Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 154

ตอนที่ 154

มันยังคงเป็นช่วงบ่าย ดังนั้นหลังจากที่วาห์นลูบหูของอนูบิสไปครู่หนึ่ง เธอก็เดินออกไปโดยเอาแต่เฝ้าคิดถึงเรื่องในคืนนี้

ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขมากและตั้งตารออย่างในจดใจจ่อจนวาห์นอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับท่าทางของเธอ

ริบบิ้นสีทองรอบโคนหางของเธอนั้นช่างดูโดดเด่นจากเสื้อผ้าชิ้นอื่นเหลือเกิน และวาห์นก็เอาแต่จ้องตามขณะที่เทพสาวเดินออกไป

วาห์นส่ายหัวและมุ่งหน้าไปยังห้องนอนเพื่อเตรียมทำตามแผนที่วางไว้

หลังจากมาถึงแล้ว วาห์นก็นอนลงบนเตียงและผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่ง

เขาอยู่ในสภาพตึงเครียดมาเกือบตลอดทั้งวันและอยากทำให้จิตใจสงบก่อนที่จะเริ่ม

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เขาก็ยิ้มและเผยแววตาคาดหวังขณะดึงลูกแก้วสีดำออกมา

เขารู้มาจากพี่สาวว่ากระแสเวลาภายในลูกแก้วนั้นมีอัตราส่วนที่ 1440: 1

นั่นหมายความว่าตราบใดที่วิญญาณของเขาอยู่ในนั้นซึ่งวาห์นสามารถใช้เวลาได้ทั้งบ่ายประมาณห้าชั่วโมง และพอแปลงออกมาแล้วก็จะเป็นเวลากว่า 300 วัน

วาห์นเพ่งจิตของเขาเข้าไปในลูกแก้วในมือและเปิดตาขึ้นมาในโลกมิติสีขาวดำ

เอวานเจลีนกำลังรอเขาอยู่ แต่ตอนนี้เธออยู่ในร่างผู้ใหญ่และสวมชุดสีดำหรูหรา

เธอดูเหมือนรู้ว่าเขาจะมาขณะเริ่มพูดขึ้น

“ดี มาได้สักทีนะ มีหลายเรื่องที่เราต้องคุยกันก่อนที่ฉันจะรับนายมาเป็นศิษย์”

วาห์นพยักหน้า แต่เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

“ทำไมเธอถึงกลับไปร่างผู้ใหญ่อีกแล้วล่ะ? มันไม่กินพลังงานเหรอ?

เอวานเจลีนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและไม่ยอมคำถามขณะพูดต่อ

“ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกมาสเตอร์ อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว หรือว่าอยากให้ฉันทำโทษ?”

วาห์นรู้สึกว่าอากาศรอบๆ ตัวเริ่มเย็นลงขณะที่เขาหัวเราะแห้งๆ

“ขออภัยด้วยครับ มาสเตอร์ พอดีวันนี้ผมมีเรื่องเยอะไปหมดเลยน่ะ”

เอวานเจลีนถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“หืม ไปเจออะไรมาล่ะถึงได้หลงลืมขนาดนี้?

อย่าบอกนะว่า… ไปเล่นสนุกกับพวกผู้หญิงของนายมา?”

เมื่อถามออกไป เอวานเจลีนก็มองวาห์นด้วยสายตาและออร่าที่เย็นกว่าเดิมจนเขาหายใจออกมาเป็นไอ

วาห์นเริ่มอบอุ่นร่างกายด้วย ‘เพลิงนิรันดร์’ และอธิบายข้อกล่าวหา

“ผมไม่ได้ไปเล่นสนุกนะครับ มาสเตอร์ แต่จริงๆ ตอนแรกก็ไปออกเดตกับลูกครึ่งเอลฟ์ที่ชื่อเอน่า

ตอนมื้อกลางวัน พวกเราได้หมั้นกันก่อนที่จะไปพบกับเฮเฟสตัสแล้วผมก็ได้หมั้นกับเธอด้วย”

วาห์นยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่าเรื่อง แต่เขาก็รู้สึกว่าอากาศก็ยังเย็นลงเรื่อยๆ ขณะหันไปมองเอวานเจลีนร่างผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

ทันใดนั้นเธอพูดเสียงต่ำ

“นับจากนี้ ห้ามพูดเรื่องผู้หญิงคนอื่นให้ฉันได้ยินอีก

ฉันไม่ต้องการที่จะฟังเรื่องเด็กๆ มาเล่นกัน ทั้งๆ ที่นายควรจะตั้งใจไปกับการฝึก”

เธอเบือนหน้าหนีวาห์น และเขาบอกได้ว่าเธอกำลังอารมณ์เสียเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้เธอดูถูกผู้หญิงของเขาง่ายๆ แบบนี้

แทนที่จะเลี่ยงแรงกดดันของเธอ วาห์นกลับอธิบายด้วยเสียงหนักแน่น

“มาสเตอร์ไม่ควรดูถูกคนอื่นแบบนี้นะครับ

เฮเฟสตัสที่เป็นหนึ่งในของผู้หญิง เธออยู่มาหลายล้านปีแล้ว

ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องเศร้าๆ ที่เราเคยเจอมา ความอ้างว้างเดียวดายของเธอนั้นถือว่าอยู่สูงกว่าหลายขุมเลย”

เอวานเจลีนรู้สึกหงุดหงิดที่วาห์นลุกขึ้นมาเถียง แต่พอได้ยินคำพูดเขาแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“หลายล้านปี? จะเป็นไปได้ยังไงกัน… อย่าบอกนะว่าเธอคนนั้นก็เป็นอมตะ?”

วาห์นพยักหน้าและอธิบายต่อ

“เธอคือเฮเฟสตัส เป็นเทพธิดาแห่งการหลอมสร้าง และมีชีวิตอยู่มาก่อนที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะถือกำเนิดขึ้น”

เอวานเจลีนทำสีหน้าและพูดจาเย้ยหยันให้กับคำพูดของวาห์น

“เทพธิดาแห่งการหลอมสร้างเนี่ยนะ?

อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลยนะเจ้าหนู แน่ใจนะว่าเธอไม่ได้หลอกนายจนสติไปหมดแล้ว?”

แม้เอวานเจลีนจะรู้ถึงการดำรงอยู่ของทวยเทพ แต่เธอก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะมาอยู่ร่วมกับมนุษย์และมักจะอยู่ในรูปของสิ่งที่เป็นนามธรรมมากกว่าเลือดเนื้อทั่วไป

คำพูดและน้ำเสียงของเอวานเจลีนทำให้วาห์นรู้สึกโมโหขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปแค่วันเดียวหลังจากที่พวกเขาหันมาประนีประนอมและเรียนรู้เรื่องอดีตของกันและกัน แต่เธอก็ทำเหมือนว่าเขากำลังโกหกเธอเล่นๆ

แทนที่จะพูดคุยกับเธอต่อ วาห์นจึงเอาแต่ส่ายหัวด้วยความไม่พอใจและเดินออกไปแบบไม่พูดไม่จา

ถ้าเธอรับความจริงไม่ได้ เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ?

เมื่อเห็นวาห์นเดินออกไป เอวานเจลีนก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงโมโห

“นี่นายจะไปไหน? ฉันบอกแล้วไงว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันถ้านายต้องการที่จะมาเป็นลูกศิษย์ของฉัน

นี่นายจะไม่สนใจคำสั่งของมาสเตอร์งั้นเหรอ?”

เท้าของวาห์นหยุดลง และเอวานเจลีนก็มีรอยยิ้มนิดๆ หรืออย่างน้อยก็จนกว่าที่วาห์นจะหันกลับมาและทำให้เธอรู้สึกตกใจสุดขีด

ดวงตาของวาห์นเปล่งประกายออกมาเป็นแสงสีน้ำเงินแปลกๆ ขณะที่เขาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเฉยเมยคล้ายกับตอนที่เธอพยายามดูดเลือดของเขา

เมื่อเห็นดวงตานั่นอีกครั้ง เธอก็รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังถูกบีบคั้นอย่างเจ็บปวดขณะที่ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา

วาห์นมองแวมไพร์สาวต่อไปอีกสองสามวินาทีก่อนจะพูดอย่างเหนื่อยล้า

“แม้สิ่งที่ฉันบอกจะเป็นความจริง แต่เธอก็มาดูถูกฉันและกล่าวหาคนที่ฉันรักและห่วงใยว่าเป็นคนหลอกลวง

ฉันไม่แน่ใจว่าลูกแก้วนี่มาจากโลกไหนหรอกนะ แต่โลกใบนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆ และไม่ใช่แค่คนสองคนด้วย

พวกเขามีกันเป็นพันๆ ในเมืองที่ฉันอยู่ และแต่ละคนก็มีแฟมิเลียเป็นของตัวเอง

ถึงเฮเฟสตัสจะไม่เคยบอกฉันว่าเธอมีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้ว ฉันก็สามารถหาข้อมูลนี้จากห้องสมุดยังได้เลย”

วาห์นส่ายหัวและหันกลับก่อนจะเดินต่อไปในขณะที่พูดต่อ

“ฉันไม่ต้องการมาสเตอร์ที่ไม่เชื่อใจกันหรอกนะ แค่มาพูดจาดูถูกในขณะที่ฉันพูดความจริงก็แย่พออยู่แล้ว…”

วาห์นเดินต่อในขณะที่เอวานเจลีนรู้สึกกังวลและไม่สบายใจเมื่อเห็นเขาเดินออกไปเรื่อยๆ

ในตอนที่เขาพูดออกมาตอนแรกนั้น เธอก็มองออกว่าเขาเชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดอย่างสนิทใจ

เธอแค่ไม่เชื่อว่าบุคคลที่เขาพูดถึงนั้นจะเป็นเทพจริงๆ และลืมไปว่าพวกเขามาจากโลกที่ต่างกัน

ในโลกที่วาห์นอยู่นั้นอาจจะมีเทพเจ้าอยู่จริงๆ ก็เป็นได้ แต่เธอก็ดันพูดออกไปโดยใช้ความเข้าใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง

เธออยากจะหยุดเขาและกล่าวขอโทษแต่ก็ไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีให้กับคนที่ควรจะพยายามขอให้เธอรับเป็นลูกศิษย์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง

สีหน้าที่เขาใช้กับเธอนั้นแทงทะลุหัวใจเข้าอย่างจัง แต่เธอก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะศักดิ์ศรีของเธอในฐานะที่เป็น ‘ราชินีแห่งความมืด’

ตอนนี้เธอก็เลยได้แต่ฮึ่มฮั่มอย่างไม่พอใจและดังมากพอที่วาห์นจะได้ยินก่อนจะหายตัวเข้าไปในความว่างเปล่า

เอวานเจลีนเชื่อว่าหลังจากที่วาห์นเย็นลงแล้ว เขาก็จะยอมแพ้และกลับมาง้อให้เธอรับเป็นลูกศิษย์เอง

เธอยังวางแผนที่จะทรมานเขาสักเล็กน้อยเพื่อสั่งสอนเสียหน่อย ก่อนที่จะได้เริ่มบทเรียนกันจริงๆ

วาห์นไม่ได้มองตอนที่เอวานเจลีนหายตัวไป และความคิดที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ของเธอนั้นได้หายไปจากสมองของเขาหมดแล้ว

แม้จะอยากเรียน ‘มาเกียเอเรเบีย’ แต่เขาก็คิดที่จะใช้มิตินี้เพื่อทำสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านั้นแทน

พื้นสีขาวนั้นกระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และวาห์นก็เดินออกไปเกือบชั่วโมงก่อนที่จะหยุดลงหลังพบจุดที่เหมาะสม

เขาเริ่มนำไอเท็มมากมายออกมาจากช่องเก็บของ และใช้ระบบร้านค้าเพื่อซื้อโต๊ะทำงาน เครื่องมือต่างๆ และแม้แต่เตาหลอม

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พื้นที่ 10 ลูกบาศก์เมตรก็ถูกแปลงเป็นห้องทำงานที่อยู่ภายในพื้นที่สีขาวอันสุดลูกหูลูกตา

เขาเริ่มปล่อย ‘เพลิงนิรันดร์’ ออกมาและนำมันไปใส่ไว้ในเตาหลอมที่เพิ่งซื้อมาในราคา 40,000 OP

แม้ว่าเขาจะใช้ ‘เพลิงนิรันดร์’ ผ่านค้อนได้ แต่วาห์นอยากเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับวิธีการหลอมแบบปกติแทนการควบคุมเพลิงด้วยตัวเอง

จากความว่างเปล่าที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของวาห์น เอวานเจลีนก็กำลังเฝ้ามองเขาด้วยความสับสนและอยากรู้อยากเห็น

เธอเดินตามขณะที่วาห์นเดินจากไปเพราะสงสัยว่าเขาจะทำอะไรกันแน่

เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะเริ่มนำไอเท็มออกมาและตั้งห้องทำงานอย่างเต็มรูปแบบ

แม้เวทคลังเก็บของจะไม่ได้เป็นอะไรใหม่สำหรับเธอ แต่การเก็บของเอาไว้ได้มากมายขนาดนี้นั้นไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ และเธอสัมผัสไม่ได้เลยว่าวาห์นใช้เวทมนตร์ออกมาตอนไหน

สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือเปลวเพลิงสีทองและแดงที่โผล่ขึ้นมาจากมือของเด็กหนุ่มและถูกนำมาวางไว้ในเตาหลอม

เนื่องจากธาตุที่ตนถนัดคือความมืดและน้ำแข็ง เธอรู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เปลวไฟนั่นเท่าไหร่

วาห์นเริ่มทำการแปรรูปวัตถุดิบและประหลาดใจไปกับความคิดปราดเปรื่องของตัวเอง

แม้ว่าร่างกายจะเป็นแค่วิญญาณเมื่อมาอยู่ในนี้ แต่เขาก็ยังสามารถใช้ระบบจาก ‘เดอะพาธ’ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

นั่นทำให้เขาสามารถนำสิ่งของเข้ามาในลูกแก้วได้ และตอนนี้เขาก็สามารถฝึกฝนการสร้างไอเท็มได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาของโลกภายนอก

ด้วยความช่วยเหลือของพี่สาว วาห์นคำนวณได้ว่าถ้าเขาใช้เวลาทุกวันในช่วงบ่ายจนถึงเย็นภายในลูกแก้ว เขาจะมีเวลามากถึง 57 ปีเพื่อฝึกฝนทักษะ

นั่นเป็นเวลาที่คำนวณโดยนับจากเดนาตัสครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในอีกประมาณ 70 วัน

เขาเริ่มแปลงวัตถุดิบที่นำเข้ามาให้อยู่ในรูปแบบที่เอาไปต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือแผนส่วนที่สองของวาห์นและเป็นเหตุผลที่เขาใช้ OP เป็นจำนวนมากไปกับห้องทำงานนี้

เมื่อสกิลในการตีเหล็กของเขาเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ได้ขายอุปกรณ์คืนให้กับระบบ เขาก็จะยังได้รับ OP จำนวนมากจากการตั้งชื่อไอเท็มที่สร้างขึ้นใหม่

จากนั้นเขาก็จะใช้ OP ที่ได้มาซื้อวัตถุดิบเพิ่มจากระบบร้านค้าและสร้างไอเท็มวนกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเท่ากับว่าเขาจะได้ทั้ง OP และวัตถุดิบอีกมากมาย

เอวานเจลีนยังคงเฝ้าดูทุกการกระทำของวาห์นจากความว่างเปล่า และเธอก็อยากจะถามเหลือเกินว่าเขาเข้ามาในลูกแก้วของเธอเพื่อฝึกสร้างไอเท็มเท่านั้นเองเหรอ?

เธอรู้ว่าเขาคงอยากจะใช้ประโยชน์จากกระแสเวลาของลูกแก้ว แต่เธอไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องเสียเวลาในการทำวัตถุดิบและสร้างอุปกรณ์ที่ไม่สามารถเอาออกไปข้างนอกได้

แม้อาจจะได้รับประสบการณ์กับความรู้ แต่เขาก็ยังต้องเสียเวลากับการทำงานที่ไร้ความหมายเพราะวัตถุที่เขาสร้างขึ้นมานั้นเป็นเพียงแค่โครงสร้างทางวิญญาณ

แย่หน่อยสำหรับเอวานเจลีนที่เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไอเท็มที่วาห์นผลิตออกมานั้นเป็นไอเท็มจริงๆ ที่เขาสามารถเอาออกจากมิตินี้ได้แบบสบายๆ

สิ่งที่เรียกว่า ‘เดอะพาธ’ อยู่เหนือความเข้าใจของแวมไพร์สาวแม้เธอจะมีดวงวิญญาณระดับ 5 และมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม

เธอแค่เฝ้ามองเขาต่อไปเพื่อแก้เบื่อขณะพูดวิจารณ์ออกมาในแบบที่ตัวเองได้ยินคนเดียว

วาห์นจัดการวัตถุดิบต่อไปเรื่อยๆ เป็นเวลาเกือบสามวันจนกระทั่งร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด

เขาหยุดพักไประยะหนึ่ง และรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะรู้สึกเหนื่อยเพราะตนมีอัตราการฟื้นฟูที่สูงมาก

พอเวลาผ่านไปเกือบ 72 ชั่วโมง วาห์นและ ‘เพลิงนิรันดร์’ ในเตาหลอมก็เริ่มสลายไปและเขาก็ตระหนักว่ากำลังถูกบังคับให้ออกจากมิติ

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเคืองๆ เพราะคิดว่าเอวานเจลีนคงส่งเขาออกไปเนื่องจากรำคาญที่เขาไม่สนใจเธอ

เมื่อร่างของเด็กสาวปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและมาอยู่ตรงหน้าวาห์น เขาก็ได้แต่กัดฟันอย่างไม่พอใจ

เอวานเจลีนเห็นสีหน้าของเขาจึงขมวดคิ้วและอธิบายให้ฟัง

“ไม่ต้องมามองแบบนี้เลยนะ ได้เด็กงี่เง่า

จิตของนายจะอยู่ที่นี่ได้ไม่เกินสามวันก่อนที่ลูกแก้วจะส่งนายออกไป

นายต้องรออีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนที่จะกลับเข้ามาใหม่ได้ แต่ครั้งหน้าต้องเตรียมพร้อมให้ดีล่ะ

รอบนี้ฉันอาจปล่อยให้นายทำตามใจชอบ แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”

วาห์นพอบอกได้ว่าเธอกำลังพูดความจริง ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจก่อนที่จะพูดบ้าง

“ฉันไม่ต้องฝึกวิชาของเธอแล้วล่ะ เอวานเจลีน

ฉันอยากใช้เวลาในการฝึกสร้างไอเท็มมากกว่าต้องมาทนรับอารมณ์ของเธอ

แล้วเจอกันนะ…”

พอพูดจบ วาห์นก็สลายหายไปเป็นอนุภาคเล็กๆ ที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

เอวานเจลีนมองตามละอองนั่นไปด้วยสีหน้าที่คิ้วขมวดสุดๆ

การที่วาห์นต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากมิติเพื่อความสะดวกของตัวเองนั้นทำให้เธออารมณ์เสียมากและเริ่มอยากจะอัดเด็กหนุ่มไร้มารยาทอีกสักยก

มันอาจจะสะดวกที่เขามีเวลามากกว่าคนทั่วไปถึงสามวัน แต่สำหรับเวลาที่เหลืออีก 23 ชั่วโมงและ 54 นาทีนั้น เธอจะต้องติดอยู่ในมิตินี้ไปอีก 4 ปี…

แวมไพร์สาวเริ่มหันไปมองสิ่งของต่างๆ ที่วาห์นทิ้งเอาไว้เมื่อถูกขับออกไปจากมิติโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

เอวานเจลีนอดไม่ได้ที่จะหยิบเครื่องมือขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ไอเท็มพวกนี้ควรจะหายไปเมื่อวาห์นออกไปแล้ว แต่ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมจนเธอเริ่มสับสน

พอสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของค้อนในมือ เอวานเจลีนก็อดคิดไม่ได้ว่าค้อนนี่มันเป็นของจริง ไม่ใช่โครงสร้างทางวิญญาณ

เธอตระหนักว่าวาห์นยังมีความลับอีกมากมายที่เธอไม่รู้ แต่ตอนนี้ก็คงยากหน่อยที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพวกมันหากดูจากทัศนคติที่เขามีต่อเธอ

เธอถอนหายใจยาวๆ และวางค้อนลง ก่อนที่จะกลับเข้าไปในความว่างเปล่าเพื่อรักษาพลังเวท

เธอขดตัวเป็นลูกบอลและเริ่มเข้าสู่สภาวะจำศีลพร้อมกับสาปแช่งเด็กหนุ่มที่ไม่มาสนใจกันบ้างเลย

เอวานเจลีนรู้สึกว่าเขาไม่สนใจที่จะเป็นศิษย์ของเธอเลยแม้แต่น้อย และนั่นทำให้เกิดคำถามว่าทำไมเธอถึงต้องปล่อยให้เขาเข้ามาอีก

หากเขาไม่เปลี่ยนทัศนคติในเร็ววัน เธอก็จะวางแผนไม่ให้เขาเข้ามาใช้ที่นี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท