นรมนก้มหน้าลงไปดู ก็เห็นว่าเป็นสายเข้าของขวัญตา ในใจก็มีความกังวลมากขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งทันที
“ถ้าไม่อยากรับก็ไม่ต้องรับ เดี๋ยวผมคุยให้เอง”
บุริศร์รู้ว่าตอนนี้นรมนมีความรู้สึกอะไรอยู่ในใจ เธอคงจะกลัวว่าเจตต์จะเป็นทุกข์ในใจ แล้วเวลาแบบนี้จะลากขวัญตาออกมาช้อปปิ้งคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
นรมนกลับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ค่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้เจตต์ควรจะออกมาเดินเล่นสักหน่อย”
“ฮือ?”
บุริศร์รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
นรมนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เพราะว่ามีคุณอยู่ไงคะ คุณเป็นน้องเขยของเขา แน่นอนว่าจะต้องพูดให้เขาคลายทุกข์ได้อยู่แล้วใช่ไหม?”
บุริศร์ยังจะพูดอะไรได้อีก?
ในเมื่อภรรยาผู้เป็นใหญ่ได้มอบหมายหน้าที่ให้เขาแล้ว ยังไงก็จะต้องไปปฏิบัติให้เสร็จ ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเจตต์ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องให้เขามาปลอบใจ แต่ก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวอย่างมากสุดก็พูดคุยด้วยซะหลายประโยคหน่อยก็พอ
“ได้”
บุริศร์พูดขึ้นเสียงเรียบ
พอเห็นว่าบุริศร์ตอบตกลงแล้ว นรมนถึงได้กดรับสายขึ้น
“ขวัญตา ตกลงยังไง?”
นรมนพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังแล้วเป็นปกติที่สุด
ขวัญตายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คนขับรถบ้านฉันตอบตกลงแล้ว ไปกันเถอะ ตอนนี้ฉันแทบอยากจะไปถล่มคุณสักหน่อยแล้ว”
“ท่านจอมยุทธหญิง ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ”
นรมนพูดล้อเล่นกับขวัญตาไป
หญิงสาวทั้งสองคนหัวเราะอย่างกลมเกลียวไป
บุริศร์เห็นนรมนมีท่าทางที่มีความสุข แล้วในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามากเลย ดูท่าแล้วการไม่บอกเรื่องที่เจตต์จัดการเทย่าด้วยมือตัวเองกับนรมนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
หลังจากที่นรมนวางสายแล้วก็จัดการกับตัวเองครู่หนึ่ง ส่วนบุริศร์หยิบเสื้อขนเป็ดขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับนรมนเลย
ทั้งสองครอบครัวนัดเจอกันที่ปากทางเข้าถนนห้วยยาง
พวกบุริศร์มาถึงเร็วกว่าหน่อยหนึ่ง นรมนเห็นทุกที่ต่างก็ประดับไปด้วยโคมไฟ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง
นี่จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้วจริง ๆ
เธอกลับประเทศมาจะครบปีหนึ่งแล้ว
ระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ เกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะมากมายจริง ๆ แต่ยังดีที่ทุกอย่างยังสามารถคลี่คลายได้เห็นวันที่สดใสได้ ที่สำคัญผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกายยังเป็นคนที่ตัวเองอยากได้มาตลอดอีกด้วย
นรมนมีความสุขจนคล้องแขนของบุริศร์เอาไว้
“ทำไมเหรอ?”
บุริศร์เห็นว่าเธออยู่ ๆ ก็มาคล้องแขนตัวเองไว้ ยังนึกว่านรมนจะหนาวซะอีก จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “หรือไม่จะปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นอีกหน่อยไหม? แต่ถ้าทำแบบนี้ละก็อีกเดี๋ยวลงไปอาจจะเป็นหวัดได้ง่ายนะ”
นรมนเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างบุริศร์ต่างก็ทำเพื่อตัวเอง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่หนาวหรอกค่ะ มีคุณอยู่ข้างกายไม่หนาวเลยสักนิด ฉันก็แค่รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ตอนที่ฉันกลับมาใหม่ ๆ ดอกไม้ยังเบ่งบานอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเกือบจะครบปีแล้ว”
“ใช่ซิ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ เพราะฉะนั้นพวกเราถึงควรจะอยู่ด้วยกันดี ๆ ในเมื่อเวลามันผ่านไปเร็วมาก”
คำพูดนี้ของบุริศร์พูดได้จนนรมนรู้สึกสบายอกสบายใจเป็นอย่างมากทันที
“ฉันพบว่าปากน้อย ๆ ของคุณยิ่งอยู่ก็ยิ่งหวานแล้ว”
“ภรรยาสอนมาดี”
บุริศร์พูดได้อย่างมีความต้องการเอาตัวรอดสูงมาก
มุมปากของนรมนคลี่ยิ้มขึ้นอยู่ตลอด
เธอเอานิ้วมือของตัวเองประสานไว้กับของบุริศร์แน่น ๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “นี่เรียกว่าสิบนิ้วสอดประสาน ใจประสานใจ”
“อืม”
ขอแค่นรมนมีความสุข บุริศร์ก็ยอมตามใจเธอแล้วเธอแต่จะทำอะไร
ผ่านไปไม่นาน เจตต์และขวัญตาก็มาถึง
เธอพันตัวเองไว้อย่างกับเป็นมัมมี่ตัวหนึ่ง ทำให้นรมนรู้สึกขำขึ้นมาทันทีเลย
“ให้ฉันเดา ที่คุณแต่งตัวมาแบบนี้ คงจะไม่ใช่ว่าที่คอมีร่องรอยอะไรไม่กล้าให้คนอื่นเห็นหรอกนะ?”
ระหว่างที่พูด นรมนก็ยื่นมือไปทางขวัญตาเลย
ขวัญตาจะมายอมให้นรมนแกะผ้าพันคอออกอย่างว่าง่ายได้ยังไง ก็เลยวิ่งไปด้วยแล้วร้องตะโกนไปด้วยว่า “บุริศร์ คุณจะดูภรรยาของคุณได้หน่อยได้หรือเปล่า? นี่มันเป็นอะไรกัน แค่เจอหน้ากันก็จะแกะผ้าพันคอของคนอื่น นี่มันไม่สมปรารถนามาเหรอ? ไปหาสามีคุณไป!”
แต่นรมนกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป วิ่งไล่ไปด้วยแล้วก็หัวเราะไปด้วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จะกลัวอะไร ให้คนเขาดูหน่อยซิ แค่ดูนิดหน่อยก็พอแล้ว”
“เฮ้ย! หน้าไม่อายเกินไปหรือเปล่า?!”
ร่างกายของขวัญตานั้นแข็งแรงมาก แต่ว่าก็คำนึงถึงเรี่ยวแรงของนรมน จึงวิ่ง ๆ หยุด ๆ ที่จริงก็แค่เล่นเป็นเพื่อนนรมนเท่านั้น
นรมนวิ่งไปสักพักก็หอบหายใจเบา ๆ ขึ้นมา ก็เลยต้องหยุดลง
“ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว”
“อ๋ายโยว่ ไหนบอกว่าคุณเก่งมากเลยไง ตอนนี้ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ?”
ขวัญตาพูดกระตุ้นนรมนไป
นรมนมองตาขาวแล้วพูดขึ้นว่า “คุณรอไว้เลยนะ”
“อะไรนะ?”
คำพูดของขวัญตายังพูดไม่จบ นรมนก็โกยหิมะขาว ๆ ที่อยู่อีกข้างหนึ่งขึ้นมาปั้นเป็นก้อน แล้วก็ปามาที่ขวัญตาเลย
“อ๋ายหย่า เฮ้ย! นี่คุณแอบจู่โจมฉันเหรอ!”
ขวัญตาโดนก้อนหิมะตีเข้าอย่างจัง แล้วก็หาก้อนลูกบอลหิมะมาปะทะกลับไปอย่างอัตโนมัติทันที
เด็กสาวทั้งสองคนเล่นสงครามหิมะกันไปราวกับว่ารอบข้างไม่มีผู้คน เสียงหัวเราะที่เหมือนกับเป็นกระดิ่งเงินนั้นได้ดังลอยไปบนท้องฟ้า และดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายขึ้นมาทันที
เจตต์เห็นท่าทางที่มีความสุขของนรมนและขวัญตา ก็อดไม่ได้ที่มุมปากจะคลี่ยิ้มขึ้น
บุริศร์มาถึงข้างกายเขา แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้วใช่ไหม?”
“อืม”
เจตต์พยักหน้าเล็กน้อย
เขาลงมือจบชีวิตแม่ด้วยมือตัวเอง สำหรับเขาแล้วถือได้ว่าเป็นขั้นหนึ่งที่ก้าวผ่านไม่ได้ แต่ว่าพอได้เห็นภรรยาและน้องสาวของตัวเองสามารถมีความสุขได้ขนาดนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องได้รับการข่มขู่อีก เจตต์ก็รู้สึกว่าที่ตัวเองทำนั้นคุ้มแล้ว
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงอะไร แล้วก็หันไปมองบุริศร์อย่างรวดเร็ว
“คุณกำลังปลอบใจผมเหรอ?”
“อย่าเข้าใจผิดไป ผมเพียงแค่ปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้น นี่เป็นภารกิจที่ภรรยาผมมอบให้ เธอหวังว่าคุณจะสามารถมีความสุขได้”
หัวคิ้วของเจตต์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณบอกเธอแล้วเหรอ?”
“ผมแค่บอกเธอว่าเทย่ากล้ามเนื้อหัวใจวายตายไปแล้ว และตายต่อหน้าต่อตาคุณด้วย อย่างอื่นผมไม่ได้บอก ผมเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดของบุริศร์มีศิลปะในการพูดเป็นอย่างมาก
เจตต์เคร่งขรึมขึ้นมาแล้ว
ดูท่าตอนนี้บุริศร์จะเข้าใจในนรมนเป็นอย่างมาก แล้วก็ดีกับนรมนเป็นอย่างมากด้วย เพราะฉะนั้นเขาสามารถวางใจได้แล้ว
“ต่อไปถ้าคุณกล้าทำไม่ดีกับนรมน ถึงผมจะแต่งงานไปแล้ว ผมก็จะรับนรมนกลับมาบ้านให้ได้ คุณอย่าคิดว่าจะรับนรมนไปจากมือผมได้อีกเลย”
คำพูดของเจตต์เพิ่งจบลง ก็ได้ยินบุริศร์พูดขึ้นเสียงเรียบว่า “คุณไม่มีโอกาสนั้นหรอก”
“ทางที่ดีที่สุดขอให้เป็นเช่นนั้น”
ผู้ชายสูงใหญ่ทั้งสองคนค่อนข้างที่จะเงียบขรึม แต่หญิงสาวทั้งสองคนกลับเล่นได้อย่างสนุกสนาน
บุริศร์เห็นใบหน้านรมนแดงระเรื่อ ตรงหน้าผากก็ร้อนจนมีเหงื่อซึมออกมา พอนึกถึงว่าร่างกายของเธอยังอ่อนแออยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะยกเท้าแล้วก้าวเดินไปหา
“เอาล่ะ หยุดเล่นกันเถอะ ดูซิคุณเล่นจนเหงื่อเต็มหน้าผากแล้ว”
บุริศร์ล้วงกระดาษที่สะอาดออกมาจากกระเป๋าแล้วมาเช็ดหน้าผากให้นรมน
ขวัญตาอิจฉาตาร้อนจนตาแทบถลนออกมาแล้ว
“ที่รัก ฉันก็เหงื่อออกแล้วเหมือนกันค่ะ”
ขวัญตาทำปากจู๋แล้วมองไปที่เจตต์
เจตต์ยิ้มอ่อน ๆ แล้วก้าวเดินไปก้าวหนึ่งรวบตัวขวัญตามากอดไว้ในอก แล้วพูดเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “ไหน ตรงไหนมีเหงื่อออกบ้าง? ให้ผมดูหน่อยซิ?”
พูดจบ มือใหญ่ของเขาก็กระชับลงตรงเอวบางของขวัญตา
ขวัญตาตกใจขึ้นมาทันที ใบหน้าก็แดงไปจนถึงคอเลย เธอทุบเจตต์ทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “เลิกเล่นได้แล้ว นี่มันอยู่ข้างนอกนะ”
“อืม ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ข้างนอก ผมก็จะดูคุณให้ทั่วร่างกายเลย”
ขวัญตาหมดคำพูดอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าทั้งหน้าแดงจนดูไม่ได้เลย
นรมนพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน “โยว่ นี่พูดคำหวานอะไรกันเนี่ย? ดูซิสีหน้าของขวัญตาของเราได้เปลี่ยนไปแล้วเนี่ย”
“เป็นคำหวานก็ต้องบอกให้คุณฟังไม่ได้อยู่แล้วซิ ถ้าคุณจะฟัง ก็ไปให้บุริศร์บ้านคุณพูดไป”
เจตต์พูดตอกกลับนรมนไปอย่างเฉยเมย
แล้วนรมนก็จ้องมองบุริศร์ทันที แล้วพูดอย่างน้อยอกน้อยใจขึ้นว่า “ที่รัก เขาประชดประชันฉัน!”
“ไม่เป็นไร ไว้ตอนงานแต่งของเขา เราก็ก่อกวนห้องหอให้เต็มที่ไปเลย”
พอคำพูดนี้ของบุริศร์ออกไป มุมปากของเจตต์ก็กระตุกขึ้นทันที
บุริศร์จะก่อกวนการเข้าห้องหอเหรอ?
ภาพแบบนั้นนึกยังไงก็ไม่เข้ากันเลย
ไม่ใช่ซิ!
อยู่ ๆ เจตต์ก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบ
น้ำเสียงแบบนี้มันไม่ใช่น้ำเสียงที่ดีอะไรเลยนี่
แล้วเจตต์ก็ซึมไปเลยทันที
“คงจะไม่มีสองผัวเมียที่รังแกคนอื่นอย่างพวกคุณหรอกมั้ง”
พอคำพูดของเจตต์พูดจบลง บุริศร์ก็มองเขาอย่างเฉยเมยทีหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไร แล้วกระชับเสื้อกันหนาวของนรมนเล็กน้อยและพูดเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “ไปช้อปปิ้งกันเถอะ”
“ได้ค่ะ”
นรมนได้เปรียบแล้วยังแสร้งทำเป็นเสียเปรียบอยู่ ก็แน่นอนว่าในใจต้องรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เจตต์จ้องมองขวัญตาอย่างเบื่อหน่ายอยู่เล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ที่รัก ผมรู้สึกตอนวันแต่งงานเราสามารถหนีไปกลางคันได้นะ คุณคิดว่ายังไงบ้าง?”
“ฉันว่าก็ดีนะ”
ขวัญตารีบพยักหน้าขึ้น
พอคิดถึงนิสัยที่มีความแค้นก็ต้องสะสางของบุริศร์ แล้วก็คิดถึงความสะใจในตอนที่ก่อกวนห้องหอแล้ว ขวัญตาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย
ทั้งสี่คนเริ่มเดินช้อปปิ้งกัน
ขวัญตาจ้องมองความหรูหราของถนนห้วยยาง แล้วยิ้มและถามขึ้นว่า “บุริศร์ ฉันได้ยินมาว่าทั่วทั้งถนนห้วยยางเป็นของคุณ ใช่เรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”
นรมนนิ่งอึ้งไปเลยครู่หนึ่ง
“ที่รัก จริงเหรอคะ?”
อยู่กับบุริศร์มานานขนาดนี้ แต่ที่สุดแล้วเธอก็ยังไม่ชัดเจนเลยว่าตกลงบุริศร์ร่ำรวยแค่ไหน
ทั่วทั้งถนนห้วยยางเป็นของบุริศร์เหรอ?
เรื่องจริงหรือหลอก?
งั้นเธอก็โชคดีแล้วซิ?
พอเห็นแสงระยับเล็กน้อยในดวงตาของนรมน ใจของบุริศร์ก็โดนส่องสว่างด้วยแล้ว
เขาพูดเสียงอ่อนขึ้นว่า “ก็ไม่ถึงกับว่าเป็นของผมทั้งหมด ยังมีร้านอีกสองร้านเป็นของเจตต์”
เจตต์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่พูดเรื่องนี้กันได้ไหม?”
พอได้ยินเจตต์พูดแบบนี้ ทั้งนรมนและขวัญตาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“หมายความว่าไงคะ? ข้างในนี้ยังมีเรื่องราวอีกเหรอคะ?”
“อืม มีเรื่องราว”
มุมปากของบุริศร์คลี่ขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเจตต์ดูขรึมลงเล็กน้อย
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ?”
ขวัญตาจับมือของเจตต์เอาไว้ ทั้งหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เจตต์ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ก็เพราะว่าโดนใครบางคนแบล็กเมล์แล้วนะซิ?”
ส่วนใครบางคนก็แค่ยักคิ้วขึ้นเบา ๆ แล้วไม่พูดอะไร
นรมนยิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น
“รีบพูดมา รีบพูดมา ตกลงมันเรื่องอะไรคะ?”
เจตต์ไม่อยากจะพูดเรื่องขายหน้านี้ของตัวเองเลยจริง ๆ แต่ว่าคนหนึ่งเป็นภรรยาตัวเอง แล้วอีกคนหนึ่งก็เป็นน้องสาวของตัวเอง ทั้งสองคนต่างก็จดจ้องมาที่เขา ส่วนบุริศร์หลังจากที่จุดไฟขึ้นมาแล้วก็หยุดไปซะเฉย ๆ เลย นี่มันเห็นได้ชัดว่าอยากจะให้ตัวเขาเสียหน้าชัด ๆ
เขาด่าบุริศร์อยู่ในใจไปรอบหนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นอย่างเซ็ง ๆ ว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก ตอนแรกถนนห้วยยางเป็นของผมครึ่งหนึ่ง แต่เป็นเพราะว่าใครบางคนชั่วร้ายมาก ขุดหลุมขึ้นมาอันหนึ่งแล้วให้ผมพนันกับเขา ก็เลยทำให้ผมเสียพนันถนนห้วยยางไปครึ่งหนึ่ง แล้วเหลือแค่เพียงสองร้านสุดท้ายเท่านั้น”
พอพูดถึงเรื่องเก่าเรื่องนั้นแล้ว ใจของเจตต์ก็เลือดไหลซิบ ๆ ขึ้นมา
ร้านทำเลทองครึ่งหนึ่งของถนนห้วยยางเลยนะ!
ตอนนี้ค่าเช่าที่ในถนนห้วยยางก็กำลังพุ่งสูงขึ้นราวกับนั่งอยู่บนจรวดยังไงอย่างงั้น แล้วตอนนั้นเขาสมองมีปัญหาไปหรือไง? ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าบุริศร์จิตใจไม่ซื่อ แต่เขาก็ยังเหยียบเข้าไปเต็มเท้าอย่างไม่คิดคำนึงอะไรเลย แล้วก็เสียพนันทรัพย์สินของตัวเองไปเฉย ๆ ไม่งั้นละก็ ถ้ารวมร้านทำเลทองอีกครึ่งหนึ่งของถนนห้วยยางนี้แล้ว ในตำแหน่งคุณชายทั้งสี่แห่งเมืองชลธีจะไม่มีที่ยืนสำหรับเขาเหรอ?