Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – บทที่ 68 ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร
แพทริเซียมุ่งหน้าไปยังตำหนักกลางเป็นอันดับแรก ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวดใจเมื่อได้ยินข่าวว่าแพทริเซียจะมาเยือน และเขาก็พอจะเดาออกว่านางจะมาด้วยเรื่องใด ไม่มีทางที่แพทริเซียจะไม่ได้ยินเรื่องนั้นเว้นแต่ว่านางจะหูหนวก ไม่สิ แม้จะหูหนวกนางก็ต้องรู้เป็นแน่
“พระจักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“…เข้ามาได้”
แพทริเซียเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ลูซิโอรู้ดีว่าก่อนที่มรสุมจะพาดผ่าน ท้องทะเลนั้นเงียบสงบเพียงใด เขาหลับตาลงเงียบๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจในอดีตกลายเป็นชนักติดหลัง แต่นั่นเป็นความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจจริงๆ หรือ? ลูซิโอขบคิด ไม่สิ นั่นเป็นความผิดพลาดจากความโง่เขลาเบาปัญญาต่างหาก ไม่อาจเรียกด้วยคำที่สวยหรูอย่างความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจได้
“ฝ่าบาท”
“ว่าอย่างไร จักรพรรดินี”
“ได้ยินว่ามีข้อเรียกร้องให้แต่งตั้งพระสนมอย่างเป็นทางการหรือเพคะ มิหนำซ้ำยังมาจากตระกูลดยุกเอเฟรนีเสียด้วย”
“เป็นเช่นนั้น”
“ไม่สิ ก่อนจะพูดเรื่องนั้น” แพทริเซียฝืนหัวเราะออกมา “หม่อมฉันเป็นหมันอย่างนั้นหรือเพคะ”
“…แค่เสนอให้ลองตรวจดูเท่านั้น จักรพรรดินี”
“เลดี้เอเฟรนีมิใช่คนโง่นะเพคะ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“บอกหม่อมฉันทีเถอะเพคะ ฝ่าบาท มีบางสิ่งที่หม่อมฉันยังไม่รู้ใช่หรือไม่ เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“…จักรพรรดินี”
“หม่อมฉันเป็นหมันหรือเพคะ”
“…”
“แล้ว…แล้วนางรู้ได้อย่างไร!” แพทริเซียถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นางรู้ได้อย่างไร หม่อมฉันไม่เคยรับการตรวจเช่นนั้นเลยสัก…อ้อ!”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็นึกถึงการตรวจร่างกายในวันนั้นขึ้นมาได้ การตรวจร่างกายซึ่งเป็นหัวข้อที่สามในการคัดเลือกจักรพรรดินี…
“การตรวจร่างกาย”
แพทริเซียพึมพำ สีหน้าของนางราวกับเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า ลูซิโอหลับตาลงอย่างเศร้าใจ
“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า”
แพทริเซียหัวเราะราวกับคนเสียสติ เพราะแบบนี้…เพราะแบบนี้พวกท่านถึงเลือกข้า…
“เพราะแบบนี้…เพราะแบบนี้หรือเพคะ ฝ่าบาท เพราะแบบนี้!” แพทริเซียแผดเสียงปนสะอื้นไห้ “เพราะแบบนี้หม่อมฉัน! …จึงถูกเลือกเป็นจักรพรรดินีทั้งๆ ที่มีลูกไม่ได้อย่างนั้นหรือเพคะ”
“…”
เขามิอาจพูดอะไรได้ สิ่งที่หญิงสาวกล่าวมาล้วนเป็นความจริง แพทริเซียถือว่าความเงียบของลูซิโอคือการยอมรับแต่โดยดี และนั่นทำให้นางสะเทือนใจอย่างมาก นางพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ท่าน…”
“…”
“ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร…”
แม้จะเป็นบทพูดที่ซ้ำซากจำเจแต่ตอนนี้ไม่มีคำพูดใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว แพทริเซียร้องไห้อย่างหนักด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“เหตุใดท่านถึงโหดร้ายกับข้าถึงเพียงนี้…”
ทำลายชีวิตคนคนหนึ่ง จากนั้นคนอีกคนที่รักคนผู้นั้นก็ถูกส่งกลับมายังอดีต และสุดท้ายสิ่งที่เขาทำก็คือการมอบความอาภัพและความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า… แพทริเซียไม่อาจยกโทษให้ผู้ชายคนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้านางได้
“ข้าชิงชังตัวเองนักที่มีความสงสารเล็กๆ น้อยๆ ให้กับท่าน”
“…จักรพรรดินี”
“อย่าเรียกข้า” แพทริเซียพูดอย่างรังเกียจ “อย่าเรียกข้าด้วยปากอันโสมมนั่น”
“…”
“ข้าเกลียดท่านและเกลียดตัวเอง ข้าอยากจะฆ่านางโรสมอนด์นั่น”
แพทริเซียพูดทุกเรื่องในใจต่อหน้าลูซิโอเป็นครั้งแรก ยิ่งนางได้รับความกระทบกระเทือนทางใจมากเท่าไร คำพูดของนางก็ยิ่งตรงไปตรงมามากเท่านั้น แพทริเซียพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เอ่อล้นด้วยความเสียใจ
“ท่านกับอลิซาต่างกันตรงไหน”
“…”
“สำหรับข้า ไม่ว่าท่านหรืออลิซาก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด ท่านทำให้ข้าตกนรกทั้งเป็น ทำไม…”
“…”
“ทำไมไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ ขอโทษ? ผิดไปแล้ว? ถ้ามีปากก็พูดออกมา!”
