่นางนำกลับมาออกมาแจกจ่ายให้ทุกคนด้วยความยินดีปรีดาเหมือนที่ตนเคยจินตนาการเอาไว้ โดยหลังจากที่นางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจูงมือไปสอบถามถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้พบเจอระหว่างเดินทางไปหลายประโยคแล้วใบหน้าของนางก็เผยความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น รู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรีบปล่อยนางกลับไปพักผ่อนที่เรือนหว่านเซียง ยังกล่าวด้วยว่า “มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ วันนี้เจ้ากลับไปนอนพักผ่อนดีๆ สักตื่นเถิด”

โจวเสาจิ่นจึงไม่เกรงใจอีก กุมมือพี่สาวแล้วกลับเรือนหว่านเซียงด้วยกัน

ไม่ได้เจอกันหลายเดือน แต่เสวี่ยฉิวยังจำนางได้

นางยังไม่ทันได้เข้าประตูไป เสวี่ยฉิวก็กระโจนเข้าใส่ตัวนางอย่างรวดเร็ว

โจวเสาจิ่นอุ้มเสวี่ยฉิวขึ้นมา

โจวชูจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “รีบวางลงก่อนๆ มันเพิ่งไปเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นมา”

สาวใช้เด็กที่ดูแลเสวี่ยฉิวกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “เดิมทีข้าอยากจะอุ้มมันรออยู่ภายในห้อง แต่จู่ๆ มันก็กระโจนออกจากอกของข้าไปอย่างกะทันหัน แล้ววิ่งออกไปด้านนอกอย่างสุดชีวิต ข้าวิ่งไล่ก็ไล่ตามไม่ทันเจ้าค่ะ…”

“ไม่เป็นไรๆ” โจวเสาจิ่นมองสาวใช้เด็กหน้าตาไม่คุ้นผู้นี้แล้ว จึงรู้ได้ว่าซือเซียงคงแต่งงานออกไปแล้วอย่างแน่นอน นางอดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ ยื่นเสวี่ยฉิวส่งให้สาวใช้เด็กผู้นั้น ถามนางว่า “เจ้าชื่ออะไรหรือ”

สาวใช้เด็กเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวชื่อเสวี่ยเถาเจ้าค่ะ บิดามารดาล้วนอาศัยอยู่กับตระกูลโจว พ่อบ้านหม่าเป็นคนส่งข้าเข้ามาเจ้าค่ะ”

กล่าวได้ว่าเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลโจว

โจวเสาจิ่นยิ้มให้นาง กำชับนางว่าต้องตั้งใจดูแลเสวี่ยฉิวให้ดี ตกเงินรางวัลให้นางเป็นเศษเงินสองก้อน แล้วถึงได้เข้าไปในบ้านพร้อมกับพี่สาว

โจวชูจิ่นให้ในครัวทำโจ๊กขาวกับเครื่องเคียงให้นางอีกไม่กี่อย่างเท่านั้น กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่านั่งเรือนานๆ แล้วจะแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยสะดวก ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบาย จึงตั้งใจทำอาหารจืดๆ เหล่านี้มาเป็นพิเศษ รอพรุ่งนี้ก่อนค่อยให้ในครัวทำของที่เจ้าชื่นชอบพวกนั้นมาให้”

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า ถือโอกาสตอนที่ฉือเซียงกำลังตั้งโต๊ะอยู่นั้นถามถึงเรื่องของซือเซียงขึ้นมา

“เจ้าวางใจเถิด!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ไม่ได้สร้างความลำบากให้นางเลยแม้แต่น้อย นอกจากธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปแล้ว เจ้า ข้า ท่านพ่อ ท่านยายหรือแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนตกรางวัลให้นาง วันที่นางแต่งงานภรรยาของหม่าฟู่ซานยังไปส่งนางด้วยตัวเองอีกด้วย วันนั้นทางครอบครัวของสามีนางมีอาการตื่นกลัวเล็กน้อย ต่อไปย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อนางอย่างแน่นอน นางยังบอกด้วยว่ารอเจ้ากลับมาแล้วนางจะพาสามีกลับมาโขกศีรษะคำนับเจ้าอีกครั้ง”

ชาติก่อน หลังจากที่ซือเซียงแต่งงานออกไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

“เช่นนั้นก็ดียิ่งเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นวางใจลงมาได้ รับมื้อเย็นพร้อมกับพี่สาว

บางทีอาจเป็นเพราะกินจนคุ้นชินกับรสชาติอาหารของบ้านเกิด นางรู้สึกว่าโจ๊กขาวอร่อยกว่ายามกินข้างนอกมากนัก แต่โจวชูจิ่นกลับกินไปเพียงครึ่งชามเท่านั้น จากนั้นก็เอาแต่มองน้องสาวกิน พร้อมกับคีบกับข้าวเติมให้นางอยู่บ่อยๆ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องก็เข้าไปดื่มชาในห้องชั้นใน

เอนตัวลงบนหมอนอิงใบใหญ่บนตั่งหลัวฮั่น แล้วโจวเสาจิ่นก็ถามถึงเรื่องของเฉิงเจียขึ้นมา

โจวชูจิ่นถอนหายใจพลางกล่าว “หลังจากที่พวกเจ้าออกเดินทางไปไม่นาน เหลียงกั๋วกงและซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงก็กลับมาจากจิงเฉิง ซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงมอบหมายให้ใต้เท้าเซินเซินชิงอวิ๋นมาสู่ขอด้วยตัวเอง ถึงแม้ท่านป้าใหญ่หลูจะไม่ได้ตอบตกลง แต่เพื่อยกสถานะของน้องสาวเจีย ก็เผยแพร่เรื่องนี้ออกไปข้างนอก เจ้าคงไม่รู้ว่า ตอนที่พวกข้าไปทำการหมั้นหมายเล็กให้พี่ชายเก้าที่ผูโข่วเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้นั้น ฮูหยินตระกูลเหอหรือก็คือแม่ยายของพี่ชายเก้าหมายจะจับคู่น้องสาวเจียให้กับหลานชายจากตระกูลบ้านเดิมของตัวเอง แต่พอเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ฮูหยินตระกูลเหอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กล่าวว่าจวนสามทำการค้านานจนเกินไป กระทำการใดๆ จึงล้วนไม่ต่างกับตระกูลพ่อค้าเหล่านั้น ไม่แปลกใจที่คนในครอบครัวร่ำเรียนมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นล้วนไปไม่ถึงยศจวี่เหริน เกรงว่าคงเป็นเพราะกระทำการใดก็ล้วนแล้วแต่คิดจะเดินทางลัด แม้แต่ชื่อเสียงก็ยังต้องการซื้อขาย เกี่ยวดองกับตระกูลเช่นนี้ไม่สู้เกี่ยวดองกับครอบครัวชาวนาที่ไม่รู้หนังสือยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ยังมีรากฐานที่จริงใจ ไม่เหมือนท่านป้าใหญ่หลู ไม่เพียงตั้งหน้าตั้งตาที่จะยกสถานะโดยการเหยียบย่ำผู้อื่นไม่พอ ยังหน้าหนาหน้าทนไม่รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนผิดอย่างหน้าไม่อาย…สรุปแล้วก็คือ พูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก! ตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองจินหลิงบางส่วนต่างทราบเรื่องกันแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องสู่ขอน้องสาวเจียเลย แม้แต่งานชมดอกไม้หรืองานฉลองการกินปูที่จัดขึ้นในจวนเหล่านั้น น้องสาวเจียล้วนไม่ได้รับเทียบเชิญ กระทั่งพ่อค้าใหญ่ของเจียงหนานขอให้คนรู้จักมาลองหยั่งเชิงดูท่าทีของท่านลุงใหญ่หลู หมายจะสู่ขอน้องสาวเจียไปเป็นสะใภ้ใหญ่ ทำให้ท่านลุงใหญ่หลูโกรธจนพลั้งปากด่าคนที่มาไปชุดใหญ่ ยังสั่งสอนท่านป้าใหญ่หลูต่อหน้าบ่าวไพร่อย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง ต้องการส่งตัวท่านป้าใหญ่หลูไปปรับพฤติกรรมที่บ้านสวนสักช่วงหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะน้องสาวเจียขอเอาไว้ และนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ที่ออกหน้าช่วยพูดแทนท่านป้าใหญ่หลูแล้วล่ะก็ เจ้ากลับมาหากอยากจะพบหน้าท่านป้าใหญ่หลูคงได้แต่ต้องไปหาที่บ้านสวนเสียแล้ว”

ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นก็พอจะคาดเดาเอาไว้บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาตอบกลับของตระกูลเหอจะรุนแรงถึงเพียงนี้ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ดูจากท่าทางของเจียงซื่อในวันนี้แล้ว ไม่เหมือนท่าทีของคนที่ถูกตำหนิมาเลย

นางกล่าวอย่างเป็นกังวลใจเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าแม้แต่พวกเรา จวนสามก็ไม่พอใจไปด้วยแล้วหรือเจ้าคะ ไหนจะยังทางด้านของจวนเหลียงกั๋วกงอีก เกรงว่าคงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปหรอกกระมัง!”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ” โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างขมขื่น “พวกเราเองก็คิดไม่ถึงว่าฮูหยินตระกูลเหอจะโกรธได้ถึงเพียงนั้น แถมยังกล่าวออกมาอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด นิสัยเช่นนี้ก็ออกจะแข็งกร้าวเกินไปสักหน่อย! ไม่รู้ว่านิสัยของพี่สะใภ้เก้าจะเหมือนมารดาของนางหรือไม่”

เช่นนี้คงไม่ดีแน่!

ชาติก่อน พี่ชายเก้าให้ความเคารพแม่ยายผู้นี้ของเขาเป็นอย่างมาก ต่อให้จวนสี่ตกต่ำลงแล้ว ฮูหยินตระกูลเหอไม่เพียงไม่รังเกียจพี่ชายเก้าด้วยเหตุผลนี้ ในทางกลับกันยังต้องการให้บุตรสาวนำเงินส่วนตัวออกมาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัวอีกด้วย ยังกล่าวด้วยว่า มีคนถึงจะมีเงิน หากไร้ซึ่งคนแล้ว เจ้ามีเงินมากมายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังใช้ทุกอย่างที่ตนมีมาช่วยเหลือจวนสี่อีกด้วย

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านยายเองก็คิดกับพี่สะใภ้เก้าเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”

“ถึงแม้ไม่ได้กล่าวออกมา แต่ข้าคิดว่าคงกังวลใจอยู่บ้างเหมือนกัน” โจวชูจิ่นกล่าว

ชาติก่อนไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เหอเฟิงผิงจึงแต่งเข้ามาอย่างราบรื่นโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

นางไม่อาจปล่อยให้ท่านยายมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหอเฟิงผิงได้

โจวเสาจิ่นกล่าว “พรุ่งนี้ตอนไปคารวะยามเช้าท่านยายข้าจะไปคุยกับท่านยายก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

“ก็ดีเหมือนกัน!” โจวชูจิ่นกล่าว “หากครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวกันทุกอย่างย่อมเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยเรื่องของจวนสามมาทำให้ครอบครัวของพวกเราไม่สงบสุขไปด้วย”

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเรื่องแต่งงานของพี่สาวเจียจะกลายเป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งไปแล้วหรือเจ้าคะ”

“ยิ่งกว่าเรื่องยากเรื่องหนึ่งเสียอีก” โจวชูจิ่นกล่าว “ยังกลายเป็นเรื่องตลกขำขันเรื่องหนึ่งไปด้วย ในเมืองจินหลิงผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าท่านป้าใหญ่หลูต้องการขายบุตรสาว”

หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง เกรงว่าคงจะเศร้าโศกเสียใจยิ่งกว่าเฉิงเจียอีก

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นมาอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “หากรู้เช่นนี้แต่แรก ตอนนั้นข้าก็คงจะตั้งใจฟังพี่สาวเจียดีๆ ว่านางต้องการพูดอะไรกับข้าแล้ว!”

“ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว” โจวชูจิ่นให้กำลังใจนาง “จะไปหานางที่เรือนหรูอี้เมื่อใดก็ย่อมได้ ยังไม่ต้องรีบร้อนในเวลานี้ ตอนนี้จวนสามคิดว่าที่น้องสาวเจียต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฮูหยินตระกูลเหอเป็นผู้สร้างเรื่องขึ้นมา…”

นี่พี่สาวคงกลัวว่านางจะถูกจวนสามรังแกกระมัง

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้านำของกลับมาฝากพวกท่านเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ ถึงเวลานั้นค่อยใช้ข้ออ้างว่านำของฝากไปฝากนาง ให้สาวใช้นำความไปแจ้งนางสักหน่อยก็ได้แล้ว หากข้าไปแล้วพวกจวนสามไม่ชอบใจที่เห็นข้า เช่นนั้นก็ให้นางมาที่นี่ก็ได้กระมัง” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงที่เสียบผมดอกไม้กับปิ่นปักผมที่ทำจากปะการังสีแดงคู่นั้นขึ้นมา นางกระโดดลงจากตั่งหลั่วฮั่น กล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ!” จากนั้นก็ไปเปิดหีบด้วยตัวเอง หยิบเครื่องประดับที่ทำจากปะการังสีแดงทั้งหมดออกมา วางเอาไว้บนตั่งหลัวฮั่น ถามพี่สาวยิ้มๆ ว่า “สวยหรือไม่ นี่สำหรับท่าน ท่านยาย แล้วก็ท่านป้าใหญ่ ท่านเลือกหนึ่งชิ้น ที่เหลือข้าจะเอาไปมอบให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่เจ้าค่ะ”

………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท