Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 65

ตอนที่ 65

เสียงตะโกนของเด็กสาวตัดผ่านบรรยากาศตึงเครียดและดึงดูดให้สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่เธอ

กลุ่มนักผจญภัยมองเห็นว่าแม้เธอจะอยู่ในสภาพมอมแมม แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร

เมื่อดูจากที่ ‘มอนสเตอร์’ สามารถรักษาพวกเขาได้ เหล่านักผจญภัยก็เริ่มเชื่อว่าสิ่งที่วาห์นพูดตั้งแต่ต้นเป็นความจริง

เอลฟ์ผู้ที่ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาตัดสินใจพูดกับเด็กสาวเพื่อยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น

“ฉันมีชื่อว่าเรย์น วัลส์จากไทคีแฟมิเลีย เชียนโธรปน้อย อธิบายทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งขณะที่ยังคงกำธนูไว้แน่นพร้อมกับรักษาระยะห่างจากวาห์น

เด็กสาวที่บอกว่าตนชื่อนาซ่า เอลิสวิสเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ก่อนที่วาห์นจะมาถึง

เธอเล่าว่ามีนักผจญภัยระดับสูงสองคนที่พบกับปาร์ตี้ของเธอก่อนหน้านั้นกำลังถูกฝูงมอนสเตอร์ไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด

ทั้งสองใช้ปาร์ตี้ของนาซ่าเพื่อดึงดูดความสนใจของมอนสเตอร์ก่อนจะละทิ้งการต่อสู้และหนีไป

“พาสพาเหรด!” (TL: พาสพาเหรด คือการลากฝูงมอนสเตอร์มาหาอีกปาร์ตี้หนึ่งเพื่อให้ปาร์ตี้นั้นต่อสู้แทน)

หัวหน้าของนักผจญภัยสบถออกมาหลังจากได้ยินนาซ่าเล่าถึงตรงนี้

การลากกลุ่มมอนสเตอร์ไปใส่ผู้อื่นถือว่าเป็นสิ่งที่ต่ำช้าและถูกประณามมากที่สุด

มีปาร์ตี้มือใหม่หลายกลุ่มที่ต้องจบชีวิตลงจากผลของการกระทำสิ้นคิดดังกล่าว

ใครก็ตามที่ถูกพบว่าใช้ ‘พาสพาเหรด’ จะได้รับการลงโทษอย่างร้ายแรงจากทางกิลด์เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา

นาซ่าพยักหน้าและกัดฟันเล่าต่อไป

เธอน้ำตาคลอเบ้าขณะพูดเกี่ยวกับพวกพ้องของตนที่พยายามต่อต้านฝูงมอนสเตอร์แต่ก็ค่อยๆ ล้มลงทีละคนเนื่องจากจำนวนมหาศาลของพวกมัน

สถานเริ่มแย่ลงกว่าเดิมเมื่อวอร์ชาโดว์ชนิดพิเศษได้ปรากฏตัวขึ้นและเริ่มสังหารทั้งพวกพ้องของเธอและฝูงมอนสเตอร์

ดูเหมือนวอร์ชาโดว์ตัวนี้จะเพลิดเพลินไปกับการสังหารและก่อนที่เธอจะรู้ตัว นาซ่าก็เป็นคนเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ในที่แห่งนี้

เมื่อมาถึงตอนนี้ นาซ่าก็หยุดเล่าเรื่องของตนและดูเหมือนจะพยายามอธิบายบางอย่าง

เธอเล่าถึงตอนที่ไวท์ชาโดว์เริ่มเข้ามาทรมานตัวเองแล้วก็เริ่มตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อนึกถึงตอนที่มอนสเตอร์ทรมานเธออย่างช้าๆ…

มันโหดเหี้ยมถึงขนาดตัดแขนข้างหนึ่งของเธอก่อนจะโยนเข้าไปในปากของฟร็อกชูตเตอร์

เธอไม่สามารถลบภาพนั้นออกไปได้ก่อนที่จะล้มลงและอาเจียนออกมา

นักผจญภัยทั้งห้าคนเริ่มรู้สึกเห็นใจหญิงสาว

เธอรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่คงจะตายไปแล้วและตอนนี้ก็ต้องอยู่กับผลที่ตามมาจากเหตุการณ์นั้น

