บทที่ 174 คนของหนานกงหยูนมาแล้ว
มือใหญ่ของหลินหยางราวกับมีเวทมนตร์ หลังจากไม่กี่นาที จิ่งตันก็เริ่มเกิดอารมณ์แล้วถอนหายใจอย่างแรง และเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป กอดหลินหยางเอาไว้แล้วโยกตัวไปข้างหน้า ความรู้สึกที่เต็มเหนี่ยวได้แผ่กระจายทั่วร่างในทันที
และความรู้สึกเต็มอิ่มที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ส่งมาที่สมองของเธอ เสียงครางที่เย้ายวนได้ร้องออกมาจากปากของเธอในทันที
เวลาได้ค่อยๆผ่านไปเป็นนาทีเป็นวินาที ผ่านไปทุกๆไม่กี่นาที ร่างกายของจิ่งตันก็จะแข็งตัวขึ้นทีนึง หลังจากผ่านไปชั่วโมงกว่า จิ่งตันได้แต่นอนถอนหายใจแล้วซบที่อ้อมกอดของเขาโดยไม่มีแรงจะขยับไปไหนได้อีก
“เป็นยังไง ตอนนี้เชื่อความสามารถของผมหรือยัง?”หลินหยางกอดจิ่งตันแล้วหัวเราะถามเธอ
เธอใช้สายตาครึ้มมัวกวาดไปที่หลินหยางทีนึง กลิ่นไอเย้ายวนมีเสน่ห์เผยอออกมาอย่างหมดจด:“คุณมันก็เหมือนควายตัวนึงไม่มีผิด นาเกือบจะเน่าเพราะคุณแล้ว”
หลินหยางหัวเราะเบาๆทีนึง แล้วหยิบมือถือออกมา:“คุณบอกที่อยู่ของคุณมาหน่อย พรุ่งนี้คุณกลับบ้านไปได้เลย ผมจะส่งครีมแผลลายขวดนึงไปให้คุณพรุ่งนี้เลย”
“ยังมีเหลือจริงหรอคะ?นี่ถือว่าฉันเข้าทางประตูหลัง ใช้เส้นสายซื้อมาได้ ใช่มั้ยเนี่ย?”จิ่งตันกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์
“ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ ถ้าคุณอยากได้จริง ผมส่งไปให้คุณเพิ่มอีกขวดก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ”หลินหยางพูดอย่างใจกว้าง ตีซี้กับจิ่งตันตอนนี้ เผื่อว่าอนาคตไปทำธุรกิจที่เมืองเซินไห่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้รับ ต้องเกินค่ากว่าครีมแผลลายสองขวดนี้แน่นอน
อีกอย่าง ต้นทนของครีมแผลลายสองขวดนี้ คงยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยมั่ง?
แล้วเขาก็ได้คุยกับจิ่งตันต่ออีกครึ่งชั่วโมงกว่า จากนั้น หลินหยางก็ได้ลุกกลับบ้านไป เดิมทีจิ่งตันก็กะอยากจะส่งหลินหยางกลับ แต่เมื่อกี๊ออกกำลังกายดุเดือดไปหน่อย ทำให้เธออ่อนแรงไปทั้งตัว ไม่มีแรงลุกเดินได้แล้ว ได้แต่ส่งเขาด้วยสายตา
“ประธานเจียง นี่ก็คือครีมแผลลายค่ะ”ในห้องทำงานที่เลิศหรูอลังการ ผู้หญิงเย้ายวนคนนึง ได้เอาครีมแผลลายขวดนึงมาให้กับชายหัวล้านคนนึงตรงหน้า
ประธานเจียงมีชื่อว่าเจียงหัว “คือกรรมการผู้บริหารของบริษัทเครื่องสำอางเอซีซีในเมืองเจียงหลิง
เขาจับขวดที่ประณีตสวยงามเล่นอยู่ในมือ เจียงหัวหรี่ตาลงแล้วตบที่ไหล่ของตัวเอง ผู้หญิงเข้าใจความหมายของเขา แล้วเดินไปข้างหลังของเจียงหัว มือขาวๆวางบนไหล่ของเจียงหัวแล้วนวดขึ้นมา ท่าทางคล่องแคล่วมาก เห็นชัดว่าคงทำงานแบบนี้มานาน
“ยัยบ้าไป๋เซียนเฉ่า นี่เธอคิดจะเข้ามาแข็งขันทำธุรกิจเครื่องสำอางจริงหรอเนี่ย?”เจียงหัวพูดกับตัวเองคำนึง สำหรับเขาที่อยู่เมืองเจียงหลิงมาครึ่งค่อนชีวิต ในแวดวงธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ของเมืองเจียงหลิงเขารู้เรื่องทุกอย่าง เมื่อปีนั้น นักธุรกิจหญิงปีศาจในวงการอย่างไป๋เซียนเฉ่า ได้ทำเอาธุรกิจเสื้อผ้าของเมืองเจียงหลิงเกิดพายุนองเลือดครั้งใหญ่ เขายังรู้สึกว่าเรื่องมันเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้นี่เอง
ตอนนั้น ธุรกิจเสื้อผ้าของเมืองเจียงหลิงเกือบ70%ล้วนแล้วแต่เป็นของไป๋เซียนเฉ่าทั้งนั้น ธุรกิจเสื้อผ้าของเมืองเจียงหลิงถูกปีศาจอย่างเธอกวาดจนเรียบในเวลาอันสั้น และวงการเสื้อผ้าถูกเธอทำจนยุ่งเหยิง วิธีการที่น่าสยองขวัญนี้ทำให้คนยากที่จะลืมได้
ผู้บริหารของธุรกิจเสื้อผ้าท่านหลาย ต่างก็ยกย่องแฟนเก่าของไป๋เซียนเฉ่าเป็นเหมือนเทพองค์นึง ถ้าไม่ใช่เขาคนนี้ ที่ทำให้ไป๋เซียนเฉ่าเสียโฉม จนไป๋เซียนเฉ่าล้มระเนนระนาดแล้วละก็ เมืองเจียงหลิงคงมีแต่บริษัทของเธอใหญ่อยู่เจ้าเดียว และไม่อาจมีเจ้าอื่นได้อีก
ตอนนี้ ไป๋เซียนเฉ่าจะก้าวเข้ามาในวงการเครื่องสำอาง เจียงหัวรู้สึกกดดันอย่างหนัก ตัวเองได้ทำงานต่อสู้ในเมืองเจียงหลิงอยู่หลายปี ถึงมีธุรกิจนี่เป็นของตัวเอง ถ้าหากตอนนี้ ถูกไป๋เซียนเฉ่ากวาดล้างแล้วละก็ ต้องกระทบตัวเองอย่างหนักแน่ๆ
“สามารถดูออกมั้ย ว่าทิศทางการพัฒนาของยัยนี่ในอนาคตไปทางไหน?” เจียงหัวได้หรี่ตาถาม
เลขาผู้เซ็กซี่ได้ยินแล้วก็จัดเรียนความคิดแล้วพูด:“ก่อนหน้านี้ ไป๋เซียนเฉ่าเคยพูดว่า แผนการพัฒนาที่วางไว้ในอนาคตคือเครื่องสำอางระดับล่าง แต่ราคาก็ยังสูงลิ่วอยู่ดี วัดจากสายตาแล้วเครื่องสำอางที่ขวดนึง200กรัม ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหยวน และเธอก็ยังรับประกันด้วยว่า ครีมนี้มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผิวขาวเนียชุ่มชื่นได้จริง ไม่มีผลข้างเคียงใดๆแน่นอน”
ได้ยินที่เลขาตอบแล้ว เจียงหัวได้ขมวดคิ้วไว้จนแน่น ถ้าหากเป็นคนอื่นที่พูดว่าไม่มีผลข้างเคียงแล้ว ละก็ เจียงหัวคงต้องเบะปากใส่เขาแน่ เครื่องสำอางส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สังเคราะห์จากทางเคมี ใช้นานเข้าจะดีต่อผิวจริงได้หรอ?
แต่สำหรับคำพูดของไป๋เซียนเฉ่านั้น เขาคงต้องชั่งน้ำหนักดูดีๆซะหน่อย ชื่อเสียงที่ร้ายกาจของนางมารร้ายคนนี้ ถึงเวลาจะผ่านไปสองปีแล้ว ก็ยังไม่เคยจางหายไป
“เดี๋ยวเธอไปติดต่อหลิวจิ่นของ‘บีเค’ให้ฉันหน่อย ให้มาปรึกษาหารือว่าจะเผชิญหน้าต้านทานกับไป๋เซียนเฉ่ากันยังไงดี เป็นคู่แข่งกันมานาน ก็ควรหยุดลงแล้วหันมาร่วมมือกันซะที ”เจียงหัวสั่ง
“ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ”เลขาสาวพูดคำนึง แล้วก็จะปล่อยมือที่ช่วยเจียงหัวนวดไหล่ออก
“เดี๋ยวก่อน”ตอนที่หญิงสาวเซ็กซี่กำลังจะจากไปนั้น มือที่ปล่อยออกจากไหล่ก็ถูกเจียงหัวดึงไว้:“ขอเอ็กเซอร์ไซส์ก่อน”
“ประธานเจียง คุณนี่ร้ายจริงๆเลยนะคะ!”ถึงแม้จะถูกผู้ชายจับมือไว้ แต่เลขาสาวก็ไม่มีท่าทีตกใจเลยสักนิด กลับยิ้มให้เจียงหัวด้วยรอยยิ้มเย้ายวน บิดเอวของเธอแล้วเดินเข้าไปหาเจียงหัว มือน้อยๆราวกับงูเลื้อยเข้าไปในกางเกงของเจียงหัว
เจียงหัวลับตาไว้ ดื่มด่ำกับสาวสวยตรงหน้าที่กำลังถอดเสื้อตัวเองออกจนหมด ไม่นาน ไส้เดือนน้อยก็โผล่ออกมา
เลขาสาวไม่ได้รังเกียจและรู้สึกขยะแขยง อ้าปากแดงๆแล้วก้มหัวลงไปเลย
ร่างกายที่อ้วนท้วมของเจียงหัวได้สั่นไปทีนึง หลังจากไม่กี่นาทีก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป จับหัวของเลขาสาวขึ้นลงอย่างแรง……
และในห้องประชุมของบริษัท“บีเค”ผู้บริหารระดับสูงก็ได้จัดการประชุมอย่างเร่งด่วน แต่พอประชุมได้ไม่ทันไร ทุกคนต่างก็ก้มหน้าไม่พูดอะไรอีกเลย บรรยากาศดูกดดันมาก
“ประธานหลิว ทางบริษัท‘เอซีซี’ได้ติดต่อมาค่ะ ผู้บริหารของเขาอยากจะเชิญท่านไปทานข้าวด้วยกันค่ะ ”สาวหน้าตาดีคนนึง ได้รายงานต่อคนที่อยู่ข้างหน้าสุด
หลิวจิ่นได้ยินที่เลขาสาวรายงานแล้ว หัวใจกระตุกทีนึง ครั้งนี้ สองบริษัทคงต้องร่วมมือกันแล้วจริงๆ ถึงจะต้านทานกับไป๋เซียนเฉ่าได้
“ได้ จบการประชุมไปก่อน เสี่ยวเมิ่ง เธอไปจัดการตอนนี้เลย คืนนี้ฉันจะไปพบหน้าผู้บริหารระดับสูงของเอซีซีหน่อย”หลิวจิ่นโบกมืออย่างอารมณ์หงุดหงิด
ระหว่างที่บริหารเครื่องสำอางสองยักษ์ใหญ่ของเมืองเจียงหลิงกำลังกังวลที่ไป๋เซียนเฉ่าจะโจมตีธุรกิจของเขาอยู่นั้น หลินหยางกลับกอดกั่วเหมิงนอนอย่างสบายใจเฉิบ ตั้งแต่ที่กั่วเหมิงรู้ความเก่งกาจของหลินหยางแล้ว เธอก็ยิ่งตัวติดกับหลินหยางไม่ยอมไปไหน จากที่ความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออยู่ ก็ค่อยๆเปิดเผยออกมา แค่จ้าวจินฟ่งกับหนานกงหยูนไม่พูดเผยออกมา ทุกคนเจอหน้ากันก็ไม่รู้สึกเก้อเขินเท่าไหร่
ผ่านไปแบบนี้อยู่หลายวัน วันนี้ หลินหยางตื่นเช้ามาต่อยหมัดกังฟูและฝึกฝนเขียนพู่กันเหมือนปกติทุกวัน
ถึงแม้หลังจากหลินหยางได้เข้าเมืองมา ชีวิตก็เริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจพูดว่าชีวิตยิ่งอยู่ยิ่งสบายขึ้น เงินทองที่เขาหาได้ในตอนนี้ พอสำหรับเขาใช้ได้ทั้งชีวิตแล้ว หรือกระทั่งกี่ชาติก็ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้ง ส่วนผสมครีมแผลลายระดับล่างของเขาก็ออกมาแล้ว หลินหยางมั่นใจอย่างมากกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ขอแค่ผู้หญิงบนโลกใบนี้ ยังรักสวยรักงามอยู่ ผลิตภัณฑ์ของเขาก็จะขายได้ตลอด ถึงแม้เขาจะหาเงินได้มากมายแล้วก็ตาม แต่หลินหยางก็ไม่เคยละทิ้งที่จะค้นคว้าหาความรู้ทักษะทางการแพทย์และฝึกฝนเขียนเลย
บางครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจเมื่อคิดถึงเรื่องราวตอนเด็กๆ เป็นเพราะปู่ของเขาได้สอนเขามาอย่างดีตอนเขายังเด็ก ตัวเองถึงได้มีจริยธรรมทางการแพทย์ที่ดีแบบนี้
ตอนระหว่างที่หลินหยางกำลังอาบน้ำอยู่นั้น จู่ๆก็ใจเต้นขึ้นมา พลังลมภายในจางๆได้ส่งมาจากชั้นล่าง
พลังนี้ถึงแม้จะไม่แรง แต่ก็ทำให้หัวใจของหลินหยางสั่นสะเทือน เพราะกลิ่นไอนี้ เห็นชัดว่าสั่นคลอนมาจากพลังภายใน!
ในเมืองเจียงหลิงยังมีคนฝึกวรยุทธอยู่อีกหรอ?แถมยังมาปรากฏตัวที่ร้านซักของตัวเองอีก?หลินหยางไม่คิดว่าคนข้างล่างจะมาที่ร้านเพื่อซักผ้าแน่ รีบล้างตัวให้สะอาดแล้วเช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ
“เสี่ยวหยูน เธออย่าดื้อรั้นอีกเลย รีบตามอาสามกลับไปที่บ้านซะ จัดการเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยโดยเร็ว!”หลินหยางยังไม่ทันเดินลงไปถึงชั้นล่าง ก็มีเสียงชายแก่ดังมา
“อาสามคะ ฉันไม่อยากกลับไปค่ะ ขอร้องล่ะ ปล่อยให้ฉันอยู่ข้างนอกเถอะนะ”แล้วเสียงอ่อนโยนของหนานกงหยูนก็ดังมาจากชั้นล่างด้วย
ได้ยินแบบนี้แล้ว หลินหยางรู้สึกตกใจ หรือว่าคนในตระกูลของหนานกงหยูนจะหามาถึงที่นี่? เขารู้มาตลอด ว่าหนานกงหยูนต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แค่เขาก็ไม่ได้ถามชาติกำเนิดของเธอกับเธอ ช่างเถอะ ฉวยโอกาสนี้ถามให้แน่ชัดไปเลย
“เสี่ยวหยูน กลับไปกับฉันเถอะ พวกเราสองตระกูลแต่งงานเชื่อมสายสัมพันธ์รวมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนั้นก็ฝึกบทหลงฟ่งอินหยางเจว๋ด้วยกัน พอถึงตอนนั้นแล้ว ต้องนำศิลปะการต่อสู้ของพวกเราผลักดันไปสู่จุดสูงสุดอย่างแน่นอน”เสียงผู้ชายที่ฟังดูแปลกๆคลายเสียงของผู้หญิงดังมา หลินหยางขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
อาศัยสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมของแพทย์แล้ว หลินหยางรู้สึกเกลียดน้ำเสียงแบบนี้เข้าไส้อย่างไม่มีเหตุผล
“ฉันไม่กลับ อาสามคะ คนตรกูลเถียนเป็นคนยังไง ท่านไม่รู้เลยหรอ?ถ้าหนูไป ท่านคิดหรอว่าท่านจะได้ผลประโยชน์จากพวกเขา?”จู่ๆ หนานกงหยูนก็ขึ้นเสียง
“หุบปากเลยนะ!ผู้ใหญ่สั่งให้เธอกลับไป เธอยังคิดจะต่อต้านนั้นหรอ?หรือว่าเธออยากจะให้ฉันลงโทษตามกฎของตระกูลกับเธองั้นเหรอ?”ได้ยินที่หนานกงหยูนสวนกลับแล้ว เห็นชัดว่าคนแก่ที่อยู่ตรงข้ามโกรธเกรี้ยวมาก
“อาสามครับ ท่านก็อย่าถือสากับเสี่ยวหยูนเลยครับ เสี่ยวหยูน ผมคิดยังไงกับคุณๆยังไม่รู้หรอ?อีกอย่าง เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก การอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องเลวอะไรหนิ”เสียงของชายหนุ่มดังมา
“เถียนหย่วน ฉันขอเตือนคุณเลยนะ อย่าคิดจะได้ตัวฉัน ในใจคุณคิดอะไรอยู่ คุณน่าจะรู้ดีสุด”หนานกงหยูนพูดอย่างเย็นชา
“เสี่ยวหยูน วันนี้เธอต้องกลับไปกับฉันให้ได้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะจับเธอกลับไปบ้านด้วยมือของฉันเอง แล้วลงโทษตามกฎของชนเผ่า!”เสียงของอาสามยิ่งแหลมคมน่ากลัวขึ้นมา
“ยังมีหน้ามาบอกว่าท่านเป็นอาสามของเสี่ยวหยูนอีก ทำไมถึงปฏิบัติกับคนรุ่นหลานเช่นนี้?เสี่ยวหยูนไม่ชอบผู้ชายคนนี้ พวกคุณยังจะบีบบังคับให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีกนั้นหรอ?”จ้าวจินฟ่งเป็นคนแรงและใจกล้ามาตลอด ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าถาม ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัวของเธอ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เห็นชัดอยู่ว่ากำลังบีบบังคับให้เธอแต่งงาน!
“นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังใช้วิธีบีบบังคับแต่งงานอยู่อีกหรอ?แถมยังพูดว่าจะลงโทษตามกฎของชนเผ่า?นี่พวกคุณยังคิดว่าอยู่ในยุคสมัยของศักดินาอยู่อีกหรอ?พวกคุณสองคนรีบออกไปเลยนะ ไม่อย่างนั้น ฉันแจ้งความแน่!”
จ้าวจินฟ่งตะโกนอย่างไม่เกรงใจ ดึงดูดสายตาของอาสามกับเถียนหย่วนได้สำเร็จ
หลังจากที่เห็นใบหน้าของจ้าวจินฟ่งแล้วนั้น แววตาของเถียนหย่วนมีแสงกระจายผ่านเข้ามาเสี้ยวนึง ถึงสีหน้าจะแสดงออกอย่างสุภาพ แต่ลับๆแล้ว ชื่อเสียงของเถียนหย่วนนั้นไม่ดีเลย ผู้หญิงที่ถูกเขาย่ำยีมีไม่รู้เท่าไหร่
แค่มองก็รู้ว่าผู้หญิงใจกล้าคนนี้ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ ต้องหาโอกาสลิ้มลองดูหน่อยแล้ว เถียนหย่วนคิดชั่วร้ายอยู่ในใจ
“นางหนู นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูลหนานกง หวังว่าเธออย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าเรื่องมาถึงที่ตัว อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”
ตระกูลหนานกง ก่อนหน้านี้เหมือนเคยได้ยินหนานกงหยูนพูดว่าเป็นตระกูลที่อำพรางตัวอยู่ในหุบเขา แถมยังดูถูกคนทางโลกโดยธรรมชาติตั้งแต่กำเนิด
ได้ยินน้ำเสียงของตาแก่ที่โอหังได้ใจแบบนี้ หนานกงหยูนยักคิ้วขึ้นแล้วตะโกน:“เรื่องในครอบครัวนั้นหรอ?ผู้ชายสองคนวิ่งมารังแกผู้หญิงคนนึงถึงที่ นี่ก็เรียกว่าเป็นเรื่องครอบครัวได้นั้นหรอ?พวกคุณสองคนยังมีหน้าพูดออกมาได้ รีบไปเลยนะ รีบไปซะ อย่ามากระทบการทำงานของฉัน ถ้าไม่ไปอีก ฉันแจ้งความจริงด้วย!”พูดจบ หนานกงหยูนก็ทำท่าหยิบมือถือออกมา แค่ตั้งใจจะขู่ให้สองคนนี้ให้รีบไสหัวไป
เห็นหนานกงหยูนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้แล้ว แววตาของเถียนหย่วนมีหมอกควันเสี้ยวนึงแว๊บผ่านเข้ามา
“บังอาจ!เสี่ยวหยูน เธอแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าไม่กลับไปกับฉัน?”เห็นหนานกงหยูนที่ยืนลังเลอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของตาแก่หนานกงยิ่งดำจนน่าเกลียด
หนานกงหยูนไม่ได้โง่นะ เธอรู้ว่าถ้าหากตัวเองไม่ไป ก็อาจจะทำให้จ้าวจินฟ่งและคนอื่นๆคอยซวยไปด้วย ระหว่างที่เธอตื่นตกใจอยู่นั้น จู่ๆสมองของจ้าวจินฟ่งกลับมีภาพผู้ชายคนนึงที่ใบหน้ามีรอยยิ้มประจำผ่านเข้ามา ——หลินหยาง