“ฮือๆๆ อย่าทำกับข้าเช่นนี้ได้หรือไม่”
“ฮือๆๆ เมื่อครู่ข้ายังเป็นที่นิยมชมชอบของคนนับหมื่น เหตุใดในพริบตาเดียวก็ทำให้ข้าร่วงสู่เหวลึกแล้วเล่า”
“ฮือๆๆ ข้าชอบอาคารหลังนั้นเป็นที่สุด อย่าให้ข้าฝันสลายเช่นนี้ได้หรือไม่”
“ฮือๆๆ พวกเจ้าต่างรักข้าอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ…”
เสียงร้องไห้กระซิกๆ ภายในรถม้าช่างน่าเวทนาเหลือเกิน หลายคนที่อยู่ภายในภายนอกรถม้าไร้ซึ่งสีหน้า สายตาฉายแววแปลกประหลาด
พอขึ้นรถองค์ราชินีก็ร้องไห้มาตลอดทางแล้ว คล้ายว่าครั้งนี้นางถูกโจมตีอย่างยับเยินยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวประสบความล้มเหลวอย่างมากโดยแท้ นางนับว่าเดินผ่านสถานที่หลายแห่งในตี้เกอแล้ว แต่เดิมตรอกหลิวหลีคือสถานที่เริ่มต้นกิจการในอนาคตที่นางถูกใจ นางมีพื้นฐานเส้นสายที่ดีมากอยู่ที่นี่ ก่อตั้งกิจการขึ้นมาคงราบรื่นสมปรารถนาอย่างยิ่งแน่นอน แต่พื้นที่ในตรอกหลิวหลีราคาสูงลิบลิ่ว ส่วนใหญ่เป็นสิ่งปลูกสร้างอาคารขนาดเล็กที่อยู่กระจัดกระจาย ระหว่างกันและกันยังมีระยะห่าง ไร้หนทางสานต่อความคิดจินตนาการเกี่ยวกับศูนย์รวมห้างสรรพสินค้าสตรีของนาง นี่คืออาคารสามชั้นติดต่อกันเพียงหลังเดียวที่นางพบในตรอกหลิวหลี แม้กระทั่งรูปแบบภายในยังสอดคล้องกับจินตนาการของนางขนาดนั้น แทบจะไม่ต้องทำการแก้ไขให้มากมาย พริบตาหนึ่งนั้นนางจึงนึกว่านี่คือสิ่งที่สวรรค์มอบให้ความฝันของนาง ทั้งช่วงพื้นที่ รูปแบบ การจัดวางและเส้นสาย เงื่อนไขที่ครบครันขนาดนี้จะไปหาจากที่ไหน?
จากนั้นตรงจุดสูงสุดของความปีติยินดี ไม้กวาดสกปรกด้ามหนึ่งก็บดขยี้ความฝันของนางให้แตกออกดัง เพล้ง! เสียแล้ว
นางพลิกกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้องโดยสาร ไว้อาลัยให้กับความฝันก่อตั้งกิจการที่ยังไม่ทันเริ่มต้นก็แหลกสลายไปแล้วของตน
“กระหม่อมว่านะฝ่าบาท…” อวี่ชุนฟังนางร้องไห้จนเหลืออดเหลือทน เอื้อมมือเข้ามาเคาะประตูรถ พร้อมเอ่ยว่า “ต้องถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ก็แค่อาคารหลังหนึ่งไม่ใช่หรือไร? ประเดี๋ยวกระหม่อมรายงานราชครูสักหน่อย ไม่ต้องสนใจว่ามันเป็นของผู้ใด นำมาถวายให้พระองค์ก็ได้แล้ว…”
“อย่ามายุ่งให้มาก!” วาจาบอกปฏิเสธที่โหดร้ายพุ่งออกมาจากภายใน
อวี่ชุนยักไหล่…ไม่รู้ความหวังดีของผู้อื่น ไม่ควรก่อกวนสตรีที่กำลังโมโหจริงด้วย
เพียงแต่เขากำลังกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ราชินีออกไปดีอกดีใจ แต่กลับร้องห่มร้องไห้กลับมา เรื่องนี้หากราชครูรู้เข้า ศีรษะของเขาจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่?
ทว่าความกังวลของเขาไม่ได้กลายเป็นความเป็นจริงเลย ด้วยเพราะพอจิ่งเหิงปัวเข้าใกล้ตำหนักอวี้จ้าวนางก็ไม่ร้องห่มร้องไห้แล้ว
พอเข้าประตูวัง เสียงร้องไห้ก็พลันเงียบสงบลง
ยามมาถึงจิ้งถิงแล้วลงจากรถ พออวี่ชุนเงยหน้า ก็ร้อง “ซี้ด” เสียงหนึ่งดั่งปวดฟัน
ราชินีที่อยู่เบื้องหน้า ดวงพักตร์เปล่งประกายอิ่มเอิบ สีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ มุมปากยิ้มแย้มสามส่วน สายตาเปี่ยมด้วยความปีติยินดี จะยังมีความหงุดหงิดเศร้าซึมอย่างเมื่อครู่เสียที่ใด?
อวี่ชุนกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนเองฝันไปหรือว่ายามนี้ตนเองกำลังฝันอยู่กันแน่
เรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือเขาพบว่าจิ่งเหิงปัวผูกปากแขนเสื้อเอาไว้แล้ว แขนที่ห่อจนคล้ายหัวผักกาดก่อนหน้านี้ก็ยังถูกบังเอาไว้ด้วย
“คือว่า…” เขามองดูใบหน้าสูงส่งเยือกเย็นในชั่วพริบตาของจิ่งเหิงปัวอย่างงงงวย รู้สึกว่าสังคมสมัยนี้ยิ่งทำให้คนไม่เข้าใจมากขึ้นแล้ว
“เรื่องก่อนหน้านี้ห้ามเอ่ยถึงแม้แต่เรื่องเดียว ให้เอ่ยถึงเพียงเรื่องที่ข้าได้รับการต้อนรับจากราษฎรในท้องตลาด เข้าใจหรือไม่?” จิ่งเหิงปัวตักเตือนเขาด้วยสีหน้าท่าทางขึงขัง ก่อนจะรีบเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วค่อยไปรายงานตัวกงอิ้น
อวี่ชุนชะงักงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนลูบศีรษะแล้วถามจื่อหรุ่ยว่า “ขุนนางหญิง เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงกันแสงแล้วเล่า?”
รอยยิ้มของจื่อหรุ่ยล่องลอยอยู่ภายในพระราชวังต้นฤดูเหมันต์แห่งนี้อย่างงดงามปราดเปรียว
“ด้วยเพราะทรงไม่อยากให้ผู้ที่พระนางทรงรักกังวลเพื่อตน”
…
“วันนี้ราชินีมีความเคลื่อนไหวใหม่อีกแล้ว”
“หืม?”
“นางคล้ายจะแสดงไมตรีต่อเผ่าฝูสุ่ย หอตรวจการ รวมทั้งเหล่าปราชญ์ ก่อนหน้านี้สมุหพระกลาโหมเฉิงแห่งเผ่าฝูสุ่ยขอบคุณการปกป้องคุ้มครองของนางอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าราษฎรและขุนนาง”
“ความทะเยอทะยานไม่ยอมสิ้นสุดสินะนางเนี่ย!”
“เดิมนึกว่านางจะสงบจิตสงบใจอยู่ในตำแหน่งของนาง เป็นราชินีที่ว่านอนสอนง่ายไม่ออกนอกลู่นอกทางได้ ทว่าบัดนี้ดูท่าทางแล้ว หวังให้นางไม่ออกนอกลู่นอกทางยังไม่สู้หวังให้กงอิ้นปลิดชีพตนเอง”
“ไม่ออกนอกลู่นอกทาง? นางเคยเข้าใจคำเหล่านี้ด้วยหรือ เพิ่งไม่นานเพียงใด สังหารบุตรชายผู้บัญชาการเฉิง ทำลายตระกูลซัง กวาดล้างจวนตระกูลจ้าว ยามนี้ยังคิดจะผูกไมตรีกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นกลาง เห็นได้ชัดว่ามุ่งมาทางกฎเกณฑ์ร้อยปีของต้าฮวง มุ่งมาทางเหล่าขุนนางต้าฮวง มุ่งมาทางพวกเรา!”
“สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือกงอิ้นคล้ายมีความคิดประคองนางขึ้นสู่ตำแหน่งจริง”
“หากเป็นเช่นนี้จริง เจ้าและข้ารวมทั้งเหล่าขุนนาง วันหน้าคงสิ้นชีพแล้วไร้ที่ฝังร่างเป็นแน่!”
“ราชครูคงไม่เป็นถึงขนาดนั้น! เขามีความทะเยอทะยานมากล้นเช่นกัน แล้วจะอนุญาตให้ราชินีเหยียบย่ำอยู่เหนือกว่าเขาได้อย่างไร!”
“เจ้าน่ะมันหลับหูหลับตาจงรักภักดี! วันเวลาเหล่านี้เขากระทำสิ่งใด จุดมุ่งหมายคืออะไร เจ้าปกครองทหารหลายปีเช่นกัน ก็มองไม่ออกจริงหรือ?! หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าความฝันงดงามเรื่องจักรพรรดิบุรุษเพศที่พวกเจ้าเอ่ยกันไว้ ล่มสลายไปตั้งนานแล้ว!”
“การเปลี่ยนผลัดป้องกันของคั่งหลงและความเสื่อมโทรมของจวนตระกูลจ้าวยังไม่เพียงพอจะอธิบายท่าทางของกงอิ้นอีกหรือ?”
“กงอิ้นมีท่าทางต่อราชินีแตกต่างจากปกติ ข้าคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดดั้งเดิมเช่นกัน”
“หากเขาปกป้องเต็มกำลังย่อมจะสูญเสียทุกสิ่ง พวกเราไม่ต้องการเจ้านายที่มีจิตใจลังเล ให้ความสำคัญกับโฉมสะคราญ!”
“ต้าฮวงไม่มีราชินีได้ ไม่มีราชครูที่ให้ความสำคัญกับความงามของสตรีคนหนึ่งได้ ทว่าไม่อาจไม่มีชนเผ่าร้อยปี ตระกูลขุนนางใหญ่โตหลายชั่วอายุคน เสาเอกราชสำนักเช่นพวกเราเหล่านี้!”
“ทว่าหากพวกเจ้าเป็นศัตรูกับราชครูจริง เกรงว่าคงยากจะมีจุดจบที่ดี! พวกเจ้าลืมเหตุการณ์ตี้เกอเมื่อห้าปีก่อนไปแล้วหรือ?!”
“เหตุการณ์ตี้เกอจะไม่ซ้ำรอยเดิม ด้วยเพราะพวกเราต่างไม่ใช่ราชินีหมิงเฉิงที่ก่อการอย่างสะเพร่าในยามแรก พวกเรามีคน มีใจ มีทหาร มีขุนนางสำคัญ มีหกแคว้น มีแปดชนเผ่า มีกลุ่มอำนาจเกือบทั่วทั้งต้าฮวง แม้กงอิ้นเป็นเทพยดาย่อมไม่อาจต้านทานยามพวกเราลงมือโจมตีโดยพร้อมเพรียง!”
“ด้วยเพราะหากเขาลงมือ ต่อให้ชนะย่อมชนะอย่างสาหัส ยามพละกำลังทั้งต้าฮวงต่างกำลังคัดค้าน แม้เขาพลิกคว่ำในมือเดียวได้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่จะมีสิ่งใดบ้าง? เขาจะสูญเสียจิตใจคน สูญเสียบารมี สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก สูญเสียทั่วทั้งต้าฮวง!”
“สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก เขาจะอาศัยสิ่งใดมาปกป้องนางได้อีก?”
“เขาปกป้องนางได้เพียงชั่วครู่ จะปกป้องนางได้ชั่วชีวิตหรือ? ขอเพียงนางอยู่ในตี้เกอ ขอเพียงพวกเราไม่ได้สิ้นชีพจนหมดสิ้น ราชินี…”
“ต้องตาย!”
…
“ข้ากลับมาแล้ว!” ทุกครั้งยามที่เสียงเกียจคร้านและน้ำเสียงสว่างไสวของจิ่งเหิงปัวดังขึ้นที่จิ้งถิงมักจะทำให้คนอารมณ์ดีขึ้นมา ยิ้มแย้มรู้ใจได้เสมอ
แทบจะโดยทันที เหล่าองครักษ์ชาววังที่เดินเหินอยู่ภายนอกต่างถอยออกไป หลงเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งอิสระมากขึ้นให้บางคน
จิ่งเหิงปัวตะโกนออกมาตามความเคยชิน จากนั้นก็ตระเตรียมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักของตนเองก่อน แกะมือหัวผักกาดนั่นออกก่อน ใครบางคนจะได้ไม่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
สุดท้ายนางก็ถูกเหมิงหู่ขวางไว้กลางทางแล้ว
“ฝ่าบาท” เหมิงหู่เอ่ยว่า “ยามนี้ราชครูมีเวลาว่างพอดี พระองค์จะเสด็จเยี่ยมเยียนสักหน่อยหรือไม่ ประเดี๋ยวเขาต้องต้อนรับผู้นำเผ่าจั๋นอวี่…”
“ข้าไปๆ” โอกาสเช่นนี้หาได้ยาก จิ่งเหิงปัวรีบเดินตามเขาไปในทันที เดินไปพลางลูบศีรษะทัดจอนผมไปพลาง เมื่อเดินผ่านสระน้ำก็ยังส่องหน้าอีกเล็กน้อย
ยามที่นางก้าวเข้าประตูมานั้น กงอิ้นก็วางสมุดพับลงพอดี แววตาที่มองมาทางนางสงบนิ่งยิ่งนัก
ภายในห้องหนังสือได้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว สิ่งของต่างวางกลับสู่ตำแหน่งเดิม แม้แต่โต๊ะหนังสือยังเปลี่ยนเป็นโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งเสมือนโต๊ะตัวเดิม มองไม่ออกว่าเมื่อครู่เคยมีการต่อสู้รุนแรงครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ
พอจิ่งเหิงปัวเข้าประตูมาก็พลันเชิดเสียงและคิ้วขึ้น ส่งรอยยิ้มออกมา
“ไฮ! เสี่ยวอิ้นอิ้น!” นางกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจร่าเริงว่า “วันนี้ข้าออกไปแล้วไม่ได้ก่อเรื่อง!”
“อืม” กงอิ้นกวักมือเรียกนาง บอกเป็นนัยให้นางเดินเข้ามา
จิ่งเหิงปัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างกายเขา เท้าถีบบนคานขวางข้างใต้เก้าอี้เขา…เดิมทีเก้าอี้ไม่มีคานขวาง แต่นางกล่าวว่าเก้าอี้ไม่มีคานขวางนางไม่รู้ว่าควรวางเท้าไว้ที่ไหน นางกล่าวว่าตนคุ้นเคยถีบบนคานขวางเก้าอี้ของตาทิพย์น้อยกับเค้กน้อยถึงจะพูดคุยได้ หลังจากกงอิ้นวิจารณ์ว่านิสัยเสียของนางมากมายนัก ก็หันหน้าไปสั่งให้เพิ่มคานขวางบนเก้าอี้ทุกตัวในจิ้งถิงและตำหนักของนาง
นับแต่นั้นนางก็ชอบนั่งฝั่งตรงข้ามกงอิ้น เท้าถีบบนคานขวางเก้าอี้ของเขา ขดตนเองกลายเป็นก้อนเดียว หันข้างมองเขาเอ่ยวาจาหรือกระทำเรื่องราว
เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ต่อเรื่องนี้ แต่นางรู้สึกว่าทุกครั้งที่นางทำแบบนี้ ท่วงท่ากับสีหน้าของเขาคล้ายนุ่มนวลเป็นพิเศษ
หลังจากเหล่าขุนนางค้นพบคานขวางแปลกประหลาดนี้ก็ย่อมมองแล้วขัดหูขัดตาไปทุกสิ่ง ทว่ากงอิ้นกระทำเรื่องราวสนใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรเสียที่ใด เก้าอี้ของจิ้งถิงจึงพิเศษขึ้นมาขนาดนี้ ได้ยินว่ายามนี้ข้างนอกก็ได้มีการเลียนแบบรูปแบบเช่นนี้ด้วย
จิ่งเหิงปัวค้ำเท้าไว้อย่างเคยชิน ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ นำคางวางไว้บนหัวเข่า ก่อนจะพ่นลมหายใจอออกมาอย่างเกียจคร้าน
ท่าทางหรี่ตาลงของนางดูดั่งจิ้งจอกที่กินอิ่มแล้ว
“ข้าเปิดร้านวาดภาพเหมือนแล้ว ประสบความสำเร็จมากเลยล่ะ” นางกล่าวกับเขาอย่างลำพองใจว่า “นั่นน่ะ คนมากมายเพียงใดเข้าแถวรอเปิดกิจการทั้งคืน ว้าว พวกเขาชื่นชอบร้านวาดภาพเหมือนของข้ายิ่งนัก ต่างเข้าแถวอย่างว่านอนสอนง่าย! แม้คนมากมายทว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งนัก ด้วยเพราะข้าจัดการได้ดีเยี่ยม!”
“อืม” กงอิ้นพยักหน้า คว้ามือของนางมา
“ราษฎรต้อนรับข้าเป็นอย่างดีเลยนะ” นางกล่าวกับเขาอย่างลำพองใจว่า “ข้าไปเดินชมเขตถนนหลิง โอ๊ย พวกเขาเคารพรักข้าเหลือเกิน มอบของหลายสิ่งหลายอย่างให้ข้า ของมีค่าข้าไม่ได้ต้องการ ของไม่มีค่าข้ารับไว้หมดแล้ว จริงสิข้าหิ้วแม่ไก่บ้านกลับมาให้เจ้าคู่หนึ่งด้วย ไก่ที่เลี้ยงเองบำรุงร่างกายยิ่งนัก ประเดี๋ยวข้าต้มน้ำแกงไก่ให้เจ้าดื่ม”
“ดื่มด้วยกัน” นิ้วมือของเขาลูบขึ้นไปตามแขนเสื้อนาง
“อีกทั้งพ่อค้าเหล่านั้นน่ะ กระตือรือร้นยิ่งนัก ประจบสอพลอยิ่งนัก” นางกล่าวกับเขาอย่างลำพองใจยิ่งขึ้นว่า “มอบชาดแดงแป้งร่ำแพรต่วนเครื่องประดับให้ข้าเต็มรถม้า ซ้ำยังเอ่ยว่าวันหน้าหากข้าไปจะจัดหาให้ทุกเวลา ถ้าไม่รับไว้ก็เสียดายแย่ ข้าก็เลยรับเอาไว้ทั้งหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงมอบให้ราษฎร สูงส่งเลิศล้ำยิ่งนักใช่หรือไม่?”
“เจ้าไปร้านพวกเขาครั้งหนึ่งก็ชดเชยมูลค่าที่พวกเขามอบให้เจ้าได้แล้ว” นิ้วมือของกงอิ้นกำลังค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างแผ่วเบา
“นั่นสิๆ จริงสิข้ายังเห็นอาคารที่งดงามอย่างยิ่งหลังหนึ่งด้วย ข้าตั้งใจว่าวันหน้าจะซื้อไว้ ข้าก็คุยกับอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยอมยกให้ข้า ทุกนาทีข้าจะได้กระทำเรื่องราวที่ตนเองอยากทำแล้ว…เอ๊ะ กงอิ้นเจ้าทำอะไรน่ะ…อ๊ะ เจ้ารื้อผ้าพันแผลข้าทำไมกัน…”
สายผ้าสีขาวม้วนหนึ่งร่วงลงมาจากปลายนิ้วมือกงอิ้น จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างก่อนจะพบว่ามือหัวผักกาดที่ซ่อนไว้อย่างดิบดีของตนเองถูกเขาคว้าไว้ในมือไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนกำลังแกะสายผ้าแล้ว