ตอนนี้สาวเผ่ามนุษย์แมวผมสีม่วงได้ฟื้นขึ้นมาแล้วและเริ่มลูบหลังของนาซ่าเพื่อปลอบเธอ

หลังผ่านไปอีกสองสามนาที นาซ่าก็ตั้งสติได้และเล่าเรื่องราวต่อไป

เธอข้ามส่วนที่เกี่ยวข้องกับการถูกทรมานไป

ทุกคนเองก็ดูเห็นด้วยว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่าถึงตอนนั้นและยอมให้เธอข้ามไปถึงตอนที่วาห์นปรากฏตัวในวินาทีสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตเธอ

เขาไม่เพียงแต่เอาชนะไวท์ชาโดว์และมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงได้ แต่ยังช่วยเธอฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่เธอหมดสติไปแล้วด้วย

สิ่งที่เธอจำได้หลังจากนั้นก็คือตอนตื่นขึ้นมาเห็นทุกคนกำลังต่อสู้กับคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้จนนำมาสู่สถานการณ์ในตอนนี้

ทุกคนยกเว้นเอลฟ์หนุ่มแสดงสีหน้าเชิงขอโทษและละอายใจ

พวกเขาพอจะสรุปได้ว่าหลังจากที่วาห์นช่วยเด็กสาวได้สำเร็จ เขาก็คงกำลังรอให้เธอฟื้นขึ้นมาก่อนจะช่วยพาเธอออกจากดันเจี้ยน

พวกเขาเข้าใจเรื่องราวผิดหมดเพราะเห็นวาห์นกำลังอยู่ท่ามกลาง ‘ซากศพ’ และเข้าใจว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ครั้งนี้

หัวหน้ากลุ่มดูเหมือนกำลังพยายามหาทางขอโทษวาห์น แต่เอลฟ์หนุ่มก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องที่เด็กคนนี้เป็นมอนสเตอร์นะ

มอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์ทั้งหมดต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากโดยไม่เกี่ยวว่ามันจะฉลาดหรือชอบช่วยเหลือผู้คน

เราไม่รู้ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ และสิ่งที่เกิดทั้งหมดอาจจะเป็นแผนที่ถูกจัดฉากไว้เพื่อต่อยอดในอนาคตก็ได้

เขาอาจจะใช้สถานการณ์นี้เพื่อสร้างความเชื่อใจ หลังจากนั้นก็สร้างปัญหาให้กับกลุ่มคนที่มีจำนวนมากกว่าเดิมก็ได้”

บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดเนื่องจากคำกล่าวหาที่เอลฟ์หนุ่มพูดออกมา

หัวหน้าปาร์ตี้เริ่มตะโกนท้วง

“เรย์น เงียบปากไปก่อนเลย! นี่แกอยากให้พวกเราถูกฆ่าตายกันหมดใช่ไหม!?”

เรย์นตอบอย่างเย้ยหยันโดยเหลือบมองไปทางหัวหน้าปาร์ตี้

“ถ้าเขาโจมตีเราตอนนี้ ก็เหมือนกับเป็นการเผยธาตุแท้ออกมา

ฉันขอแนะนำให้เรารายงานเหตุการณ์นี้ไปทางกิลด์และแจ้งให้พวกเขาทราบว่าเด็กสาวคนนี้อาจถูกหลอกใช้อยู่

เราต้องไม่ยอมให้เธอหลอกพาคนมาตายเพียงเพราะเธอหลงกลอุบายของมอนสเตอร์นะ”

เมื่อเขาพูดจบ เสียงหัวเราะก็เริ่มดังไปทั่วห้อง

ทุกคนหยุดชะงักและหันไปทาง ‘มอนสเตอร์’ ที่ดูเหมือนจะถูกใส่ร้ายว่าเป็น ‘ปีศาจ’ ราวกับว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว

ทุกคนยกเว้นนาซ่าก็เริ่มตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวาห์นก็หยุดหัวเราะก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาของเอลฟ์หนุ่มด้วยสายตาแบบเหยียดๆ

“แปลงโฉมพันหน้า!”

วาห์นกล่าวออกมาแต่ละคำด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ขณะที่พูดคำสุดท้ายออกไป ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง

แทนที่จะมีรูปลักษณ์เหมือนเสือ ตอนนี้เขาแปลงให้ตัวเองดูเหมือนหมาป่าแทน

ทุกคนที่อยู่โดยรอบจ้องมองพร้อมกับอ้าปากค้างขณะที่เอลฟ์หนุ่มรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

มีเพียงนาซ่าเท่านั้นที่รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้และถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อ

“นี่คือเวทมนตร์ ข้อกล่าวหาที่คุณบอกว่าเขาเป็นมอนสเตอร์นั้นไม่มีมูลความจริงอยู่เลย!

คุณไม่เพียงแต่จะพยายามฆ่าเขาตั้งแต่แรก แต่พอสู้ไม่ได้แล้วยังจะมาทำลายชื่อเสียงกันอีกเหรอคะ!?

น่ารังเกียจจริงๆ!”

พอเรื่องทั้งหมดเริ่มชัดเจนแล้ว นาซ่าจึงรู้สึกโมโหเอลฟ์อวดดีคนนี้มาก

เขาไม่เพียงแต่ดูถูกผู้มีพระคุณของเธอ แต่สิ่งที่เขาพูดจะลากเธอและแฟมิเลียของเธอเข้ามาพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยเช่นกัน

ไม่มีใครที่อยากจะคบค้าสมาคมกับแฟมิเลียที่ถูก ‘มอนสเตอร์’ หลอกแน่นอน

เอลฟ์หนุ่มรู้สึกเสียหน้ามากแต่พอเห็นว่าแม้แต่พรรคพวกของตัวเองเริ่มจ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตร เขาก็เลยพยายามเบี่ยงเบนบทสนทนา

“ถึงเขาจะมีเวทมนตร์ที่แปลงตัวเองให้เป็นอสูรได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เป็นการยืนยืนยันว่าเขาไม่ใช่มอนสเตอร์

พวกเราในนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นร่างมนุษย์ของเขามาก่อนเลยนะ!”

หลังจากที่เขาพูดจบ มุมมองของทุกคนก็พลิกผันอีกครั้งซึ่งเบนความสนใจของทุกคนออกจากตัวของเขา

ตอนนี้วาห์นฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้หลายส่วนแล้วและเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

เนื่องจากไม่ได้ต่อสู้มาพักหนึ่ง พลังงานที่ส่งเข้าไปใน [ร่างจตุรเทพ] จึงเริ่มหมดลงและยังคงรูปอยู่ได้เพราะจิตใจและความรู้สึกของตัวเอง

พอได้ยินสิ่งที่เอลฟ์นั่นพูด วาห์นจึงปลดการแปลงร่างลงอย่างไม่ขัดข้อง

ตอนนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งกลุ่มด้วยรูปลักษณ์ปกติโดยมีเส้นผมสีดำและผิวสีแทน

ดวงตาสีเขียวของเขาจ้องมองไปที่เอลฟ์อย่างเกรี้ยวกราดราวกับว่าถ้าไอ้หมอนี่ยังกล้าพูดอะไรอีกล่ะก็….

“พอใจรึยัง? หรือว่าหน้าของนายมันสำคัญมากซะจนอยากแลกชีวิตเพื่อเถียงต่อ!?”

ใบหน้าของเอลฟ์เริ่มบิดเบี้ยวเหมือนเพิ่งกินของแสลงเข้าไป

เขาอยากจะค้านคำพูดนั่นและกำลังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ออกมา

เมื่อวาห์นเห็นดังนั้น เขาจึงชิงพูดขึ้นมากก่อน

“ฉันชื่อ วาห์น เมสัน เป็นสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลียและอยู่ภายใต้การดูแลของกัปตันสึบากิ คอลแบรนด์

นายบอกว่านายชื่อ เรย์น วัลส์ จากไทคีแฟมิเลียใช่ไหม?

เอางี้แล้วกัน ฉันมั่นใจว่าเทพของพวกเราคงช่วยสะสางเรื่องนี้ให้ได้แน่”

หลังจากที่วาห์นหย่อนระเบิดทิ้งไว้ เขาก็เริ่มเดินตรงไปยังทางออก

เขาช่วยเหลือเด็กสาวเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งก็เขาเองรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเธอก็คือนาซ่าจากในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง

ตอนนี้เขาได้ช่วยเธอไม่ให้สูญเสียแขนไป ซึ่งทำให้มิอาคแฟมิเลียไม่ต้องตกเป็นหนี้จากการซื้อแขนเทียมและสูญเสียอำนาจที่มีอยู่*

วาห์นหวังว่าเรื่องนี้จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่ากว่าในมังงะ

เมื่อเห็นวาห์นเดินออกไป ทั้งปาร์ตี้ก็เริ่มคิดว่าต่อให้เขาไม่ใช่ ‘มอนสเตอร์’ แต่ก็ยังแข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ดี

แฟมิเลียของพวกเขาเป็นเพียงแฟมิเลียระดับ C โดยนักผจญภัยทื่แข็งแกร่งที่สุดในแฟมิเลียก็คือกลุ่มของพวกเขาเองซึ่งเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 เท่านั้น

การไปหาเรื่องแฟมิเลียระดับ S ขนาดใหญ่อย่างเฮเฟสตัสแฟมิเลียนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลามาก!

หัวหน้าปาร์ตี้รีบพูดขึ้นก่อนจะพยายามไล่ตามวาห์นที่กำลังจะออกไป

“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อนนะ รอก่อน! เรามาพูดเรื่องนี้กันใหม่ดีไหม? ไม่เห็นต้องทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเลย!

มาเถอะ ผมจะให้ทุกคนมาขอโทษคุณเอง

เรย์น ขยับก้นแหลมๆ ของแกมาตรงนี้เลย!”

ชายที่ชื่อโบอัซลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก

เขาอยากจะบีบคอเพื่อนของตนที่ทำให้เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ หรืออย่างน้อย ก็อยากจะป้องกันไม่ให้เรย์นเปิดเผยชื่อและแฟมิเลียที่พวกเขาสังกัดอยู่!

พอเข้ามาใกล้วาห์น เขาก็พยายามวางแขนลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนที่จะถูกหลังมือใส่อย่างรุนแรงซึ่งทำให้กระดูกซี่โครงร้าวไปหลายซี่และทิ้งรอยยุบไว้บนเกราะของตน

วาห์นมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“คราวหน้าถ้านายยังกล้ามาแตะตัวตัวฉันอีก… คงไม่จบแค่นี้แน่ๆ”

วาห์นออกเดินต่อไปโดยไม่คิดจะเสวนากับคนกลุ่มนี้อีก

นาซ่ารู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

เธอรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนจะไล่ตามหลังเขาไป เธอไม่ชอบนักผจญภัยกลุ่มนี้เท่าไหร่และคิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หยิ่งยโสและทำตัวแย่มาก

แม้ว่าวาห์นจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่เขาก็ช่วยชีวิตและรักษาบาดแผลให้กับเธอ

การตามเขาไปน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าทิ้งตัวเองไว้กับคนกลุ่มนี้

วาห์นไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่เธอไล่ตามมาทัน เขาเพียงแค่พยักหน้าและยิ้มให้เธอเล็กน้อย

เธอรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่า ‘ความเย็นชา’ หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากแยกตัวออกจากกลุ่มใหญ่

แม้พอมาคิดดูดีๆ แล้วเธอก็เข้าใจว่าเขาคงจะโกรธมากหลังจากโดนคนกลุ่มนั้นโจมตีใส่

ดูจากการที่เขายอมช่วยเหลือเธอ แก่นแท้ของเขาจะต้องเป็นคนจิตใจดีอย่างแน่นอน

นาซ่าถอนหายใจโล่งอกและส่งยิ้มกลับไป

“ฉันชื่อ นาซ่า ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะ วาห์น”

วาห์นค่อยๆ ส่ายหัวและยิ้มให้กับเธอแทนคำตอบ

นาซ่ารู้สึกสับสน แต่ความกังวลของเธอก็ได้รับคำตอบในทันที

“เธอจะปลอดภัยหลังจากที่เราพาเธอออกไปจากดันเจี้ยนมืดๆ นี่ได้

เธอน่าจะยังรู้สึกตกใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นและคงจะรู้สึกแย่กว่านี้มากเมื่อสติเริ่มกลับมา

สำหรับตอนนี้คงต้องขอให้ทนไปก่อนนะ ฉันสัญญาว่าจะปกป้องเธอจนกว่าเธอจะได้พบกับแฟมีเลียข้างบนพื้นดินอีกครั้ง”

เมื่อได้ยินคำพูดอ่อนโยนของเขา นาซ่าก็เริ่มร้องไห้

แม้ว่าเธอจะพยายามทำใจเย็นตอนที่กำลังเล่าเรื่อง แต่เธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดมากจากการสูญเสียเพื่อนพ้องไป

เธอนึกว่าคงจะไม่รอดแล้วแน่ๆ ก่อนที่วาห์นจะช่วยเธอไว้ แถมตอนนี้เขายังสัญญาว่าจะปกป้องเธอและพูดราวกับอ่านใจเธอออก

เธอพยายามปิดปากของตัวเองเพื่อกลบเสียงสะอื้น แต่ความเสียใจก็ได้รับชัยชนะและทำให้เธอทรุดลงบนพื้นด้วยความโศกเศร้า

เมื่อวาห์นเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดออกมากลับส่งผลตรงกันข้าม เขาก็โน้มตัวลงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน

การกระทำของเขาทำให้นาซ่าหยุดกลั้นน้ำตาและเริ่มร้องไห้เสียงดังขณะยังอยู่ภายในอ้อมแขนของเขา

วาห์นโอบกอดเธออย่างเบามือแต่ก็หนักแน่นพอที่จะปลอบโยนหญิงสาวผู้ที่เพิ่งจะสูญเสียเพื่อนพ้องไป

เขายังคงปลอบเธอต่อไปขณะที่กลุ่มนักผจญภัยห้าคนเดินผ่านด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

วาห์นเพียงแค่ทำหน้าเคร่งขรึมใส่พวกเขาโดยไม่ได้พูดอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพอเข้าใจและไม่เข้ามาพูดอะไรต่อ

พวกเขาเดินห่างไปเรื่อยๆ และคงวางแผนที่จะออกจากดันเจี้ยนและแจ้งสถานการณ์ให้กับแฟมิเลียของตนฟัง

หลังจากผ่านไปหลายนาที นาซ่าก็หยุดร้องไห้และผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของวาห์น

วาห์นมองลงไปที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงสาวและรู้สึกสงสารเธอมาก

ความคิดทั้งหลายเริ่มผุดขึ้นมาในใจของเขาแต่วาห์นก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อน

สำหรับตอนนี้ เขาอุ้มร่างของนาซ่าขึ้นมาอย่างแน่นหนาขณะออกวิ่งผ่านดันเจี้ยนและตรงไปยังบันไดที่เขาแยกทางกับลิลลี่

(TL: ‘หยิ่งได้ก็หยิ่งไปก่อน’, ‘มาวัดกันหน่อยว่าเทพของใครใหญ่กว่ากัน’, ‘สกิลแฝง [ตบกลับ: SSS]’

*สำหรับนาซ่านั้นบางคนอาจจะไม่รู้จัก เธอคือนักธนูเผ่าเชียนโธรปที่อยู่กับเทพมิอาค ในเนื้อเรื่องหลักนั้นถึงเธอจะได้รับการช่วยเหลือแต่ก็ต้องสูญสียแขนไป มิอาคลงทุนซื้อแขนเทียมให้กับเธอ (แพงมาก) ซึ่งทำให้แฟมีเลียต้องตกเป็นหนี้มหาศาลจนสมาชิกหลายคนถึงขั้นลาออก ส่วนนาซ่าก็แน่นอนว่ารู้สึกซาบซึ้งต่อมิอาคและทำหน้าที่เป็นกัปตันเพื่อรับใช้แฟมิเลียต่อไป

มิอาคคือเทพคนที่ขายพวกไอเท็มยาต่างๆ มีผมยาวสีน้ำเงินและเป็นเพื่อนของเฮสเทียด้วย)
—————

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท