Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 176

ตอนที่ 176

วาห์นสัมผัสได้ว่าเวลาเริ่มกลับมาเดินต่ออีกครั้งขณะที่ภาพต่างๆ เลือนหายไป

อดีตของซีลนั้นแตกต่างจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง และนั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจช่วงวัยเด็กของเธอ

แม้จะยังไม่ได้พบกับเฟรย่าแต่วาห์นก็ตระหนักแล้วว่าเธอเป็นคนแบบไหนผ่านทางอดีตของซีล

ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเทพสาวนั้นนับวันยิ่งจะดูเลวร้ายลงทุกที

สำหรับตัวซีลเอง ตอนนี้เขาไม่แน่ใจเช่นกันว่าควรจะรู้สึกอย่างไรโดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอ

ซีลที่กำลังรอคำตอบของวาห์นอยู่นั้นรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและหันมาจ้องมองเธอ หญิงสาวรู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังมองเห็นเธอแบบ ‘ทะลุปรุโปร่ง’

มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้น แต่สายตาอ่อนโยนที่ดูเห็นอกเห็นใจนั่นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเสียมากกว่า

เธอเห็นแล้วว่าเขาดู ‘เข้าใจ’ เธอ และมันทำให้หญิงสาวไม่อยากจะจินตนาการเลยว่ากำลังถูกมองว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน

วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีเทาอ่อนของซีลและเห็นว่าออร่าของเธอเริ่มแปรปรวนพร้อมมีเฉดสีม่วงเล็กน้อย

เขาเข้าใจว่าแม้ความร่าเริงจะยังไม่หายไป แต่เธอก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆ

วาห์นรู้สึกทึ่งกับความสามารถในการอ่านคนอื่นของเธอมาก โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นความยากลำบากในระหว่างการฝึกแสนโหดกับเฟรย่า

ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นว่าออร่าของเธอเริ่มนิ่งสงบอีกครั้งก็เลยถอนหายใจออกมา

ซีลพบว่าถึงวาห์นจะอ่านเธอออก แต่เขาก็ยังเดานิสัยของเธอไม่ออก

ความรู้สึกหวาดกลัวจึงค่อยๆ ลดลงโดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความกังวลในสายตาของเด็กหนุ่ม

ทุกอย่างช่างดูน่าสงสัยไปหมด แถมเธอยังคาดไว้ว่าวาห์นนั้นดูทุกอย่างออกหมด

ทั้งดูออกว่าเธอกำลังรู้สึกกลัว และดูออกด้วยว่าตอนนี้เธอดีขึ้นแล้ว

นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซีลได้พบกับคนที่เข้าใจเธออย่างแท้จริง (หากไม่นับเฟรย่า)

สัมผัสของวาห์นนั้นพอจะเทียบเคียงหรืออาจจะล้ำลึกยิ่งกว่าสัมผัสของเธอเสียอีก

ความแตกต่างเดียวระหว่างพวกเขานอกเหนือไปจากเรื่องเพศก็คือ ดูเหมือนว่าวาห์นจะควบคุมสีหน้าของตนเองไว้ไม่ได้เลย

วาห์นไม่เคยคิดกับซีลในทางที่ไม่ดี และภาพในอดีตก็ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองของเขาไปแม้แต่น้อย

แม้หญิงสาวอาจทำเรื่องต่าง ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าน่าสงสัย แต่เธอก็ไม่เคยหลอกใช้หรือทำร้ายใครจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะการบงการจากเฟรย่าและเหตุการณ์ในวัยเด็ก เธอคงจะมีชีวิตที่มีความสุขหากได้เรียนรู้วิธีควบคุมพลังของตัวเองให้ดีกว่านี้

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีเทาอ่อนนั่น วาห์นก็มองเห็นสีหน้าอ่อนโยนที่กำลังปกปิดความเศร้าเอาไว้

เขายิ้มให้นิดๆ แม้จะดูกระอักกระอ่วนไปบ้าง และตอบคำถามที่หญิงสาวเฝ้ารอ

“ฉันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเธอยังไงดีนะ ซีล

ฉันยังไม่เข้าใจหัวใจของตัวเองมากพอที่จะให้คำตอบได้ในทันที

ตอนนี้ฉันมีความสัมพันธ์กับสาวๆ คนอื่นอยู่หลายคนและยังมีเรื่องมากมายที่ต้องไปจัดการให้เสร็จ

จนกว่าชีวิตของตัวเองจะมั่นคงกว่านี้อีกหน่อย เรื่องความสัมพันธ์ใหม่ๆ ก็คง…”

ซีลหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะป้องปากและหัวเราะคิกคัก

คำตอบที่ฟังดูจริงจังของเขาหลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ ‘วาห์น’ มากๆ

เธอพอปะติดปะต่อเรื่องได้จากส่วนที่โคล้อี้เล่าให้ฟัง รวมถึงรายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ยินจากปากของวาห์นเอง

โชคดีที่พวกเขาทั้งคู่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น และมีเวลาอีกมากในการสานมิตรภาพให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม

หลังจากหัวเราะต่อไปอีกหน่อย ซีลก็ชูมือขึ้นและยิ้มกว้างให้เด็กหนุ่ม

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ วาห์น

ตอนนี้ลองมาเป็นเพื่อนกันก่อนก็แล้วกัน เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ

ตราบใดที่นายยังทำดีกับฉันและมาหาที่ร้านบ่อยๆ ฉันก็พอใจแล้ว… สำหรับตอนนี้น่ะนะ”

ในช่วงท้ายๆ นั้น วาห์นมองเห็นแววตาที่ดูซุกซนหน่อยๆ ก่อนที่หญิงสาวจะยืนขึ้นจากบูธและปัดฝุ่นที่ชุดเล็กน้อย

ซีลหันไปหาวาห์นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะโค้งให้และเดินออกจากห้องไป

วาห์นจ้องตามหลังเธอด้วยความรู้สึกกังวล

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตอบปฏิเสธเธอ แถมยังเป็นการปฏิเสธที่ฟังดูอ้อมค้อมมากเลยด้วย

ทว่ายังไงสิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริง และวาห์นบอกได้จากท่าทางและการตอบสนองของซีลว่าเธอเองก็เข้าใจเช่นกัน

จนกว่าจะได้ตอบสนองต่อความคาดหวังของพวกสาวๆ และแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจให้มากกว่านี้ เรื่องยอมรับคนอื่นเพิ่มนั้นคงจะต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน

เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือแม้ซีลจะมีอดีตที่เลวร้ายและผ่านเรื่องลำบากมามาก แต่เธอก็เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งและแยกแยะเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

เธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาในตอนนี้ และพวกเขายังมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันไปอีกนาน

วาห์นอยากลองใกล้ชิดกับเธอโดยเน้นหนักไปที่เรื่องมิตรภาพทั่วไปแทน เพราะตอนนี้… ความสัมฟันธ์ของเขาเองนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากจริงๆ

หลังจากที่ซีลออกมาจากห้องแล้ว รอยยิ้มร่าเริงของเธอก็ดูเศร้าหมองลงเล็กน้อยขณะจ้องกลับไปทางประตูที่เพิ่งก้าวออกมา

ซีลรู้ว่าวาห์นรู้สึกดีๆ ด้วยและน่าจะยอมรับเธอพร้อมกับสาวๆ คนอื่นในอนาคต แต่เธอก็ยังรู้สึกเศร้าหน่อยๆ จากการเพิ่งถูกบอกปฏิเสธแบบสดๆ ร้อนๆ

ในช่วงสี่ปีที่เธอทำงานใน ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เขาเป็นคนเดียวที่ผ่านเกณฑ์ทุกอย่าง และนั่นก็ทำให้การเดินจากมาเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกิน

ขณะที่ซีลตกอยู่ในห้วงความคิด หญิงสาวอีกคนก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซีลก็รู้สึกตัวและยิ้มร่าเริงให้กับเพื่อนสาว

“มีอะไรเหรอ ริว?”

ราวกับว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ซีลเปลี่ยนท่าทีกลับอย่างรวดเร็วขณะหันไปมองเอลฟ์ผู้มีดวงตาสีฟ้าสดใส

ริวเห็นซีลตั้งแต่ตอนเข้าห้องไปจนถึงตอนที่เดินออกมา เธอจึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นถึงทำให้เพื่อนสาวดู ‘เศร้า’ ผิดปกติ

หลังจากลังเลอยู่ไม่นาน เอลฟ์สาวก็ถามขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นเหรือเปล่า?”

แม้จะเป็นการถามเพราะเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ แต่ก็มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ดวงตาของเธอเลื่อนไปที่ประตูนั่นแทน

ซีลไม่พลาดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วและเริ่มหยอกล้อริวด้วยน้ำเสียงขบขัน

“นี่เธอเป็นห่วงฉันหรือวาห์น กันแน่นะ?”

พอได้ยินคำถามยอกย้อน สีหน้าของริวก็ดูอ่อนลงพร้อมกับก้มหน้าเพื่อหลบสายตา

“เธอดูไม่เป็นตัวของตัวเอง… ฉันเลยรู้สึกเป็นห่วง”

ซีลเริ่มหัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะแหย่เพื่อนสาวต่อไปอีกหน่อย

“นี่บอกตัวเองก่อนดีกว่าไหม ริว~

อย่าห่วงเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก…วาห์นแค่ปฏิเสธคำสารภาพรักของฉันก็เท่านั้นเอง”

ขณะพูด เธอก็แลบลิ้นออกมาอย่างขี้เล่นพร้อมกับหลับตาข้างหนึ่งไปด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดของซีล ดวงตาของริวก็พลันเบิกกว้างก่อนจะถามต่อ

“นี่เธอ… สารภาพไปแล้วเหรอ?”

ซีลพยักหน้าอย่าง ‘งอนๆ’

“เห้อ~ น่าปวดใจจริงๆ… ถึงจะมีผู้หญิงตั้งเยอะแยะแล้ว แต่ตอนนี้เขายังไม่มีที่ให้ฉันเลย

ต่อไปเธอต้องมาช่วยฉันด้วยนะ ริว ดูเหมือนเขาจะชอบเธอมาก

ถ้าเราร่วมมือกันล่ะก็ บางที…~? “

แม้ว่าสีหน้าของริวอาจจะดูนิ่งเรียบอยู่ตลอดการสนทนา แต่พอได้ยินว่า ‘ดูเหมือนเขาจะชอบเธอล่ะ’ ริวก็หันไปทางประตูและถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“เมื่อเธอบอกว่าเขาชอบฉันเหรอ?”

พอหลอกล่อริวสำเร็วแล้ว ซีลก็พยักหน้าและอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไม่ใช่เหรอ?

นี่ๆ ถึงฉันจะได้เจอและคุยกับเขาก่อน แต่เขายังไม่เคยคิดจะจับมือของฉันเลยนะ

เทียบกันแล้ว เธอดูพิเศษกว่าเยอะเลยนี่ จริงไหมล่ะ~?”

ขณะฟังคำพูดหยอกเย้าของซีลไปเรื่อยๆ ริวก็เผยรอยยิ้มนิดๆ ซึ่งดูไม่สมกับตัวเธอเองเลย

ก่อนที่เอลฟ์สาวจะพูดอะไรออกมา ซีลก็คว้าแขนของเธอไว้และพูดต่ออย่างเร่งรีบ

“มาเถอะริว ไปคุยกับโคลอี้กัน

ถ้าเราโน้มน้าวเธอได้ โอกาสของเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นนะ~”

ริวปล่อยให้ซีลดึงตัวเธอออกไปขณะยังคงไตร่ตรองคำพูดต่างๆ ในหัว

นับตั้งแต่ที่ถูกวาห์นจับมือ ริวก็รู้สึกแปลกๆ กับเขามาตลอด

แต่เธอรู้ดีว่าวาห์นนั้นมีผู้หญิงห้อมล้อมอยู่มากมาย ซึ่งเธอก็ไม่อยากเพิ่มภาระให้เด็กหนุ่มและไม่อยากไปขวางทางคนอื่นด้วย

ถึงจะยังรู้สึกขัดๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าวาห์นชอบเธอจริงๆ อย่างที่ซีลว่า เธอก็อยากจะลองเข้าหาเขาดูสักครั้งเหมือนกัน

พอนึกถึงคำพูดของ ‘อลิเซ่’ ซึ่งเป็นสหายที่เสียชีวิตไปแล้ว ริวก็ยิ่งไม่อยากจะปล่อยมือจากเด็กหนุ่มที่เข้ามาจับมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติมากๆ

วาห์นออกมาจาก ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังเบื้อหลังกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เขามุ่งหน้ากลับบ้านขณะคิดถึงเรื่องต่างๆ และพยามหาวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดสำหรับอนาคต

แต่หลังจากเริ่มคิดไปได้ไม่นาน วาห์นก็หยุดอยู่กลางถนนและมองไปที่ท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจออกมาทางจมูก

ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าการทำให้ทุกคนมีความสุขเท่าๆ กันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่วาห์นก็ยังอยากปฏิบัติกับคนที่มีค่าความชื่นชอบสูงมากๆ ให้ดีกว่านี้

เขามักให้ความสนใจกับตัวละครจากเนื้อเรื่องเดิมมากเป็นพิเศษ และการได้มาคุยกับพวกเขาแบบนี้นั้นคล้ายกับการที่คนเราได้มาเจอดาราที่ตัวเองชอบไม่มีผิด

ทุกครั้งที่ได้พบกัน วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังอยู่เสมอ

ปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ซึ่งก็คือการมีผู้หญิงมากมายมาสนใจในตัวเขาภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

วาห์นอยากจะโทษระบบ ‘ดูค่าความชื่นชอบ’ ขึ้นมาหน่อยๆ เช่นเดียวกับภารกิจ [ความปราถนาของหัวใจ] เพราะหลายครั้งที่พวกมันทำให้การกระทำของเขาส่งผลอย่างรุนแรงต่อคนรอบข้าง

และไม่ใช่แค่ตัวละครจากในเนื้อเรื่องเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวละครอื่นๆ ในเรคคอร์ดด้วย

ทั้งอนูบิส นานู ทีน่า และผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องเดิม แต่วาห์นกลับได้เข้าไปพัวพันในชีวิตของทุกคนอย่างรวดเร็ว

วาห์นเหมือนจะรู้สึกว่าหากพยายามมากพอ เขาน่าจีบใครก็ได้ที่ตัวเองรู้สึกสนใจ

แม้ความคิดนี้จะทำให้รู้สึกตื่นเต้น แต่มันก็ทำให้เขากลัวด้วยเพราะมันดูราวกับว่าตัวเองกำลังบงการชีวิตคนอื่นผ่านทาง ‘เดอะพาธ’

แต่ความจริงก็คือวาห์นรู้สึกเพลิดเพลินและชื่นชอบที่ได้มาพูดคุยและอยู่เคียงข้างพวกสาวๆ อย่าแท้จริง

‘การกระทำ’ ส่วนใหญ่ของวาห์นนั้นอาจเกิดขึ้นในทิศทางที่คล้ายๆ กันแม้จะไม่คำนึงเรื่องการมองเห็นออร่า เพราะความปรารถนาที่จะเห็นพวกเธอทุกคนมีความสุขนั้นมาจากเขาเอง และไม่ใช่สิ่งที่ ‘เดอะพาธ’ กำหนดขึ้นเอง

ความคิดต่างๆ กำลังหักล้างกันไปมาอย่างไม่รู้จบเพราะวาห์นไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ นอกเหนือไปจากการทำให้พวกเธอและตัวเองมีความสุข

เขารู้ว่าเรื่องของซีลจะไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่นอน เพราะสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นเป็นเหมือนการประวิงเวลาซึ่งเป็นแบบเดียวที่ใช้กับลิลลี่ นานู และทีน่า

ส่วนที่ยุ่งยากมากๆ ก็คือไม่มีเหตุผลอะไรที่วาห์นจะไม่ชอบซีล

พอได้เห็นความปรารถนาในใจของเธอไปแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจและอยากจะยื่นมือช่วยหากเป็นไปได้

ทว่ามีคนมากมายเหลือเกินที่วาห์นอยากจะช่วย แต่ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งและไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำแบบนั้นได้

หลังจากหยุดยืนอยู่กลางถนนไปพักหนึ่ง วาห์นก็ส่ายหัวแรงๆ หลังจากที่คิดอะไรดีๆ ไม่ออกเลย

กุญแจสำคัญดูเหมือนจะอยู่ที่ ‘แข็งแกร่งขึ้น’ หรือไม่ก็ ‘ยับยั้งชั่งใจให้มากกว่าเดิม’

การทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นนั้นดูจะไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ และการยับยั้งชั่งใจก็เป็นสิ่งที่วาห์นสามารถพัฒนาขึ้นมาได้

ส่วนที่ยากที่สุดนั้นคือการละเลยความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไปแล้ว

วาห์นไม่อาจทำเป็นเมินพวกเธอได้ และดูเหมือนว่าอนาคตของเขาได้ถูกผูกเข้ากับหญิงสาวหลายคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปตามที่ตัวเองเห็นสมควร

ขณะเดียวกันก็จะให้ความร่วมมือกับพวกสาวๆ เพื่อทำให้เรื่องต่างๆ ดูเป็นระเบียบมากขึ้น

ตราบใดที่เขาสื่อสารกับพวกเธออย่างเหมาะสม วาห์นเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องออกมาดีและไม่เลยเถิดเกินไปนัก

เนื่องจากรู้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาจากเหล่าทวยเทพทันทีที่เรื่องของ [เอ็นคิดู] ถูกเปิดเผย วาห์นจึงได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้บางส่วนแล้ว

เด็กหนุ่มรู้ว่าต้องมีชายหลายคนที่รู้สึกอิจฉาสถานะของตนแน่นอน และสิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือพยายามทำให้ทุกคนมีความสุขมากที่สุด

ถึงสุดท้ายแล้วผลจะออกมาไม่ดีนัก แต่วาห์นก็เชื่อว่ามีหลายคนที่พร้อมจะช่วยเหลือและชี้นำเขากลับมาสู่เส้นทางที่เหมาะสมอีกครั้ง

ด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมไปทั่วใบหน้า วาห์นเริ่มเดินทางกลับบ้านด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมยิ่งกว่าเมื่อครู่

แม้ว่ามันอาจเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่เขาก็เริ่มจินตนาการถึงภาพที่สาวๆ รอบตัวกำลังตั้งท้องลูกของตัวเอง

ความคิดเรื่องลูกๆ นั้นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากและวาห์นหวังว่าโอกาสที่จะได้เป็นพ่อคนคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า

จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะพยายามทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ รวมถึงทำตามสัญญาที่เคยให้ไปทั้งหมดด้วย

(A/N: ชื่อตอนสำรอง: ‘กำเนิดของจักรพรรดิ…ฮาเร็ม?’, ‘ซีลเล่นทีเผลอ’, ‘วาห์นาตัสครั้งน่าคงไม่ใช่งานประชุมละ… แต่เป็นงานงานนิทรรศการแทน’)

(A/N: สำหรับคนที่คิดว่าวาห์นมีผู้หญิงมากเกินไปนะครับ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือถ้าดูจากความสามารถและอุปนิสัยของวาห์น ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ส่งผลกับเหล่าสาวๆ/เทพธิดา ลองนึกภาพถ้าคุณมีตัวช่วยมากมายซึ่งทำให้คนรอบตัวรู้สึกชอบคุณมากขึ้นๆ ดูสิ รวมเข้ากับเรื่องที่อายุยังน้อย มีความสามารถ มีอิทธิพล นิสัยดี ฯลฯ ขนาดนี้ไม่มีฮาเร็มก็แปลกแล้ว! วิธีเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้ก็คือไม่แนะนำตัวละครใหม่ๆ แต่มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ถ้าวาห์นไปที่ที่หนึ่ง แต่ตัวละครที่สมควรอยู่ที่นั่นกลับไม่โผล่ออกมา ตัวอย่างเช่น ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ซึ่งเต็มไปด้วย ‘สาวโสด’ ที่มีอดีตน่าเศร้าซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดูดวาห์นดีๆ นี่เอง เรื่องที่ซีลมีบุคลิกเจ้าเล่ห์/ร่าเริง/ชอบบงการหน่อยๆ และเรื่องของริวกับการถูกจับมือนั้นมีอยู่ในเนื้อเรื่องเดิมด้วยนะครับ~!)

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท