“พวกเจ้านะอย่าเข้ามาใกล้มากนัก อากาศร้อน เดี๋ยวจะพาลทำให้เยียนเอ๋อร์ร้อนไปด้วย”
ตี้อู่เจ๋อก้าวเข้าไปเตะก้นหลานชายให้กระจายตัวออกไป ส่วนตนเองก็หยิบเก้าอี้ตัวน้อยมานั่งลงข้างๆอวี้เฟยเยียน
“เยียนเอ๋อร์เด็กดี วิชาแพทย์ของเจ้าไปร่ำเรียนกับใครมากัน?”
ตี้อู่เจ๋อรู้สึกสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักการที่อวี้เฟยเยียนมีวิชาแพทยืที่สูงส่งเช่นนี้ เพราะนางแตกต่างกับบรรดาหลานชายของเขา ซึ่งได้รบการถ่ายทอดวิชาแพทย์ซึ่งเป็นความรู้ก้นหม้อจากครอบครัวมาตั้งแต่เล็ก
อวี้เฟยเยียนเติบโตอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่ เมื่อนางเกิดมาตี้อูเยียนเอ๋อร์ก็หายสาปสูญไปเสียแล้ว จึงมิอาจมาสอนวิชาแพทย์ให้แก่นางได้ แต่การที่นางจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ จะต้องมียอดฝีมือผู้มีวิชาสูงส่งถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างแน่นอน
‘เพียงแต่บนแผ่นดินหลัวอวี่จะมียอดฝีมือที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่ไหนกัน?’
ในยุคสมัยนี้ วิชาแพทย์ถือเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะเป็นหลานสาวของเขา แต่ตามกฎเกณฑ์แล้ว นางก็มิอาจถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้กับพวกเขาได้ นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตจากอาจารย์ของนาง
ซึ่งอวี้เฟยเยียนก็ได้เตรียมคำอธิบายสำหรับคำถามของอวี้เฟยเยียนเอาไว้แล้ว
“ตอนข้าอายุสิบสามปีนั้นได้รับบาดเจ็บ ศีรษะถูกกระแทก หลังจากนั้นในหัวของข้าก็มีสิ่งต่างๆผุดออกมามากมาย แรกเริ่มเดิมที ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งต่อมา มีชายชราคล้ายท่านปู่ใจดีผมสีเงินมาเข้าฝันข้าทุกคืน ท่นผู้นั้นถ่ายทอดวรยุทธ์และวิชาแพทย์ให้กับข้า”
“ท่านปู่ผมสีเงิน?” ตี้อู่เจ๋อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
การพบพานที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ในประวัติศาตร์ก็มีบันทึกเอาไว้ ดังนั้นเมื่ออวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ พวกเขาจึงเชื่อ
เพียงแต่ท่านปู่ผมสีเงินคือใครกันแน่? หรือว่าเป็นเทพ? เมื่อคิดคำตอบไม่ออก ตี้อูเจ๋อจึงมิได้ไปคิดมากอีกต่อไป จะอย่างไรหลานสาวของเขาก็เก่งอยู่ดี นี้เป็นเรื่องที่สมควรดีใจ
“ติ่งหลอมยาชิ้นดีธรรมดาเกินไป ที่ปู่มีของดีอยู่อันหนึ่ง มอบให้เจ้า”
ตี้อู่เจ๋อกลับไปยังห้องของตน ค้นหาติ่งปรุงยาทองแดงที่ด้านหน้ามีรูปของมังกรคู่คาบแก้วสลักอยู่ให้กับอวี้เฟยเยียน
“ท่านปู่”
เมื่อเห็นติ่งปรุงยาในมือของตี้อู่เจ๋อ ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ตกตะลึงไม่น้อย
เจ้าติ่งมักรคู่นี้คือศาตราวุธ ซึ่งหลอมขึ้นโดยช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ซึ่งมันยังเป็นของรักของหวงของตี้อู่เจ๋ออีกด้วย ในเวลาปกติพวกเขาแตะต้องมันเพียงเล็กน้อย ตี้อู่เจ๋อก็ตื่นตูมเป็นเรื่องใหญ่ต่อว่าต่อขานอยู่เป็นนาน แต่วันนี้กลับนำมามอบให้กับอวี้เฟยเยียนอย่างใจกว้างเสียได้
ซึ่งการณ์นี้ทำให้พี่ชายทั้งหลายต่างก็แน่ใจว่า น้องสาวกลายเป็นที่หนึ่งในใจของท่านปู่ไปแล้ว
เ”ก็บเอาไว้ใช้”! ตี้อู่เจ๋อประคองติ่งปรุงยามอบให้กับอวี้เฟยเยียน
ดูจากหน้าตาท่าทางของทุกคนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ในทันทีว่า ติ่งปรุงยานี้ล้ำค่ามากเพียงไหน แล้วนางจะกล้ารับเอาของจากคนแก่ได้อย่างไร!
“ท่านตา ท่านตาดีกับข้าจริงๆเลย! แต่ว่า ติ่งปรุงยาอันนี้ท่านใช้คุ้นมือแล้ว เช่นนั้นท่านตาก้เก็บเอาไว้เถอะค่
“เหมาะสมกับท่านตา ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับข้า! รอให้ข้าตามหาวัสดุที่เหมาะสม ข้าค่อยหลอมติ่งปรุงยาให้กับ
ตัวเองจะดีกว่า”
“ช้าก่อน——”
สองวันที่ผ่านมาหัวใจของ ตี้อู่เจ๋อถูกกระทบกระเทือนไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว ตอนนี้อวี้เฟยเยียนมาบอกว่าตนเองหลอมติ่งปรุงยาได้อีก ทำเอาตี้อู่เจ๋อถึงกับต้องลูบที่บริเวณหัวใจ เพื่อทำให้ตนเองสงบสติอารมณ์สักครู่จึงค่อยเอ่ยปากถามออกมา
‘ติ่งปรุงยา? นั่นมันเป็นเรื่องของช่างหลอมเหล็กนี่นา แล้วเจ้าที่เป็นหญิงสาวคหนนึ่ง จะหลอมมันอย่างไรกัน?’
ช่างหลอมเหล็ก นับเป็นอาชีพพิเศษอย่างหนึ่งของอู๋โยวทีเดียว
พวกเขาไม่เหมือนอาชีพอื่นทั่วไป เมื่อวัสดุชั้นเยี่ยมผ่านมือพวกเขาละก็ สิ่งที่หลอมขึ้นมาจะนับว่าเป็นของมีระดับทันที
จากระดับทองแดงเขียว ระดับขาวเงินจนกระทั่งถึงระดับทองคำ…
ช่างหลอมเหล็กที่มีความสามารถมากหน่อยถึงขนาดสามารถหลอมศาตราวุธได้ปราชญ์ ศาตราวุธ เลยทีเดียว
เพียงแต่ว่า ช่างหลอมเหล็กบนแผ่นดินอู่โยวแห่งนี้มีจำนวนไม่มาก คนที่สามารถหลอมศาตราวุธปราชญ์อาวุธได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยและช่างที่สามารถหลอมเทพอาวุธได้ก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เหตุเพรา ไม่ใช่ว่าการหลอมจะสำเร็จในทุกครั้ง แน่นอนว่าโอกาสที่จะล้มเหลวย่อมต้องมีมากกว่าอยู่แล้ว
การที่จะสามารถหลอมศาตราวุธออกมาได้ คือความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตของช่างหลอมอยู่แล้ว
บัดนี้ อวี้เฟยเยียนคิดที่จะหลอมติ่งปรุงยาของตนเอง ทำให้ตี้อู่เจ๋อตกตะลึงไม่น้อย
“ฮิๆ——” อวี้เฟยเยียนยิ้มอย่างน่ารัก
ท่านตา ข้าลืมบอกท่านตาไปว่า ข้ามีผู้ช่วยชั้นดีด้วยนะคะ!
“ออกมาเถอะ จวินจวิน!”
เมื่ออวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ที่ปลายนิ้วทางด้านขวาของนางก็ปรากฏลูกไฟสีน้ำเงินอมเขียวขึ้น
“สวรรค์! สวรรค์! ข้าเห็นอะไรกันนี้ นี่คือเทพอัคคี!”
ไม่เพียงแค่ตี้อู่เจ๋อ ท่านลุงทั้งสามคนของอวี้เฟยเยียนก็ร้องขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“ไม่ไหวแล้ว! ยายเฒ่า เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้า ว่าข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่? เพราอะไรภายในระยะเวลาเพียงแค่สองวนถึงได้เกิดเรื่องเหลือเชื่อมากมายเพียงนี้? ข้าต้องกำลังฝันไปอยู่แน่ ฝันแน่ๆ!” ตี้อู่เจ๋อถูกเรื่องราวมากมายกระทบกระเทือนใจจนหัวหมุนไปหมด
“เจ้าแก่ เจ้าไม่ได้ฝันไป! หลานสาวของพวกเราเก่งกาจยอดเยี่ยมยิ่งนัก ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก!”
ไฟบรรลัยกัลป์ที่ปลายนิ้วของอวี้เฟยเยียนกำลังเต้นระบำ สุดท้ายนางก็ลงสู่พื้นกลายร่างเป็นเจ้าโลลิต้าน้อยในชุดสีเขียว นับตั้งแต่อวี้เฟยเยียนสำเร็จเป็นเทพโอสถ ช่วงวัยของเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็เพิ่มมากขึ้น บัดนี้มองดูแล้วราวกับอายุสิบขวบเห็นจะได้
“พวกเจ้ารีบมาดูเร็วเข้า! เทพอัคคียังมีร่างเป็นคนอีกด้วย!” ตี้อู่หรงเต๋อตื่นเต้นจนแทบระงับอาการไว้ไม่อยู่
“นายท่าน นี่คือครอบครัวของท่านหรือ? น่าสนุกจริงๆเลยเชียว”
เจ้าไฟบรรลัยกัลป์วิ่งวนรอบตัวตี้อู่ตรงเต๋อ เมื่อเห็นว่าเขาเอื้อมมือออกมาเตรียมจะสัมผัสมัน มันก็แกล้งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน รอจนกระทั่งนิ้วชี้ของตี้อู่หรงเต๋อสัมผัสถูกเอวของมันนั่นเอง เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็ ‘ก๊ากๆ’ หัวเราะออกมายกใหญ่
“คันจังเลยๆ! อย่าจักกะจี้ข้าสิ!”
แม้ว่าจะมีเพียงอวี้เฟยเยียนเท่านั้นที่ได้ยินเจ้าไฟบรรลัยกัลป์นี้ แต่การที่นางหัวเราะร่วนมือกุมท้องเช่นนี้ก็น่ารักอย่างที่สุด
เทพอัคคียังกลัวจักกะจี้ด้วย! น่าสนุกยิ่งนัก!
การปรากฏตัวของเทพอัคคีดึงดูดความสนใจของทุกคน ทั้งยังล้างบางความคิดเดิมๆที่ทุกคนมีต่อเทพอัคคีเสียใหม่อีกด้วย