“…เรา…มีสิทธิ์พูดอะไรด้วยหรือ”
“…ก็รู้นี่”
แพทริเซียหลั่งน้ำตาพลางพูดทิ้งท้ายอย่างคับแค้นใจ
“ท่านมันเลวที่สุด”
“…”
“ข้าขอให้ท่านเจ็บเท่าที่ข้าเจ็บ ไม่สิ ขอให้เจ็บยิ่งกว่าข้าเป็นเท่าทวีคูณ”
สิ้นคำแพทริเซียก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ปัง เสียงปิดประตูดังสนั่น ลูซิโอทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นและร้องไห้ให้กับหญิงสาวที่เดินจากไปเงียบๆ
***
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี”
โรสมอนด์ บุตรสาวคนเดียวของตระกูลดยุกได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมของจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ และได้รับบรรดาศักดิ์มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์แพทริเซียก็ได้พบนางอีกครั้ง เลดี้วาเซียร์ออกเรือนไปยังราชรัฐชั้นดัชชี[1]ทันทีหลังพ้นจากตำแหน่งควิเนส ปัจจุบันเลดี้ตระกูลดยุกจึงเหลือเพียงโรสมอนด์คนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องสนมจึงไม่มีทางเลือกมาตั้งแต่แรกแล้ว แพทริเซียคิดว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หญิงสาวจ้องมองโรสมอนด์ที่เข้ามาทักทายตน ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ไปแล้ว
“อืม สีหน้าดูดีทีเดียว ช่วงนี้พระจักรพรรดิคงเสด็จไปหาเจ้าบ่อยสินะ”
“…”
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหลังจากการโต้เถียงในวันนั้น ลูซิโอก็ไม่ได้ไปที่ตำหนักเวนอีกเลย โรสมอนด์ไม่มีทางที่จะไม่รู้ความจริงข้อนี้ นางกัดฟันกรอดก่อนจะตอบโต้อย่างไม่รู้สึกรู้สาในทันใด
“ช่วงนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเองก็ดูผ่องใสนะเพคะ”
“เราหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียตอบรับการทักทายที่ไร้ความหมายของโรสมอนด์ด้วยรอยยิ้มเย็นชา หลังจากเผชิญหน้ากับลูซิโอวันนั้นนางก็ยื่นคำขาดกับเขาว่า ‘หากท่านอยากรับสนมแม้ว่านั่นจะเป็นการลดเกียรติของข้าก็เชิญตามสบาย’ จากนั้นก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากเขาแม้แต่น้อย นางจงใจไม่ตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์และไม่ได้ยื่นคัดค้านผลการคัดเลือก
หลายวันมานี้แพทริเซียดูราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก แม้นางจะยังคงตรวจเอกสารของฝ่ายใน อ่านหนังสือ และเดินเล่นตามปกติ แต่คนรอบกายกลับรู้สึกว่านางดูว่างเปล่ากว่าเมื่อก่อน ความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนจนเปโตรนิยารู้สึกได้
“เพราะเจ้า ทุกวันนี้เราจึงได้อยู่อย่างสบายใจเป็นอย่างยิ่ง”
แม้แพทริเซียจะพูดในเชิงแดกดันแต่โรสมอนด์ก็ตอบโต้อย่างไม่ยี่หระ
“หม่อมฉันก็อยู่อย่างสบายใจด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดีทีเดียว”
แพทริเซียโต้ตอบด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะพูดเรื่องอื่นขึ้นมา
“แต่ตามที่เราได้ยินมาดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะ”
“เพคะ? พระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใด…”
“เรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเจ้าน่ะสิ” แพทริเซียเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย “เมื่อวานเราได้ยินข่าวน่าขนลุกมาว่าปราสาทของบารอนแดโรว์เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จนไม่เหลือซาก”
“…”
“ถึงแม้ตอนนี้บิดามารดาของเจ้าจะเป็นดยุกและดัชเชสเอเฟรนีก็เถอะ…แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นบิดามารดาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามามิใช่หรือ ฟังว่าทั้งบารอนและบารอเนสเสียชีวิตในกองเพลิงทั้งคู่”
“โชคร้ายยิ่งนัก เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ”
“นั่นสิ โชคร้ายจริงๆ มิหนำซ้ำตระกูลไวเคานต์เพอร์ที่พี่ชายของเจ้าแต่งเข้าตระกูลไปก็ล้มละลายด้วยใช่หรือไม่ หากเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของชนชั้นสูง นี่คงเป็นความอัปยศที่ยากจะทานทน”
พูดจบแพทริเซียก็เดินเฉียดกรายเข้าไปใกล้โรสมอนด์ ก่อนจะเดินผ่านไปนางก็แวะกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ฆ่าได้แม้กระทั่งครอบครัวแท้ๆ เจ้านี่จะเลวไปถึงไหนกัน โรสมอนด์ ช่างไม่เกรงกลัวพระเจ้าลงทัณฑ์เอาเสียเลย”
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใดเพคะ พระจักรพรรดินี” โรสมอนด์ยิ้มพลางกระซิบข้างหูแพทริเซียกลับไป “สำหรับหม่อมฉัน ครอบครัวแท้ๆ มีเพียงดยุกและดัชเชสเอเฟรนีกับบุตรชายของพวกเขาเท่านั้น”
“…ได้ หากนั่นเป็นความตั้งใจของเจ้าแล้วล่ะก็นะ”
แพทริเซียพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นและออกเดินต่อ นางรู้สึกว่าโรสมอนด์เขม้นมองไล่หลังมา หญิงสาวฉีกยิ้มและพึมพำถ้อยคำแปลกๆ
“เช่นนั้นข้าลองบังอาจทำตัวเป็นพระเจ้าดูดีไหมนะ”
“เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อแพทริเซียก้าวเข้ามาในตำหนัก มีร์ยาก็เข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อมทันที แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มเปิดเอกสาร นางอ่านเอกสารไปได้ไม่เท่าไรก็เอ่ยถามมีร์ยา
“เปโตรนิยามาช้าจัง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เลดี้แจ้งว่าวันนี้จะไปทำธุระที่ตลาด อาจจะมาสายเล็กน้อยเพคะ”
“แย่จริง ข้าคงงอแงเกินไปแล้ว”
รู้สึกผิดเลย แพทริเซียพึมพำพลางหัวเราะเบาๆ จู่ๆ วันนี้มีร์ยาก็รู้สึกขนลุกอย่างประหลาด นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่แพทริเซียรอดตายอย่างหวุดหวิดในงานเทศกาลล่าสัตว์นางก็ยังไม่รู้สึกเช่นนี้…
“มีร์ยา”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแพทริเซีย มีร์ยาก็หลุดจากภวังค์และรีบขานรับ
“เพคะ พระจักรพรรดินี”
“เจ้ารู้จักสเตอรินไหม”
“สเตอรินหรือเพคะ”
มีร์ยาส่ายหน้า นางเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“มันคืออะไรหรือเพคะ” มีร์ยาถามกลับ
“กลิ่น…ที่หอมมากๆ ได้ยินว่าประเทศหนึ่งทางตะวันออกเรียกมันด้วยชื่ออื่น… แต่เอาเป็นว่ากลิ่นของมันหอมมากจนคนในแถบตะวันออกนำมาใช้เป็นกำยาน”
“กำยานหรือเพคะ”
“คล้ายๆ กับน้ำหอมน่ะ ว่ากันว่าเมื่อจุดกำยาน กลิ่นของมันจะติดตัวและให้กลิ่นหอม” แพทริเซียว่าพลางหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “ก่อนหน้านี้ข้ามิได้ใส่ใจ การมีท่านหญิง[2]คนใหม่ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี อีกทั้งนางยังได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์มาร์เชอเนส หากข้านิ่งเฉยคงจะผิดธรรมเนียม”
“เพคะ…?”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของแพทริเซียทำให้มีร์ยารู้สึกสงสัย เพียงครู่เดียวแพทริเซียก็ยิ้มกว้างและกวักมือเรียก มีร์ยาเข้าไปใกล้ผู้เป็นนาย จากนั้นแพทริเซียก็หยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากลิ้นชักและยื่นให้
“สิ่งนี้…คืออะไรหรือเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาถามด้วยความสงสัย
“ทางตะวันตกคงไม่คุ้นเคยกับกำยานเท่าไรนักเพราะไม่ค่อยได้ใช้ ข้าจึงทำเป็นน้ำหอมแทน เจ้าช่วยนำไปส่งที่ตำหนักเวนที”
“รับด้วยเกล้าเพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยารับกล่องจากแพทริเซียอย่างอ่อนน้อมก่อนจะออกจากห้องไป แพทริเซียมองไล่หลังมีร์ยา ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ แต่เพียงครู่เดียวก็จางหายไป นางกลับไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มทำงานราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
[1] ราชรัฐชั้นดัชชี (Duchy) คืออาณาเขตปกครองที่มีดยุกเป็นประมุข
[2] ท่านหญิง (공녀/คง-นยอ) เป็นคำเรียกยกย่องบุตรีของดยุก เพราะถือว่าเป็นเลดี้ที่มีศักดิ์สูงที่สุดในบรรดาบุตรีตระกูลขุนนาง แต่คำนี้เป็นเพียงคำยกย่องที่ใช้ในบริบทของภาษาเกาหลีเท่านั้น ไม่มีการใช้ในยุโรป