แค้นรักสามีตัวร้าย – ตอนที่ 1152

ตอนที่ 1152

สีหน้าของกานต์ขรึมลงเล็กน้อย

เทคนิคการสลับที่คุ้นเคยแบบนี้นอกจากทีมเล็กๆ ของพวกเขาแล้วยังจะมีใครได้อีก?

“นะโมเหรอ?”

กานต์รีบพิมพ์บันทึกการสนทนาไปอย่างฉับไว

ฝ่ายนั้นก็มีการตอบกลับมาอย่างรวดเร็วมาก

“หัวหน้า ผมเอง”

พอตัวอักษรของนะโมพิมพ์เข้ามาแล้ว ทันใดนั้นกานต์ก็มีความคิดถึงสมาชิกภายในกลุ่มเหล่านี้ขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่คุยกับฉันอย่างเอาจริงเอาจังจะได้ไหม? แฮกเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของฉันทำไม? อยากจะแข่งขันม้าโทรจันกับฉันสักหน่อยอย่างนั้นเหรอ?”

กานต์กำลังพิมพ์ตัวอักษรอย่างรวดเร็ว

นะโมกลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงตอบกลับไปว่า “หัวหน้า ผมมีข่าวร้ายข่าวหนึ่งจะมาบอกหัวหน้า”

“ใกล้จะปีใหม่แล้ว บอกข่าวดีหน่อยไม่ได้เหรอ?”

กานต์รู้สึกว่านะโมคนนี้ยังคงเป็นคนที่ตลกมากจริงๆ

แต่ทว่านะโมกลับตั้งใจเปลี่ยนแบบตัวอักษรเป็นสีขาวดำ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หัวหน้าทิวาที่อยู่ในทีมของเราสละชีพไปแล้วครับ”

ทันใดนั้นร่างกายของกานต์ก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

“นายว่าอะไรนะ?”

ทิวาเป็นสมาชิกของทีม และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อายุมากกว่าสิบแปดปี ก่อนที่กานต์จะเข้ามาอยู่ในทีม ทิวาเคยเป็นหัวหน้าทีมของพวกเขามาโดยตลอด แต่เนื่องจากทักษะด้านคอมพิวเตอร์ของกานต์นั้นสูงมาก ทิวาจึงเป็นฝ่ายยกตำแหน่งหัวหน้าให้เขา แต่เธอก็ยังคงดูแลพวกเขาเป็นปกติ

ความประทับใจที่กานต์มีต่อทิวาก็คือพี่สาวบ้านใกล้เรือนเคียงที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนแม่และสบายใจเหมือนกมล

ทำไมเธอถึงสละชีพล่ะ?

“เกิดอะไรขึ้น?”

กานต์พบว่ามือของตัวเองสั่นเล็กน้อย

ทันใดนั้นนะโมก็ร้องไห้ออกมา แล้วเขาก็ตั้งใจส่งคำขอใช้งานวิดีโอไปให้กานต์

เมื่อกานต์ได้เห็นนะโมร้องไห้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องร้องแล้ว ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

กานต์เปล่งเสียงคำรามที่ทุ้มต่ำออกมา นะโมจึงหยุดร้องไห้ทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “พ่อของพี่ทิวาเป็นสมาชิกของหน่วยรบพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพที่ต่างประเทศ แต่กลับถูกยิงขณะปฏิบัติการปกป้องและเคลื่อนย้ายมวลชน ผู้ก่อการร้ายจับเขาเป็นตัวประกันและข่มขู่ให้เราถอนตัวจากสนามรบ พี่ทิวารู้เรื่องนี้เข้า เธอจึงแอบไปที่นั่นอย่างลับๆ ลับหลังทุกคน และใช้เทคนิคของแฮกเกอร์ทำให้ศัตรูสับสนชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ยืนหยัดเอาไว้ไม่ได้นาน เพื่อช่วยพ่อของตัวเอง พี่ทิวาจึงถูกสังหารในที่เกิดเหตุ หัวหน้า พวกเขาบอกว่าพี่ทิวาเสียเลือดเยอะมากๆ เลย อีกสักพักพี่ทิวาก็จะถูกส่งกลับมาทางอากาศแล้ว เฮียบอกว่าให้พวกเราทุกคนไปรับพี่ทิวากลับบ้านที่สนามบิน”

นะโมพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง

นัยน์ตาของกานต์ก็มีความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเช่นกัน

เลือด!

ในดินแดนแห่งความฝันที่เขาได้หลับฝันในช่วงนี้นั้นล้วนเต็มไปด้วยสิ่งของสีแดงสด

แต่ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดถึงเพื่อนร่วมทีมของตัวเองเลย คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนร่วมรบของตัวเองก็มีเลือดนองไปทั่วสนามรบเช่นเดียวกัน

จากนั้นน้ำตาไหลก็ออกมาจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ในหุบปากซะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว! พี่ทิวาคือความภาคภูมิใจของทีมเรา เธอเป็นฮีโร่ เป็นผู้สละชีพ! เธอจะกลับบ้านแล้ว พวกเราจะร้องไห้ในขณะที่ไปรับเธอกลับบ้านไม่ได้”

เสียงของกานต์แหบแห้ง แต่ก็ต้องระงับเอาไว้

นะโมพยายามทำให้ตัวเองไม่ร้องไห้ แต่เขาก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

กานต์ตั้งใจตัดสายวิดีโอ แล้วทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าอยู่บนคอมพิวเตอร์ และไหล่ของเขาก็สั่นไปมา

เพื่อนร่วมรบที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอดทั้งเช้าทั้งเย็นต่อไปนี้ก็จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

หลังจากที่ธงชาติหนึ่งผืนนำร่างจองเธอเข้าไปส่งในสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ ในโลกใบนี้ก็จะไม่เห็นพี่ทิวาที่ยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

หัวใจของกานต์หนักอึ้งอย่างสุดขีด

เขาไม่เคยรู้เลยว่าสงครามมันจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ แม้แต่ในยุคที่สงบสุขอย่างทุกวันนี้ ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังสละชีวิตตัวเองอยู่

เขานึกถึงความหวาดกลัวตอนที่ตัวเองยิงปืนขึ้นมา ในเวลานี้กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรแล้ว

คนคนนั้นสมควรตาย!

เขาละเมิดกฎหมายบ้านเมือง และข่มขู่พ่อกับแม่ เขาคือคนเลวที่ยกโทษให้ไม่ได้

แต่เขาเป็นทหารของประชาชน

ข้างหลังของเขามีคนที่ตัดผมทรงลานบินกำลังยืนอยู่นับไม่ถ้วน

พวกเขายิงไม่ได้ และก็ไม่มีสิทธิ์ยิง เมื่อสงครามมาถึง พวกเขาจะเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด แต่เขาเป็นทหาร

ภาระหน้าที่ของเขาคือปกป้องประชาชน

ดังนั้นยิงไปแล้วยังไง?

นั่นคือหน้าที่ของเขานะ!

ทันใดนั้นดูเหมือนว่ากานต์จะคิดหลายๆ เรื่องออกแล้ว ความรู้สึกอัดอั้นตันใจเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วเปลี่ยนชุดปกติออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลงไปข้างล่าง

บุริศร์กับนรมนเพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ และเมื่อพวกเขากำลังจะไปเรียกกานต์ ก็เห็นเขาสวมเครื่องแบบทหารลงมาแล้ว พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง

“กานต์ นี่ลูกจะไปทำอะไร?”

“ไปสนามบินครับ หม่ามี๊ไปส่งผมได้ไหม? หรือจะให้คุณบุริศร์ไปส่งผมก็ได้ สมาชิกในทีมของผม เพื่อนร่วมรบของผมถูกขนส่งกลับประเทศทางอากาศแล้ว ผมเป็นหัวหน้าทีม ผมจะต้องไปกลับเธอกลับบ้าน”

ดวงตาของกานต์ยังคงน้ำตาซึมอยู่ แต่สายตากลับแน่วแน่และเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

นรมนรู้สึกว่าลูกชายของเธอมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากเดิมแล้ว แต่เธอกลับไม่สามารถบอกได้ แต่ทว่าบุริศร์กลับมองออกแล้ว

กานต์โตขึ้นแล้ว

ดูเหมือนเขาจะได้เรียนรู้อะไรมากมายในชั่วข้ามคืน และสามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้มากกว่าเดิมแล้ว

“เพื่อนร่วมรบสละชีพไปแล้ว?”

บุริศร์เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาจึงสามารถเข้าใจได้ถึงความเศร้าเสียใจที่ซ่อนอยู่ภายในสายตาของกานต์เป็นธรรมดา

กานต์แทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว จึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“พ่อจะไปส่งลูกเอง”

บุริศร์ตั้งใจที่จะวางงานที่อยู่ในมือของเขาลง

ส่วนนรมนก็ไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย

“เดี๋ยวฉันจะตามไปนะคะ”

“ผมไปด้วยสิ”

กิจจาก็เอ่ยอากออกมาเช่นกัน

เมื่อบุริศร์เห็นพวกเขาร้องขอกันแบบนี้แล้ว จะทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่บ้านตัวเองก็ไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ เขาจึงพยักหน้าไปเสียเลย แล้วพาพวกเขาออกจากบ้านตระกูลโตเล็กไปด้วยกัน

กานต์ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง

นรมนใช้แขนไปสะกิดบุริศร์หนึ่งทีด้วยความกังวลใจเล็กน้อย แล้วใช้น้ำเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินถามออกไปว่า “ตอนนี้กานต์คงไม่ได้เป็นบุคลิกที่สองอยู่ใช่ไหม?”

“ไม่หรอก ตอนนี้เขาปกติดีมาก”

บุริศร์เหลือบมองกานต์ และพบว่ากานต์กำลังมองออกไปข้างนอกด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ในใจของกานต์รู้สึกเสียใจมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เขาจะรู้สึกหมดอาลัยตายอยากไปอีกนานแค่ไหน”

นรมนไม่เคยอยู่ในกองทัพ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเธอจึงไม่เข้าใจมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมรบว่ามันลึกซึ้งมากเพียงใด แต่เมื่อเธอได้เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ในตอนนี้ เธอก็มีความรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง

“อาการสองบุคลิกนี้ยังไม่ได้รักษาให้หายดีเลย ตอนนี้ก็เกิดเรื่องเพื่อนร่วมรบของเขาสละชีพอีก ฉันกลัวว่าเก็ดคนนี้จะรับไม่ไหวจริงๆ ”

“ไม่หรอกน่ะ”

บุริศร์พูดอย่างสงบเยือกเย็นมากว่า “บางทีหลังจากเหตุการณ์นี้ อาการสองบุคลิกของกานต์ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้นะ”

“ยังไงเหรอคะ?”

นรมนรู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก

แต่บุริศร์กลับไม่ได้พูดอะไรอีก

คนกลุ่มหนึ่งขับรถไปถึงสนามบินแล้ว

เนื่องจากทิวาเป็นผู้เสียสละ ทางสนามบินจึงได้เปิดช่องทางให้เหล่าทหารได้ใช้เป็นกรณีพิเศษ

ทหารที่เดินเข้าเดินออกล้วนกำลังแต่งกายด้วยชุดปกติ และยืนเข้าแถวอยู่

ดังนั้นกานต์จึงมาที่นี่คนเดียวเพราะลางานชั่วคราว

นี่เป็นครั้งแรกที่นรมนได้เห็นเหตุการณ์ที่เคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง

กานต์จัดเสื้อผ้าและหมวกให้เรียบร้อย จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วเดินลงไป

ตอนนี้ขั้นตอนการปลดประจำการของบุริศร์ยังดำเนินการไม่เสร็จ โดยปกติเขาจึงยังมียศทหารอยู่ ในวันเช่นวันนี้ เขาก็เลยสวมชุดทหารมาเช่นกัน แล้วพูดกับนรมนว่า “คุณกับกิจจารอพวกผมอยู่บนรถก่อนนะ”

“ค่ะ”

นรมนพยักหน้า

แล้วบุริศร์ก็จูงมือกานต์เดินเข้าไปข้างใน

ทันใดนั้นกิจจาก็พูดขึ้นมาด้วยความอิจฉาเล็กน้อยว่า “หม่ามี๊ จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าการเป็นแพทย์ทหารก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ อาป้องก็เคยเป็นแพทย์ทหารมาก่อนไม่ใช่หรือครับ?”

“ไม่อนุญาตให้ไป”

นรมนปฏิเสธออกไปตรงๆ และในใจของเธอก็กังวลเล็กน้อย

“ในบ้านมีกานต์ที่มากับลมไปกับฝนคนเดียวก็พอที่จะทำให้นอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว ลูกอย่าถือโอกาสมาประสมโรงด้วยอีกคนเชียวนะ ถ้าลูกอยากเรียนหมอ แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ไม่ห้ามลูกหรอก แต่ถ้าลูกอยากเข้ากองทัพมันเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ครั้งนี้หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้กานต์ทำธุรกิจ ดังนั้นลูกก็อย่าได้คิดเลย”

นรมนถือโอกาสในช่วงเวลานี้ขัดขวางความคิดของกิจจาตั้งแน่เนิ่นๆ

เป็นทหารอย่างนั้นเหรอ?

ตอนนี้นรมนรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ให้กานต์ไปเป็นทหาร

กิจจาเป็นลูกชายคนเดียวของตรินท์ ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดกับเขา ใครจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้เอาไว้ได้?

นรมนอยากให้กิจจาเป็นคนธรรมดามากกว่า และก็ไม่อยากให้เขาไปบุกตะลุยโจมตีข้าศึกที่แนวหน้าเช่นกัน

เมื่อกิจจาได้ยินนรมนพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมาแล้วพูดว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊อย่ากังวลไปเลย ผมก็แค่ลองคุยๆ ดูเท่านั้น”

“เป็นแบบนี้ได้จะดีที่สุดเลย”

นรมนยังคงไม่รู้สึกสบายใจเล็กน้อย

ไม่นาน ด้านในก็มีเพลงชาติดังขึ้น และทหารแปดนายก็กำลังยกแปลหามเดินออกมา

มีเด็กสาววัยสิบแปดปีคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเปลหาม ใบหน้าของเธอขาวซีดมาก และบนร่างกายของเธอก็มีธงชาติคลุมเอาไว้ ทหารทุกหน่วยที่อยู่โดยรอบถอดหมวกออกด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าอาดูร

“นี่คือ……”

เป็นครั้งแรกที่นรมนรู้สึกได้ถึงเกียรติภูมิและความเคร่งขรึมของความตาย

เธอเห็นสามีและลูกชายของตัวเองแล้ว

บุริศร์และกานต์กำลังเดินอยู่ทางซ้ายและขวาของเปลหาม

ดวงตาของกานต์แดงก่ำ จมูกก็แดงเช่นเดียวกัน เด็กสองสามคนที่อยู่ข้างหลังก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่มานานแล้วเช่นกัน

ความโศกเศร้าเช่นนี้คือความรู้สึกที่นรมนไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ทันใดนั้นเองกลับบังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย

คนเราใช้ชีวิตนี้มาทั้งชีวิต ถ้าหากสุดท้ายจะต้องตายแบบนี้ เช่นนั้นก็ถือว่าตายไม่เสียชาติเกิดแล้ว

น่าเสียดายสาวน้อยที่หน้าตาสวยมากคนหนึ่งจังเลย

ทันใดนั้นหัวใจของนรมนก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา

รถทหารกำลังรออยู่ด้านนอก และทหารทุกนายก็กำลังยกทิวาไปที่สุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ

มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ในเวลาชั่วพริบตาเดียวนั้นที่ได้เห็นทิวาความรู้สึกของเธอก็พังทลายลงในทันที

“ลูกแม่อ่า! ลูกรักของแม่!”

ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังต้องหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว

ทันใดนั้นนรมนก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย

กลัวว่าวันหนึ่งกานต์ก็จะถูกคนหามกลับมาแบบนี้เหมือนกัน

พอคิดถึงฉากแบบนั้น นรมนก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนทนไม่ไหวแล้ว

ไม่!

เธอไม่อยากให้ลูกชายเป็นแบบนี้!

ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!

มรมนตัดสินใจเด็ดขาดลงไปแล้วว่า จะต้องดึงกานต์กลับออกมาจากกองทัพให้จงได้

เธอไม่มีความฝันเกี่ยวกับแผ่นดินและประเทศชาติเลย เธอหวังเพียงว่าลูกชายของตัวเองจะอยู่เคียงข้างตัวเองอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น

จะพูดว่าเธอเห็นแก่ตัวก็ดี หรือจะพูดว่าเธอไม่สมกับเป็นคนที่อยู่ในครอบครัวทหารก็ช่าง อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่สามารถให้ลูกชายของตัวเองไปรบที่แนวหน้าที่อันตรายแบบนี้ได้

กิจจาเห็นสีหน้าของนรมนซีดเซียวเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปจับมือของนรมนเอาไว้

มือของเธอเย็นมาก ร่างกายก็เย็นมากเช่นกัน

กิจจาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ”

กิจจาหัวเราะออกมาอย่างแรง แต่กลับเห็นแม่ของทิวาร้องไห้จนหมดสติลงไป

และทหารหลายคนต่างก็ตาแดงๆ กันหมด

บนถนนที่ไปสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ นอกจากทหารแล้ว คนธรรมดาอย่างนรมนไม่สามารถเดินเขาไปด้วยได้เลย

บุริศร์จึงส่งสัญญาณให้เธอพากิจจากลับไปก่อน

นรมนไม่อยากจากไปไหน

เธอจึงให้กิจจาขึ้นรถ แล้วตัวเองก็ขับรถตามหลังรถทหารไป แล้วมุ่งหน้าไปสู่สุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

ตอนที่ใกล้จะถึงสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ ทันใดนั้นรถของนรมนก็สั่นโคลงเคลงขึ้นมาทันใด และเธอก็ไม่ทันระวังจนเกือบชนกับกระจกหน้ารถเข้า

“หม่ามี๊ เกิดอะไรขึ้นครับ?”

กิจจากังวลใจเล็กน้อย

นรมนจึงโบกมือ แล้วพูดว่า “บางทีรถอาจจะเสียแล้วน่ะ หม่ามี๊จะลงไปดูสักหน่อย”

พอพูดจบเธอก็ลงจากรถไปเลย แต่กิจจากลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยบางอย่าง

แค้นรักสามีตัวร้าย

แค้นรักสามีตัวร้าย

Status: Ongoing

ไฟเผาความรักทั้งหมดของนรมนที่มีต่อบุริศร์ หลังจากห้าปี เธอกลับไปอย่างงดงามและเพื่อทวงความยุติธรรมสำหรับตัว เธอเอง แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กชายที่ถูกพากลับมาด้วยนั้นมีแผน มากกว่าเธอ เด็กน้อยยืนอยู่ข้างหน้าบุริศร์ กล่าวอย่างไร้เดียง สาว่า “คุณลุง สามารถช่วยผมได้ไหม? ผมขอร้อง” บุริศร์ รู้สึกว่าไม่สามารถต้านทานการวิงวอนของเด็กได้ คุกเข่าลง เพื่อช่วย แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกพ่นใส่หน้า อยู่มาวันหนึ่ง บุริศร์ พูดกับเด็กชายหน้าตาดีว่า “เด็กน้อย นี่คือห้องของฉัน!” “แต่ ว่าผมอยากนอนกับหม่าม พวกเรานอนด้วยกันมาห้าปีแล้ว” ชายหนุ่มร้องไห้… แค่ไปจีบภรรยากลับมาเท่านั้น ทำไมลูก ของฉันถึงเอาใจยากเหลือเกิน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท