ในกล่องมีเพียงรองเท้าหัวเสือของเด็กคู่หนึ่ง
นี่คืออะไรกัน?
นรมนมองไปที่คุณท่านตนุวรด้วยความอึดอัดใจ แต่คุณท่านตนุวรรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านรมน
เขาหยิบรองเท้าหัวเสือขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ทันใดดวงตาคู่นั้นก็คลอไปด้วยน้ำตา
“ยายแก่เอ๋ย นึกไม่ถึงว่ายังคงเก็บไว้อยู่ ฉันนึกว่าเธอจะไม่สนใจไปนานแล้ว”
คุณท่านตนุวรนำรองเท้าเสือมาวางไว้บนใบหน้าของตัวเอง น้ำตาอุ่นร้อนก็ไหลทะลักลงมาทันที
สิ่งนี้ทำให้นรมนตกใจ
คุณท่านตนุวรเข้มแข็งมาตลอดชีวิต แม้ตอนที่คิมเสียชีวิตไป เธอก็ไม่เคยเห็นคุณท่านตนุวรเศร้าขนาดนี้
“คุณตา เป็นอะไรไปคะ? รองเท้าหัวเสือนี่มันยังไงกัน? ของแม่หนูเหรอ?”
นรมนเดา แต่คุณท่านตนุวรกลับโบกมือ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นและนำรองเท้าคู่นั้นกลับห้องไป
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างของคุณท่านตนุวร นรมนก็จับสมจิตไว้ด้วยความสงสัย
สมจิตส่ายหัว
ในหัวของนรมนไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์อะไรได้ แต่เธอก็รู้ว่าตัวเองขุดอดีตอันน่าเศร้าของคุณท่านตนุวรให้กลับมา
น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าตัวเองไม่น่าอยากรู้อยากเห็นเลย
“ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”
นรมนมองไปยังสมจิต
สมจิตขมวดคิ้ว เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูด “ท่านหัวหน้าคงกำลังคิดถึงบางสิ่งในอดีต เราปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวตอนนี้เถอะค่ะ”
“ก็ได้”
ที่จริงนรมนรู้สึกหิวเล็กน้อย แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทานไม่ลงแล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาปัดดูข่าวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในขณะนั้น โตษินก็เข้ามาพร้อมกับช่อกุหลาบช่อใหญ่
“โตษิน นี่จะไปจีบผู้หญิงหรือ? หรือผู้หญิงมาจีบนายกัน? กุหลาบช่อใหญ่ขนาดนี้ สวยจัง”
นรมนแกล้งโตษิน
โตษินวางดอกกุหลาบไว้ตรงหน้าเธอแล้วพูด “ให้คุณครับ”
“ฉัน?”
นรมนชะงักไป
“ใครให้นายมา”
“ไม่รู้สิ ทางเขตทหารส่งมาให้ผม”
คำพูดของโตษินทำให้นรมนประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
ในตอนนี้เองที่สมจิตเตะไปยังช่อดอกกุหลาบให้พ้นตัวออกไปอย่างเร็ว
“สมจิตทำอะไร?”
ช่อดอกไม้ถูกสมจิตเตะเสียกระจัดกระจาย นรมนรู้สึกใจคอเหี่ยวแห้ง
“ฉันกลัวว่าภายในช่อกุหลาบจะมีอะไรทำร้ายคุณนายได้ค่ะ”
คำพูดของสมจิตทำให้โตษินแทบก่ายหน้าผาก
“เธออย่าคิดร้ายไปหน่อยได้ไหม? ที่นี่ที่ไหนกัน? บ้านตระกูลพรโสภณนะ! เธอคิดว่าของที่มาจากมือฉันจะมีปัญหาเหรอ?”
“นั่นก็ไม่แน่ค่ะ นอกจากคุณนายแล้ว ฉันไม่เชื่อใคร”
สมจิตไม่ไว้หน้าโตษินสักนิด
ใบหน้าของโตษินจมลงทันที
“เธอหมายความว่าอะไร? เธอหมายความว่าฉันจะทำร้ายคุณนรมนเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะลุกขึ้น นรมนก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“เดี๋ยวก่อน พวกเธอสองคนก็ทำเพื่อฉันทั้งคู่ ฉันรู้ แต่เราก็ไม่ต้องหวาดระแวงอะไรเมื่ออยู่ในบ้านนี่ ถูกไหม? เอ่อ? ในนั้นมีการ์ดไหม? สมจิต ช่วยไปดูให้ฉันหน่อย ว่าใครส่งมา ฉันเป็นแม่ของลูกๆแล้ว คิดไม่ถึงว่าใครจะส่งกุหลาบมาให้ มันก็เป็นเรื่องที่น่ามีความอยู่นะใช่ไหม?”
นรมนรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
ทั้งโตษินและสมจิตก็อารมณ์รุนแรงด้วยกันทั้งคู่ อยู่ด้วยกันแล้วมันอันตรายเสียจริง
สมจิตเหลือบมองโตษิน เธอไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะตรงเข้าไปหยิบการ์ดออกมา
นรมนเปิดการ์ด ข้างบนเขียนไว้ว่า “สวัสดีครับ หม่ามี๊สุดที่รัก ได้รับดอกไม้แล้วดีใจไหม? ผมคิดว่าต้องดีใจแน่ใช่ไหม? ดีใจก็ยิ้มเถอะน่า แต่ผมอยากบอกนะว่า ดอกไม้นี่ผมไม่ได้เป็นคนซื้อหรอก คือคุณบุริศร์เขาฝากฝังคนมากำชับผมว่า ต้องส่งช่อดอกไม้ให้แม่ทุกวัน เพื่อกันไม่ให้แม่ลืมเขา เอ การเป็นลูกชายมันยากจริงๆนะครับ นึกไม่ถึงว่าต้องมาเห็นพวกคุณอวดความรักกัน รู้ไหมว่ายากมากสำหรับผม”
ประโยคสุดท้ายลงชื่อกานต์
นรมนยิ้มขึ้นมาทันใด
เจ้าเด็กคนนี้นี่!
เธอมองดอกไม้ที่เรี่ยราดเต็มพื้น ปวดใจเล็กน้อย
“นี่เป็นดอกไม้ที่ลูกชายส่งมาให้ฉัน ไม่ใช่สิ มีมิตรภาพของสามีฉันอยู่ข้างในด้วย เธอสองคนต้องชดใช้ให้ฉัน!”
นรมนหดหู่หัวใจราวกับเด็ก เธอเกือบจะร้องไห้ใส่โตษินกับสมจิต
สมจิตโทษตัวเองทันที
“หรือให้ฉันออกไปซื้อมาให้เหมือนกับช่อเดิมไหมคะ?”
“เหมือนกันได้อย่างไร? นี่เป็นดอกไม้ที่สามีกับลูกของฉันส่งมาให้!”
นรมนก้มลงไปเก็บขึ้นมาทีละดอก
ดูเหมือนสมจิตแทบอยากจะยอมรับผิดและขอโทษอย่างมหันต์
“คุณนาย ฉัน… …”
“ฉันทำไม? คราวหลังมีปฏิภาณหน่อยสิ”
โตษินสั่งสอนเธอ
สมจิตเงียบปากไป
ครั้งนี้ตัวเธอเองหุนหันพลันแล่นไป
นรมนเก็บดอกไม้ขึ้นมา เมื่อหันกลับไปเห็นท่าทางโทษตัวเองของสมจิต แม้จะปวดใจ แต่เธอก็ยังพูดปลอบ “เอาละ ฉันแค่ล้อเล่นน่า ฉันกลับขึ้นไปปักดอกไม้ก่อนนะ”
พูดจบ นรมนก็นำดอกกุหลาบเข้าไปในห้องนอน
เธอหาแจกันที่สวยงาม ก่อนจะใส่ดอกไม้ลงไป และจัดแจงให้ดูสวยงาม
บุริศร์นี่มีความสามารถเสียจริง ตอนนี้เขาอยู่ที่สถานีตำรวจนี่ นึกไม่ถึงว่าจะโทรหากานต์ให้ส่งดอกไม้มาให้เธอได้
ดูท่าจะใช้โทรศัพท์ของป้องโทรแน่?
มุมปากของนรมนยกยิ้ม เธอรู้สึกว่าดอกกุหลาบเหล่านี้สดใสและสวยงามมาก
ไม่เหมือนเขาจริงๆ
นรมนมองและยิ้มไปที่กุหลาบราวกับคนโง่ แต่ตัวเองกลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย
เธอคิดถึงลูกชายเล็กน้อย
นรมนนำโทรศัพท์ออกมาโทรหากานต์ แต่ฝั่งนู้นไม่รับโทรศัพท์
ทันใด เธอก็รู้สึกไม่ดีที่จะส่งลูกชายเข้ากองทัพ คิดอยากจะเจอก็ไม่ได้เจอ
นรมนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
พอดีกับที่ธรรศโทรเข้ามาในเวลานี้พอดี
“อาสาม”
“อาได้ยินว่าหนูกลับมาแล้ว? อยู่ไหนละ? อาออกมาทำธุระพอดี ว่าจะไปหาหนูหน่อย เด็กคนนี้นี่ ได้รับเรื่องแย่ๆขนาดนี้ยังไม่บอกอาสักคำ? คนที่ตีหนูชื่ออะไร? เนตราใช่ไหม? ให้อาสามจัดการเถอะ อาสัญญาว่าจะลอกหนังเธอออก กล้ามารังแกหลานของอา เธอกล้าเกินไปแล้ว”
ธรรศพูดบลาบลาเจื้อยแจ้ว แต่นรมนได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจและซาบซึ้ง
“อาสาม หนูไม่เป็นไรค่ะ แต่เรื่องนี้หนูมีอะไรให้อาช่วยด้วยค่ะ”
“พูดมา เพียงแค่อาทำได้ อาสัญญาว่าจะทำ”
ตอนนี้แม้ว่า นรมนจะบอกว่าเธอต้องการดวงจันทร์บนท้องฟ้า คาดว่าธรรศคงจะหาวิธีไปเอามาจนได้
นรมนดีใจจริงๆ ที่เธอยังมีคนในครอบครัวเหล่านี้อยู่ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย
ถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเขา พวกเขาจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นเดียวกับพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนไหม?
นรมนแทบจะตระหนักในทันทีว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ และอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเอง
ตัดสินชี้ขาดนานแล้วใช่ไหมว่าเธอเป็นลูกสาวตระกูลทวีทรัพย์ธาดา?
ทำไมจู่ๆ ถึงนึกถึงสมมติฐานที่ไม่น่าเชื่อถือแบบนี้ขึ้นมา?
นรมนส่ายหัวอย่างรวดเร็ว โยนความคิดที่ฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกจากจิตใจของเธอ และพูดด้วยรอยยิ้ม “อาสาม นานมากแล้วที่หนูไม่ได้เจอกานต์ คิดถึงเขามาก ให้หนูไปพบลูกชายได้ไหมคะ? กฎเกณฑ์ในกองทัพของอามีมากเหลือเกิน อยากเจอลูกชายตัวเองตามใจคิดก็ไม่ได้ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน”
ธรรศคิดว่านรมนจะพูดอะไรเสียอีก เมื่อได้ยินเสียงบ่นของเธอ เขาก็ยิ้มและพูดว่า “เฮ้ นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เรื่องนี้เองเหรอ?”
“ค่ะ เรื่องนี้ไม่ยากไปใช่ไหม”
“กับคนอื่นนะอาจจะยาก แต่กับอาสามแล้ว เรื่องนี้มันง่ายมากเลยละ อาออกมาทำธุระนิดหน่อย เดี๋ยวอากลับไปเขตทหาร แล้วจะพาหนูมาเจอเจ้าเด็กคนนี้นะ อาพูดเลยนะ ว่าหนูให้กำเนิดลูกชายที่ดีมาก และเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลทวีทรัพยท์ธาดา!”
เมื่อธรรศพูดถึงกานต์ เขาไม่สามารถหยุดพูดได้
ใจของเธอในฐานะที่เธอเป็นแม่ก็มีความสุขมากเหลือเกิน ยิ่งคิดถึงลูกชายไปอีก
“หนูอยู่กับคุณตา เดี๋ยวอาสามมารับหนูนะคะ”
“ได้สิ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
หลังจากคุยโทรศัพท์กับธรรศแล้ว อารมณ์ของนรมนก็ดีขึ้นมาก
กมลและกิจจาไม่อยู่ เธอยังดีที่ได้เจอกานต์ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะคิดถึงเจ้าพวกตัวน้อยพวกนี้มาก
เมื่อกำลังคิด ภายนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา
“คุณนรมนคะ ท่านหัวหน้าให้มาตามไปทานข้าวค่ะ”
“เดี๋ยวไปค่ะ”
นรมนจัดการตัวเองนิดหน่อยก่อนจะเปิดประตูลงไป
คุณท่านตนุวรกลับมาเป็นเหมือนปกติ และเมื่อเห็นนรมนเดินลงมา เขาก็ยิ้มทัก “รีบมาทานข้าวเร็ว ไม่หิวเหรอ?”
“หิวสิคะ แต่เมื่อตะกี้ไม่ใช่คุณตาเหรอที่สะบัดมือแล้วเดินไป? ทำให้หนูหิวไปอีกนาน คุณตาต้องชดใช้”
นรมนจับแขนของเขาอย่างซุกซน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาหารด้วยกัน
คุณท่านตนุวรส่ายหัวอย่างตามใจ ก่อนพูด “เอาละ ชดใช้ให้ ต้องการอะไร พูดมาเลย”
“หนูไม่ต้องการอะไร นอกเสียจากต้องการรู้ค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับรองเท้าหัวเสือคู่นั้น?”
คุณท่านตนุวรหยุดไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตาจะเล่าให้ฟังทีหลัง กินข้าวก่อน”
“ค่ะ”
นรมนก็ไม่ใช่คนที่จะดึงดันอะไร อีกอย่างคนนี้ก็เป็นคุณท่านตนุวร เธอเลยหยุดถามเกี่ยวกับปัญหานี้
พวกเขาเดินเข้ามาก่อนจะนั่งที่โต๊ะอาหาร
พ่อบ้านยกอาหารมา นรมนก็พูดถึงความอร่อยของมัน
“กับข้าวหอมมาก ถ้ากมลอยู่นี่ เธอต้องชอบแน่”
นรมนพลันแสบที่จมูกเล็กน้อย
เธอใช้เวลากับลูกสาวและลูกชายน้อยลงเรื่อยๆ ตั้งแต่กลับประเทศมา
ความตะกละของกมลปรากฏขึ้นในใจของเธออย่างห้ามไม่ได้
เมื่อก่อนไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าภาพนั้นอบอุ่น และน่ารัก
“เอาละ ไม่ใช่ว่ากมลจะไม่กลับมานะ ไม่กี่วันก็จะกลับมาแล้วละ หลานได้เห็นแน่ ”
“ค่ะ”
นรมนพยักหน้า แล้วพูดว่า “คุณตา เดี๋ยวสักครู่หนูจะไปเยี่ยมกานต์ที่เขตทหารกับอาสามนะคะ คุณตามีอะไรจะฝากบอกเขาไหม”
“ให้เขาทำงานให้หนักและเรียนให้หนัก ให้เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
คุณท่านตนุวรสมแล้วที่เกิดมาเป็นชายชาติทหาร นั่นคือสิ่งที่เขาบอกเมื่อเปิดปากพูด
“ค่ะ”
นรมนไม่แปลกใจตรงนี้เลย เธอยิ้มตอบรับ
มื้ออาหารเต็มไปด้วยความสุข
นรมนทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย เธอรู้สึกแน่นท้องนิดหน่อย
เธอต้องการไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านสมจิตไม่เดินตาม ถึงอย่างไรก็เป็นในบ้านตระกูลพรโสภณ คนภายนอกคิดจะเข้ามาก็เข้าไม่ได้
คุณท่านตนุวรแก่ชราแล้ว เขาต้องการพักผ่อนหลังจากรับประทานอาหาร เขากลับห้องของตัวเองไป
นรมนเหยียดแขนของตัวเอง สวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปยังสวนหลังบ้าน
คุณท่านตนุวรได้พัฒนาสวนหลังบ้านให้เป็นแปลงดอกไม้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดอกไม้นานาชนิด ทำให้คนดูเพลิดเพลินตาไม่น้อย
พลันได้มีเสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น ราวกับมีวัตถุหนักบางอย่างตกลงมา ทำให้นรมนระแวดระวังตัวอย่างเร็ว