“ขวัญตา ถือซะว่าผมขอร้องคุณละได้ไหม? ให้ผมได้อยู่อย่างสงบสักหน่อยเถอะ”
เจตต์พูดไม่ออกว่าใจมันจี๊ด ๆ ยังไง
เขาเป็นคนไข้อยู่นะ โอเคไหม
“ฉันจะไม่พูด คุณนอนพักผ่อนไปก็พอ”
คำพูดของขวัญตาทำให้มุมปากของเจตต์กระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ที่ผมพูดหมายความว่าคุณอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าผมชั่วคราวได้ไหม?”
“ไม่ได้ ฉันเป็นคนที่น้องสาวคุณบอกให้มาอยู่ดูแลคุณนะ”
ขวัญตาเอานรมนออกมาอ้างโดยตรงเลย
“ใคร?”
“นรมนไง ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของคุณเหรอ? ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
ขวัญตาดึงนรมนมาบังหน้าอย่างหน้าตาย แล้วเจตต์ก็หุบปากลงจริง ๆ
ถ้ารู้ว่าเอานรมนมาใช้ได้ง่ายขนาดนี้ เธอก็ควรพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
นรมนฟังขวัญตารังแกเจตต์แบบนี้อยู่ที่ด้านนอก ในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วเธอก็ผลักประตูเปิดเข้าไป
“ขวัญตา ฉัน……”
“น้องสาวคุณกลับมาแล้วเหรอ? หมอว่ายังไงบ้าง? เจตต์ของบ้านเราคงจะไม่พิการอยู่บนเตียงหรอกใช่ไหม?”
ขวัญตารีบพูดขัดคำพูดของนรมนขึ้นมา
ล้อเล่นซิ
ถ้าให้เจตต์รู้เข้าว่าตัวเองดึงนรมนมาบังหน้า ต่อไปไงจะยอมพูดดี ๆ กับเธออีกเหรอ?
ขวัญตาถามไปด้วย แล้วก็กะพริบตาให้นรมนไปด้วย จนนรมนเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บตาแทน
พอเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเจตต์ก็มองมาที่ตัวเอง ถึงแม้ว่าความสนิทชิดเชื้อจะน้อยไปเสี้ยวหนึ่ง แต่ว่าก็ยังคงอบอุ่นอยู่
“คุณมาได้ยังไงกัน?”
“เรื่องใหญ่ขนานนี้ ถ้าฉันไม่มาคุณจะรอให้ใครมาเซ็นชื่อให้คุณผ่าตัดกัน?”
นรมนถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “อย่าพูดคำพูดไร้เยื่อใยขนาดนั้นกับเด็กสาวเขาซิ”
ขวัญตาเห็นว่านรมนพูดแบบนี้ ก็รีบวิ่งมาอยู่ข้างหน้าเจตต์แล้วพูดขึ้นว่า “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าน้องสาวของคุณแนะนำฉันมา”
ท่าทางแบบนั้นพูดไม่ออกมาว่าได้ใจขนาดไหน
ในเมื่อนรมนก็พูดแบบนี้แล้ว เจตต์เองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
เขาไอขึ้นมาทีหนึ่ง “ผมไม่เป็นไร ก็แค่อุบัติเหตุเล็ก ๆ อันหนึ่ง พักไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“อุบัติเหตุเล็กๆ ยังต้องให้ศัลยแพทย์มือหนึ่งระดับโลกมาผ่าตัดให้อีก อุบัติเหตุของคุณนี่เล็กจริง ๆ เลยนะ เจตต์ ขอร้องล่ะเทศกาลตรุษจีนทั้งที คุณจะทำตัวดี ๆ หน่อยไม่ได้เหรอ? คุณว่าจะออกนอกประเทศไปเที่ยวเล่น ก็ไม่มีใครห้าม แต่ว่าคุณกลับมาในสภาพแบบนี้ จะให้คนได้มีเทศกาลตรุษจีนดี ๆ หน่อยได้ไหม?”
คำพูดของนรมนทำให้หน้าของเจตต์รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย
“ผมไม่ได้อยากจะทำให้คุณเป็นห่วง”
“แบบนั้นก็ดี หาผู้หญิงคนหนึ่งแล้วใช้ชีวิตดี ๆ อยู่ในเมืองชลธีดี ๆ เลิกออกไปโอ้อวดไปทั่วได้แล้ว แค่ช่วงระยะเวลาสั้นที่ไม่เจอคุณ คุณนี่เก่งนะ พาผู้หญิงกลับมาทีละสองคนเลย ยังไง? หรือคุณอยากจะกอดซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งหรือไง?”
คำพูดของนรมนทำให้เจตต์มึนงงไปเลย
“อะไรผู้หญิงสองคนเหรอ? ผู้หญิงสองคนไหนกัน?”
“ก็อรอุรชาไง นี่ก็เป็นเพราะว่าเธอบอก ฉันถึงได้รู้ว่าคุณนอนโรงพยาบาลนะ ”
เจตต์หรี่ตาคิดไปครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออกว่าอรอุรชาคือใคร
ขวัญตาพูดเสียงเรียบขึ้นว่า “ก็คือเด็กนักเรียนคนนั้นที่คุณไปช่วยเหลือให้ได้เรียนมหาลัยไง ไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ เป็นถึงเด็กมหาลัยแล้วยังต้องการให้ช่วยเหลืออีก? เธอมีเวลาและเรี่ยวแรงที่จะไปทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ โอเคไหม”
พอโดนขวัญตาพูดเตือนแบบนี้แล้ว เจตต์ถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“ผมไม่สนิทกับเธอ”
“ไม่สนิทคนเขาจะมีเบอร์โทรศัพท์ของคุณเหรอ? ไม่สนิท คุณเกิดอุบัติเหตุแล้ว คนเขาจะโทรศัพท์หาเธอเป็นคนแรกเหรอ? แจตต์ ขอร้องล่ะ ต่อไปคุณช่วยมีสมองหน่อยได้ไหม?”
จากปฏิกิริยาของเจตต์นรมนสามารถมองออกได้ว่า เจตต์ไม่ได้สนิทกับอรอุรชาคนนั้นจริง ๆ
แต่ว่าถ้าไม่สนิทกันจริง ๆ ละก็ งั้นการกระทำทั้งหมดของอรอุรชาก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบสักหน่อยแล้ว
ในส่วนนี้เจตต์เองก็ไม่ได้โง่ แน่นอนว่าต้องนึกออกอยู่แล้ว
ยากที่ขวัญตาไม่ได้มาพูดแทรก ในขณะที่เขาและนรมนพูดคุยกันนั้น ขวัญตาก็ได้ปลอกแอปเปิลเสร็จแล้วลูกหนึ่งแล้วยื่นมาให้เจตต์
“เอ้า กินสักลูกเถอะ แอปเปิลมีสารอาหารเยอะ”
หัวคิ้วของเจตต์ขมวดกันเล็กน้อย
“ให้นรมนกินเถอะ ผมไม่ชอบกิบแอปเปิล”
ขวัญตากลับจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “น้องสาวก็ต้องมีประธานบุริศร์มารักใคร่อยู่แล้ว ยังต้องให้คุณเป็นกังวลอีกเหรอ? แล้วอีกอย่างตอนนี้คุณเป็นคนป่วย รีบกินเร็ว ๆ ไม่งั้นฉันจะป้อนคุณนะ”
ประโยคสุดท้ายนั่นทำให้เจตต์ตัวสั่นทั้งตัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบรับแอปเปิลมากัดอย่างแรงคำหนึ่ง อย่างกับว่าแอปเปิลนั่นเป็นขวัญตายังไงอย่างงั้น
นรมนหัวเราะขึ้นมาทันทีเลย
ยังมีคนสามารถปราบเจตต์ให้อยู่หมัดได้ด้วยจริง ๆ
แล้วขวัญตาก็หยิบส้มออกมาจากตะกร้าผลไม้อีกลูกยื่นให้กับนรมน และยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงต้องเสริมวิตามินหน่อยถึงจะดี”
“ขอบคุณ”
นรมนรับมาอย่างมีมารยาท
เธอจำได้ว่าตอนที่ตัวเองออกไปจากห้องผู้ป่วยนั้น ในห้องไม่มีอะไรเลยนี่ แล้วเวลาแค่สั้น ๆ นี้ ในห้องมีแจกันเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง ในแจกันมียังมีดอกได้ปักอยู่ช่อหนึ่ง ที่ข้าง ๆ มีตะกร้าผลไม้ ผลไม้สดใหม่อะไรก็มีหมด แถมยังแทบจะเป็นผลไม้ที่เจตต์ชอบกินทุกอย่าง
ที่เหลือด้านข้างยังมีโจ๊กถ้วยเล็ก ๆ วางอยู่ ดูไม่ชัดว่าเป็นโจ๊กอะไร แต่ว่าดูท่าทางน่าจะไม่เลวเลย
“ของพวกนี้เป็นของที่คุณเพิ่งสั่งซื้อเข้ามาเหรอ?”
นรมนถามขึ้น
ขวัญตารีบพูดขึ้น “ของที่สั่งมาไม่สะอาด ฉันก็เลยให้พ่อครัวที่บ้านฉันทำมา ตั้งแต่รู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้น ฉันก็ให้พ่อครัวที่บ้านเตรียมไว้ให้แล้ว ให้เขากินผลไม้รองท้องไปก่อน ฉันได้ยินมาว่าก่อนการผ่าตัดเขาเพิ่งกินข้าวมา เลยกลัวว่าหลังผ่าตัดแล้วมากินโจ๊กต่อจะทำให้ปวดกระเพาะเอา ยังไงก็ให้ผ่อนคลายหน่อยก่อนดีกว่า”
นรมนไม่ได้พูดอะไร แล้วมองเจตต์อย่างความหมายไม่ชัดเจนทีหนึ่ง
เจตต์เป็นเหมือนกับเด็กที่ทำผิดคนหนึ่ง แล้วก็รีบหลบสายตาของนรมนไป
นี่มันจะต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องกับขวัญตาแน่ ๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นรมนเองก็ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอต่อที่นี่แล้ว
เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณตาของฉันบอกว่า จะตรุษจีนแล้ว ถ้าคุณไม่มีอะไรก็ให้กลับไปเยี่ยมที่บ้านบ้าง แล้วก็กินข้าววันสิ้นปีด้วย แต่ว่าฉันดูสภาพคุณแบบนี้ ไม่น่าจะกลับไปกินข้าววันสิ้นปีได้หรอกมั้ง”
เจตต์อึ้งไปเล็กน้อย
ไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าคุณท่านตนุวรจะเชิญตัวเองกลับไปกินข้าววันสิ้นปีด้วย
ในเมื่อแม่ของเขาไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ของคุณท่านตนุวร
เหมือนกับว่านรมนจะดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณตาพูดว่า ยังไงคุณน้าก็เรียกท่านว่าพ่อมาหลายปี ถือเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วจะรอคุณกลับมา”
พูดจบเธอก็ตบบ่าของเจตต์เบา ๆ แล้วพูดกับขวัญตาว่า “ต้องรบกวนคุณด้วยนะ”
“ไม่รบกวนเลย นี่เป็นสิ่งที่ฉันสมควรทำอยู่แล้ว”
ขวัญตาส่งสายตาที่ซาบซึ้งไปให้นรมนทีหนึ่ง
นรมนยิ้มเล็กน้อยแล้วก็ลุกขึ้นจากไป
ตอนที่ออกมานั้น บุริศร์กำลังสูบบุหรี่หมดม้วนหนึ่งพอดี พอเห็นเธอจะจากไป ท่าทีก็ดูมีความสุขเล็กน้อย
เขานึกว่านรมนยังจะอยู่ข้างในนั้นอีกสักพักหนึ่ง
จมูกของนรมนย่นขึ้นเล็กน้อย
“สูบบุหรี่อีกแล้วเหรอ?”
“อืม”
“สูบน้อยลงหน่อย ถ้าคุณไม่อยากจะจากไปก่อนวัยอันควร จากนั้นฉันก็พาลูก ๆ ไปแต่งงานใหม่ละก็ ทางที่ดีที่สุดเลิกเจ้าของสิ่งนั้นให้ฉันซะ”
คำพูดของนรมนพูดได้อย่างโหดเหี้ยมเล็กน้อย
บุริศร์ลูบจมูกเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ผมจะพยายาม”
ปกติถ้าเขาพูดแบบนี้แล้วละก็ ก็หมายความว่ายอมตอบตกลงแล้ว
นรมนเองก็ไม่ได้ติดอยู่ที่ปัญหานี้อีก
“ไปเถอะ ไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
อยู่ ๆ นรมนก็รู้สึกอยากจะช้อปปิ้ง กลับทำให้บุริศร์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“วันนี้อารมณ์ดีขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ก็พรุ่งนี้จะไปรวมตัวกับพวกพี่คริชณะไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ได้ซื้อเสื้อผ้ามานานแล้ว ออกไปดูซะหน่อยดีกว่า”
ที่จริงนรมนนั้นตื่นเต้นต่างหาก
แต่งงานมาแปดปี ลูก ๆ ก็มาเป็นก้างขวางคอได้แล้ว แต่ตัวเองกลับยังไม่เคยไปเจอพี่น้องพวกนั้นของบุริศร์เลย พอมาวันนี้ในที่สุดก็จะได้เจอกันสักครั้งแล้ว เธอก็ตื่นเต้นแทบแย่แล้ว
บุรศร์เองก็รู้สึกว่านรมนตื่นเต้น แล้วก็ยื่นมือออกมาประสานมือสิบนิ้วกับเธอไว้ แล้วถามอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า “ตื่นเต้นเหรอ?”
“เปล่า”
นรมนทำเป็นปากแข็ง
ริมฝีปากของบุริศร์คลี่ขึ้นมาเล็กน้อย
“พรุ่งนี้ก็เป็นแค่การรวมตัวกันทั่วไปเท่านั้น เป็นเพราะว่าผมไม่ดีเอง ควรจะแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันตั้งนานแล้ว”
นรมนคล้องแขนของเขาไว้ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “บุริศร์ พวกคุณกลายมาเป็นพี่น้องกันได้ยังไงคะ? ในเมื่อพวกเขาและคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานเดียวกันใช่ไหม”
ดวงตาของบุริศร์ลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ความทรงจำก็ล่องลอยไปไกลเล็กน้อย
เขาพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “พวกเราต่างก็เป็นทหาร เป็นเพื่อนร่วมรบ เป็นความสัมพันธ์ของคนที่คลานออกมาจากกองซากศพด้วยกัน”
นรมนไม่ค่อยได้ยินบุริศร์พูดถึงเรื่องในกองทัพมาก่อน เพราะว่าเรื่องเกี่ยวข้องกับความลับ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือไม่ ก็เลยไม่ถามเลย
แต่พอวันนี้มาได้ยินบุริศร์พูดถึงเรื่องพวกนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาหนักหน่วงไปหน่อย
“บุริศร์ ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมรบของพวกคุณนั้นเหนียวแน่นมากเลยใช่ไหม?”
“สามารถพูดแบบนั้นได้ พวกเราสามารถยอมเสียสละชีวิตเพื่อซึ่งกันและกันได้”
มิตรภาพแบบที่บุริศร์พูดนั้นนรมนไม่เข้าใจ
บางทีอาจจะมีแต่ทหารเท่านั้นถึงจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้ นรมนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
“อิจฉาความรู้สึกของผู้ชายอย่างพวกคุณจริง ๆ เลย”
“ไม่ต้องอิจฉาหรอก ผมก็สามารถเสียสละชีวิตเพื่อคุณได้เหมือนกัน ตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
คำหวานที่มาแบบจู่โจมของบุริศร์ทำให้ใบหน้าของนรมนมีสีแดงเล็กน้อย
“คุณเก็บชีวิตนั้นไว้รักฉันให้ดีดีกว่ามั้ง”
นรมนพูดจบแล้ว ตัวเองยังรู้สึกว่าเขินอายมาก
“ได้”
บุริศร์และนรมนออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกัน
หลังจากที่ขึ้นรถมาแล้ว บุริศร์ก็ไม่ได้รีบที่จะสตาร์ทรถ แต่กลับพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “รู้ไหม? พวกเรานั้นล้วนเป็นห้องเดียวกัน ตั้งแต่ตอนที่เป็นทหารใหม่ถูกแบ่งให้มาอยู่ห้องเดียวกัน นี่คือโชคชะตา ในห้องของเรามีพี่น้องแปดคน จนสุดท้ายเดินมาถึงตอนนี้ก็เหลือแค่พวกเราสี่คนแล้ว”
“อีกสี่คนที่เหลือละคะ?”
คำถามของนรมนทำให้ดวงตาของบุริศร์มีความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ
“เสียสละไปแล้ว ผมเห็นพวกเขาล้มลงไปต่อหน้าพวกผมด้วยตาตัวเอง หนึ่งนาทีก่อนหน้านั้นพวกเขายังหัวเราะพูดคุยกับพวกผมอยู่ แต่ว่าวินาทีต่อมาก็ได้กลายเป็นศพที่เย็นยะเยือกไปแล้ว บางทีตอนนี้คนมากมายไม่มีทางที่จะเข้าใจความหมายของการสู้รบและปกป้อง แต่ว่าบนโลกนี้กลับไม่ได้สงบสุขไปทุกที่ การสู้รบยังมีอยู่ทุกวัน อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ผมหวังแค่ว่าในชีวิตที่มีเวลาจำกัดของผม จะมีคุณ มีพวกลูก ๆ ก็พอแล้ว สำหรับความเสียใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เทียบไม่ได้กับการต้องสูญเสียพวกคุณเลย”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนรู้สึกหนักหน่วงขึ้นมานิดหน่อย
เธอกุมมือของบุริศร์ไว้แน่นแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราจะเดินไปด้วยกันตลอดไป”
“มีคนเคยพูดกับผมว่า มาเจอกับครอบครัวตระกูลโตเล็กที่เป็นกับบ่อโคลนลึกแบบนี้นั้น ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไปคงจะหนีไปตั้งนานแล้ว แล้วก็มีแต่ผู้หญิงโง่ ๆ อย่างคุณเท่านั้นที่ยอมทนลำบากลำบนเดินมากับผมจนถึงวันนี้ ผมหวงแหนคุณมากจริง ๆ นะ นรมน หวงแหนมากจริง ๆ ตลอดชีวิตต่อจากนี้ ต่อให้เป็นแค่อุบัติเหตุเล็ก ๆ เกิดขึ้นกับตัวคุณ ผมก็แบกรับไว้ไม่ไหว”
นรมนได้ยินคำพูดแบบนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกสบายใจมาก แต่ว่าเธอกลับไม่ได้ลืมคำพูดที่บุริศร์พูดเมื่อกี้หรอกนะ
“เจ้าโง่คนไหนบอกว่าฉันเป็นเมียโง่นะ?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้บุริศร์อึ้งไปเล็กน้อยทันทีเลย
ในขณะที่ผู้หญิงฟังคำหวานนั้นไม่ใช่ว่าต้องรู้สึกซาบซึ้งไปหมดทั้งตัวหรอกเหรอ? ทำไมจุดสนใจของนรมนถึงได้ไม่เหมือนกับคนอื่นล่ะ?