ตอนที่ 201 แบกรับข้อกล่าวหา (3)
ลั่วจื่อจี้เห็นอี้เป่ยซีจ้องเขม็งพร้อมปฏิเสธ แสร้งพยักหน้าอย่างจริงจัง “ครับซ้อ ฉันเชื่อซ้อ”
จากนั้นอี้เป่ยซีก็ถอนหายใจโล่งอก “งั้นฉันไปเก็บของก่อน”
“แต่ว่า ต่อให้ฉันเชื่อเธอ ถ้าพี่ชายรู้ก็จะโกรธเหมือนกันนะ”
“นายมีที่ที่ดีกว่าเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งเอ่ยถาม ความเย้ยหยันวูบผ่านในแววตา “นายกับพี่ชายของนายไม่ได้ต่างกันแค่นิดเดียวนะ นายน่ะไม่มีความกล้าเลย”
เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่สิ เขาก็เลยเป็นพี่ชายฉัน ฉันคือลั่วจื่อจี้นะ นายคิดอะไรน่ะ?”
ลู่เยี่ยจิ่งถูกเขาทำให้จุกจนพูดไม่ออก และก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร พ่นลมออกทางจมูกแล้วนั่งลงด้านข้าง มองดูอี้เป่ยซีที่กำลังเก็บของเงียบๆ เธอเม้มปาก สีหน้ายังคงซีดขาวเล็กน้อยเพราะความอ่อนแอ หลังจากนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายวันก็ซูบผอมลงไปมาก
เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจเฮือก
“อาซ้อ”
อี้เป่ยซีหยุด “มีอะไรเหรอ?”
“เธอจะไปอยู่กับเขาจริงเหรอ?”
เธอเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร เธอมาที่โรงพยาบาลก็ไม่มีข้าวของอะไรอยู่แล้ว จัดเพียงสองสามครั้งก็เสร็จสิ้น ลั่วจื่อจี้ยังคงคว้าตัวอี้เป่ยซีด้วยความไม่วางใจเล็กน้อย ลู่เยี่ยจิ่งหมดความอดทน “ในสายตาพวกนายฉันไม่น่าไว้ใจขนาดนี้เลยเหรอ!”
ลั่วจื่อจี้พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา ไฟโกรธของเขาไม่สามารถหางระบายออกได้ เขายื่นมือออกไปรับกระเป๋าของอี้เป่ยซี แต่เธอกลับหลบเลี่ยงเบาๆ
เขาบ้าไปแล้วจริงๆ ที่ทำคุณบูชาโทษแบบนี้!
“ถ้าเธอไม่อยากไปก็ช่างเถอะ ฉันจะไม่บังคับเธอ”
“เปล่านะ” อี้เป่ยซียังคงก้มหน้า “ที่จริงฉันหิ้วเองก็ได้”
“อาซ้อ คือว่า พวกเธอจะไปไหนกันเหรอ ฉันไปส่งพวกเธอเถอะ”
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะเย็นชา ไม่พูดไม่จาผลักประตูจากไป อี้เป่ยซีเหลือบมองลั่วจื่อจี้ ทั้งสองคนตามไปพร้อมกันเงียบๆ
“อาซ้อ ทำไมฉันถึงยังไม่วางใจนะ”
อี้เป่ยซีกำกระเป๋าแน่น “ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าจะช่วย ก็ไม่มีอะไรหรอก นายวางใจเถอะ เขาไม่เหมือนคนที่ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นลำบาก”
“ไม่เหมือน?”
ไม่ว่าจะเหมือนหรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือให้ลั่วจื่อหานฟื้นขึ้นมา ลั่วจื่อจี้ขมวดคิ้ว ทำไมถึงมีความรู้สึกเหมือนส่งเนื้อแพะเข้าปากเสือกันนะ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรเป็นศัตรูกับคนคนนี้เลย
ลั่วจื่อจี้ไม่ได้ขึ้นรถไปกับอี้เป่ยซี เขาแอบออกไปรายงานข่าว เมื่อรายงานเสร็จก็แอบกลับบ้านไป นั่งอยู่ในห้องของตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเปลี่ยนเสื้อ เดินขึ้นชั้นบนอย่างผ่อนคลาย เปิดประตูออก ภายในห้องค่อนข้างว่างเปล่า มีเพียงเสียงติ๊ดๆ ของเครื่องจักรที่ดังอยู่ ลั่วจื่อจี้เดินไปยังข้างหน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่าน แสงอาทิตย์ส่องอยู่บนใบหน้าของคนที่อยู่บนเตียง
หลังจากได้รับการดูแลหลายวัน ใบหน้าของลั่วจื่อหานก็เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง คิ้วผูกกันเล็กน้อย ลั่วจื่อจี้นั่งลงข้างเขา
“พี่ ฉันไปหาอาซ้อมาแล้ว ถึงพ่อแม่ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สบายเลย ดูแล้วอ่อนแอมาก ผอมลงไปเยอะ เวลาเดินก็เหมือนจะถูกลมพัดปลิวไปอย่างนั้น”
“ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย พี่ก็รู้ว่าฉันไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย อ้อ จริงสิ วันนี้เกิดเรื่องอย่างนึง พี่จะต้องโกรธมากแน่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งยื่นมือเข้ามาช่วยซ้อ ซ้อก็รับไว้ ตอนนี้ซ้ออยู่ที่บ้านเขาน่ะ”
“พี่ดูสิ พี่หลับไปแค่ไม่กี่วัน ผู้หญิงก็จะหนีตามคนอื่นไปแล้ว พี่ก็รู้ว่าลู่เยี่ยจิ่งเป็นคนยังไง มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่อยู่ในมือเขาแล้วจะหนีออกมาได้ ซ้อก็ยิ่งไร้เดียงสาแบบนั้นด้วย”
“ลั่วจื่อหานเอ๋ย ลั่วจื่อหาน ฉันไม่เคยเห็นพี่อ่อนแอแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมพอถึงช่วงเวลาสำคัญ พอหาสิ่งที่ต้องการจะปกป้องเจอแล้วก็ดันอ่อนแอขึ้นมา แผนการทรมานตัวเองเพื่อเรียกร้องความสงสารจากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เล่นกันแบบนี้หรอกนะท่าน”
ลั่วจื่อจี้พูดเรื่อยเปื่อยต่ออีกนาน คนที่อยู่บนเตียงก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จนกระทั่งดวงอาทิตย์เปลี่ยนองศาไปมากแล้ว เขาจึงถอนหายใจแล้วออกไป สิ้นเสียงปิดประตู นิ้วของลั่วจื่อหานขยับเล็กน้อย
โคม่า โคม่า โคม่า อี้เป่ยซียังคงได้รับข่าวเดิมเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ติดต่อกัน
“พวกนายบอกว่าเขาใกล้จะฟื้นขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” อี้เป่ยซีคว้าแขนของลู่เยี่ยจิ่ง ดวงตาแดงก่ำ “ไหนบอกว่า เดี๋ยวก็จะฟื้นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เป่ยซี เธออย่าใจร้อนสิ คุณหมอบอกว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว จะฟื้นหรือเปล่าอยู่ที่ช้าเร็วก็เท่านั้น”
“ลู่เยี่ยจิ่ง นาย นายพาฉันไป หาเขาหน่อยได้ไหม ขอร้องล่ะ ฉันแค่ไปเจอเขาแวบเดียว แค่แวบเดียว”
ลู่เยี่ยจิ่งลังเลครู่หนึ่ง ประคองอี้เป่ยซีที่กำลังจะทรุดตัวลงขึ้นมา “เป่ยซี ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยเธอ…”
“ฉัน ฉันจะแฝงตัวในบรรดาหมอพวกนั้นก็ได้ ฉันรับรองว่าจะไม่ทำอะไร แค่มองเขาจากที่ไกลๆ ก็พอแล้ว จริงๆ นะ ฉันขอร้องล่ะ ลู่เยี่ยจิ่ง”
น้ำตาของเธอร่วงลงสู่พื้น ลู่เยี่ยจิ่งรู้สึกปวดใจจนอึดอัด ทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธคำขอของเธอโดยตรง ได้แต่ให้คำตอบที่คลุมเครือ “ฉันจะช่วยเธอดูว่ามีทางไหม”
“ขอบคุณ ขอบคุณนายมาก”
“ไม่เป็นไร”
เขาประคองอี้เป่ยซีไปยังโซฟาด้านข้าง มองการตกแต่งโดยรอบด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “นี่คือห้องใหม่ที่พี่ฉันมอบให้เธอ ยังนึกว่าจะไม่มีวันได้ใช้ซะอีก”
อี้เป่ยซีก้มหน้า กัดริมฝีปากไว้จึงจะสามารถควบคุมเสียงสะอื้นของตัวเองได้ ลู่เยี่ยจิ่งพูดต่อ “อนาคตเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเสมอ ถ้าพี่ชายยังอยู่ ก็คงไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเยอะแบบนี้ เธอกับเขาก็คงไม่…”
“เลิกพูดได้แล้ว”
ลู่เยี่ยจิ่งหยุดไปครู่หนึ่ง “โอเค เดี๋ยวฉันจะให้คนส่งข้าวมาให้ เธอก็กินเยอะๆ หน่อยนะ”
“ขอบคุณ”
“งั้นฉันไปก่อนล่ะ”
“อืม” ลู่เยี่ยจิ่งมองผู้หญิงที่กำลังก้มหน้า กำมือแน่นแล้วปล่อยมืออย่างอ่อนแรงก่อนก้าวออกไปจากห้อง
ตอนนี้สายตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตาแล้ว อี้เป่ยซีมองดูการตกแต่งในห้องท่ามกลางความฝ้าฟาง การตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างสีน้ำเงินและสีชมพูเป็นเหมือนความฝันที่สวยงามของเด็กผู้หญิง ดูเหมือนสีกำลังเปล่งเสียง ท่วงทำนองอันไพเราะไหลเข้าสู่หัวใจตามสิ่งที่เห็น แต่กลับถูกเติมด้วยความเศร้าโศกอีกชั้นหนึ่ง
เรื่องราวทับถมเข้าด้วยกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า อี้เป่ยซีรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย เธอปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง สูดหายใจลึก
ไม่ได้สิอี้เป่ยซี เธอจะต้องสู้ ลั่วจื่อหานยังรอให้เธอไปหาเขา ลู่เยี่ยหวา…เขาก็ไม่อยากให้เธอเจ็บปวด และไม่ทำอะไรเลย
ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กแล้ว เรื่องที่เธอต้องการจะทำก็ต้องทำได้เช่นกัน อี้เป่ยซีครุ่นคิดแล้วลุกขึ้นพรวด เธอรู้สึกเวียนหัวจนต้องนั่งกลับลงไป ปรับตัวอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเกาะราวขึ้นชั้นบนเพื่อโทรศัพท์หาเซี่ยเช่อ
————