นรมนพูดไม่ออกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง รู้สึกแต่เพียงไม่มีทางเข้าใจการกระทำของวินเซนต์ได้เลย แต่ว่าคนเราทุกคนต่างก็มีทางเลือกเป็นของตัวเอง และถ้าวินเซนต์สามารถยอมปล่อยวางความหลงใหลต่อทรรศยาไปได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งก็ได้
พอคิดถึงตรงนี้ จิตใจของนรมนก็ผ่อนคลายลงเยอะ
“ถ้างั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี? ยังต้องเข้าไปอีกไหมคะ?”
“ช่างเถอะ ให้เวลาส่วนตัวกับพวกเขาหน่อยดีกว่า”
บุริศร์จูงมือของนรมนเอาไว้ แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปจากโรงพยาบาล
ที่ด้านนอกแสงแดดจัดกำลังส่องลงมาจากเบื้องบน อารมณ์ของนรมนก็ผ่อนคลายลงเยอะแล้ว เหมือนกับอยู่ ๆ หมอกควันในใจก็สลายไป ทำให้คนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
“อยากจะไปช้อปปิ้งไหม?”
บุริศร์เห็นท่าทางนรมนเหมือนกับจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
นรมนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ยังไม่รู้เลยว่ากานต์เป็นยังไงบ้าง พวกเรากลับไปดูกานต์ก่อนดีกว่า”
“เจ้าเด็กนั่นไม่เป็นไรหรอก แค่ต้องพักฟื้นสักช่วงหนึ่ง กลับไปก็ได้แต่นั่งจ้องตากัน หรือไม่ผมพาคุณไปซื้ออะไรอร่อยกินหน่อยดีกว่า? หรือว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าสักหน่อย? หลายวันมานี้คุณก็อารมณ์ไม่ค่อยดี เขาว่ากันว่าตอนที่ผู้หญิงอารมณ์ไม่ดีถ้าได้ช้อป ช้อป ช้อปก็จะดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนรู้สึกขำเล็กน้อย
นี่ถ้ากานต์มาได้ยินว่าพ่อตัวเองรังเกียจตัวเองเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเสียใจขนาดไหน
“คุณนี่ อยู่ ๆ ก็รู้จักมาเอาใจสาวแล้ว หรือว่ามีสถานการณ์อะไรอยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ?”
นรมนถามขึ้นอย่างล้อเล่น
บุริศร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ผมไม่มีอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากจะให้ภรรยาดีใจก็เท่านั้น แล้วอีกอย่าง เพิ่งทำให้คุณโกรธมาเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ? ก็ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษละกัน”
นรมนนึกถึงการถกเถียงกันของทั้งสองคน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “การลงมือทำไปคนเดียวนั้นเป็นเพราะว่าฉันคิดไม่ถี่ถ้วนเอง มันก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของคุณซะทั้งหมด เป็นเพราะว่าฉันมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ฉันคิดแต่เป็นห่วงความรู้สึกของคุณ แต่กลับไม่ได้คิดให้รอบคอบและวางแผนระบบความปลอดภัยให้ดี หนำซ้ำยังผลักคุณออกไปคนเดียวอีก เป็นเพราะว่าฉันเห็นแก่ตัวมากเกินไปเอง”
พอได้ยินภรรยาพูดแบบนี้ บุริศร์ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “อย่าพูดแบบนี้ ความตั้งใจแรกของคุณก็เพราะหวังดีต่อผม ผมรู้ว่า ตอนนี้ผมเป็นคนอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง คุณอย่าถือสาผมเลยนะ ตอนนั้นผมเองก็โมโหขึ้นมา พออารมณ์ร้อนปากก็เลยไม่ตรงกับใจ คุณยกโทษให้ผมเถอะนะดีไหม? หรือว่าวันนี้จะให้การ์ดคุณใบหนึ่ง คุณเอาไปรูดให้ระเบิดไปเลย ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษจากผมละกัน?”
นรมนหัวเราะขึ้นมาทันทีเลย
“การ์ดของคุณ? รูดให้ระเบิดไปเลยเหรอ? คุณแน่ใจเหรอคะว่าจะสามารถรูดให้ระเบิดได้?”
บุริศร์เกาหัวอย่างเขินอายเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “หรือว่าเดี๋ยวผมไปทำการ์ดที่วงเงินน้อยหน่อยมาใบหนึ่ง?”
“หลงตัวเอง”
นรมนจ้องเขาอย่างหมั่นไส้ไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
ในเมื่อประธานบุริศร์มีเวลาว่างและอารมณ์ดีเช่นนี้ งั้นเธอก็ไปเดินดูสักหน่อยดีกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ออกมาท่องเที่ยวกันไม่ใช่เหรอ?
บุริศร์เห็นว่านรมนอารมณ์ดีแล้ว ถึงได้เดินตามหลังไป
เขาเอามือไปประสานกับมือของนรมนอย่างอัตโนมัติ ความรู้สึกแบบนี้มันดีจริง ๆ เลย
ต่อไปถ้าไม่มีอะไรก็อย่าทะเลาะกับนรมนเลยดีกว่า ความรู้สึกหวานแหววแบบนี้ไม่ดีเหรอ? ทำไมเขาจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย?
แผงขายของที่ไกล ๆ มีร้านขายลูกชิ้นอยู่
นรมนไม่ได้กินของกินเล่นแบบนี้มานานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“พวกเราไปกินลูกชิ้นกันดีไหม?”
เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้บุริศร์
บุริศร์รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
“นั่นมันคืออะไร?”
“ของกินเลิศรสในโลกมนุษย์ ไปกันเถอะ!”
นรมนรู้ว่าบุริศร์จะต้องไม่เคยกินของแบบนี้มาก่อนแน่ จึงรีบดึงมือของเขาแล้วก็ลากไปเลย
“เถ้าแก่ เอาลูกชิ้นสิบบาทค่ะ”
นรมนดีใจอย่างกับเป็นเด็กคนหนึ่ง
บุริศร์รู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นนรมนในสมัยเรียนมหาลัย
ในเวลานั้นเธออ่อนเยาว์สวยงาม สดใสร่าเริง เหมือนอย่างกับตอนนี้เลย
บุริศร์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างหลงใหลขึ้นมา
ในตอนที่กลิ่นหอมลอยผ่านจากตัวไปนั้น บุริศร์ถึงพบว่าเจ้าลูกชิ้นที่ว่านั้นมันเป็นของทอด แต่ว่าสีของน้ำมันที่ทอดนั้นทำให้คนไม่กล้าที่จะชื่นชมเลย
หัวคิ้วของเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้น
“นี่มันคือน้ำมันอะไร?”
คำพูดของบุริศร์ทำให้เถ้าแก่อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “น้ำมันถั่วลิสง”
“ไม่ใช่แน่ กลิ่นแบบนี้ต้องไม่ใช่น้ำมันถั่วลิสงแน่”
บุริศร์ยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก ก็รู้สึกว่าแขนเสื้อของตัวเองโดนดึงขึ้นมาทีหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นของนรมนถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ทำให้บุริศร์รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย
“ของอย่างนี้กินไม่ได้ น้ำมันไม่ปลอดภัย ใครจะไปรู้ว่าใช่น้ำมันทอดซ้ำหรือเปล่า”
น้ำเสียงของบุริศร์ไม่ได้ดังมาก จึงทำให้นรมนได้ยินคนเดียวพอดี เขาไม่กลัวว่าเถ้าแก่ได้ยินเข้าหรอก แต่ที่สำคัญคือช่วงนี้ยังมีพวกเสนาธิการอะไรนั่นอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วรู้ถึงหูพวกเขาเข้า ความหวังจะมาเดินเล่นสักหน่อยของตัวเองและนรมนก็จะต้องยกเลิกแล้ว
นรมนรู้สึกหมดคำพูดอยู่เล็กน้อย
“คุณหุบปากไปเลย”
“ที่รัก น้ำมันนี้มัน……”
“ถ้ายังพูดอีกคืนนี้จะไม่ให้คุณขึ้นเตียงแล้วนะ”
คำพูดของนรมนนี้นั้นเต็มไปด้วยพลังสั่นสะเทือนเต็มเปี่ยม จึงทำบุริศร์หุบปากไปทันที
ล้อเล่นซิ กลางคืนจะนอนตรงไหนถือเป็นปัญหาใหญ่เลยนะ มันสำคัญกว่าน้ำมันทอดซ้ำอะไรนี่เยอะเลย
แต่เอาไว้พอทอดเสร็จแล้ว เขาไม่ให้นรมนกินก็พอแล้ว
เหมือนกับว่าดูความคิดในใจของบุริศร์ออก นรมนจึงรีบพูดขึ้นว่า “วันนี้ถ้าคุณไม่ให้ฉันกิน งั้นคุณก็อย่าเข้ามาในห้องนอนฉันสักสิบวันหรือครึ่งเดือนไปเลย”
ไหล่ของบุริศร์ตกลงมาทันทีเลย
“ที่รัก คุณคงจะไม่ใช่แล้วมั้ง? ไอ้ของอันนี้มันอร่อยขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าเกิดว่าน้ำมันไม่สะอาดละ มันจะไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“ขอร้องละ พวกเราก็แค่บังเอิญกินครั้งสองครั้ง ไม่ทำให้ตายหรอก แล้วอีกอย่างพวกอาหารแปรรูปก็ไม่ใช่ของดีอะไร ตอนที่คุณเห็นกมลกิน ก็ไม่เห็นคุณจะว่าอะไรกมลเลย?”
นรมนรู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง
เธอไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย แค่นาน ๆ กินครั้งหนึ่ง แล้วอีกอย่างใครกันที่บอกให้เธอไปซื้อได้ตามใจชอบเลย?
นี่แค่เริ่มต้นเองก็บ่นอุบอิบแล้ว
นรมนรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะว่าคำนึงถึงสุขภาพของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้ข้างนอกไม่ได้ถือสากันมากขนาดนี้แล้ว แล้วอีกอย่างเมื่อกี้เธอก็ได้ดูแล้ว ว่าร้านเล็ก ๆ ร้านนี้ได้รับคำชื่นชมจากโซเชี่ยลมากพอสมควรด้วย
บุริศร์รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“กมลมันไม่เหมือนกัน”
“มีอะไรไม่เหมือนกัน? เธอเป็นคนรักตัวเล็กของคุณ เธอทำอะไรก็ถูก ฉันเป็นเมียคุณ ทำอะไรก็ผิดไปหมดใช่ไหม? ยังไงก็เมียคุณไม่หอมหวานเท่าคนรักอยู่แล้ว”
คำพูดของนรมนพูดตอกกลับจนบุริศร์ไม่กล้าอะไรสักคำเลย
ถ้าพูดอีกก็ผิดอีก
กว่าจะหยอกล้อจนภรรยามีรอยยิ้มขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง เพื่อลูกชิ้นอันนี้เขาไม่อยากทำให้ความสุขในตอนกลางคืนของตัวเองสูญสลายไปหรอก
แล้วในเวลานี้เถ้าแก่ก็ทอดลูกชิ้นเสร็จพอดี แล้วยื่นมาให้พวกเขา แล้วก็เสียบไม้จิ้มมาให้อีกสองอัน
“อันนี้เอาไว้ทำอะไร?”
บุริศร์ถามขึ้นอย่างไม่อาย นรมนแย่งไปอย่างท่าทางรังเกียจ
เธอเอาไม้จิ้มมาจิ้มลูกชิ้นขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วก็ยื่นไปตรงหน้าบุริศร์ จากนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “อ้าปาก”
“จะต้องกินจริง ๆ เหรอ?”
หัวคิ้วของบุริศร์ขมวดกันแน่นจนจะสามารถหนีบแมลงวันตายตัวหนึ่งได้แล้ว
ของที่น้ำมันทอดซ้ำที่แย่ขนาดนั้นทอดออกมา ทำไมนรมนถึงได้ชื่นชมขนาดนั้น และชอบขนาดนั้นด้วย?
จะกินหรือไม่กินดีนะ?
ในใจของบุริศร์มีความลังเลอยู่บ้าง
นรมนจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ใบหน้ายิ้มแฉ่ง แต่ว่าในแววตาเต็มไปด้วยแววข่มขู่
มีปฏิกิริยาแบบว่านายลองไม่กินดูซิ
บุริศร์กลืนน้ำลงคอไปทีหนึ่ง
ช่างเถอะ ช่างเถอะ กินก็กิน ตายก็ตายเถอะ ไม่แน่ลูกชิ้นทอดอันนี้อาจจะไปฆ่าหนอนพิษทองคำที่อยู่ในตัวก็ได้
พอคิดไปแบบนี้ บุริศร์ก็อ้าปากออกอย่างกับว่าเห็นความตายเป็นเรื่องปกติ
ในตอนที่ลูกชิ้นถูกเคี้ยวอยู่ในปากนั้น รสชาตินั้นก็ทำให้บุริศร์อึ้งไปเลยทันที
“เป็นยังไงบ้าง? อร่อยใช่ไหมล่ะ?”
หัวคิ้วของนรมนโค้ง ๆ หัวเราะได้อย่างมีความสุขมาก
บุริศร์รีบพยักหน้าขึ้น จากนั้นก็หยิบไม้จิ้มที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วลงมือกินเองเลย
“นี่ คุณเหลือให้ฉันหน่อยซิ บุริศร์ คุณอย่ากินหมดนะ”
นรมนเห็นว่าชายหนุ่มหน้าไม่อายเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา
ทั้งสองคนเป็นอย่างกับเด็ก และอย่างรวดเร็วก็เริ่มแย่งกันกลางถนนขึ้นมา เสียงที่หัวเราะกันอย่างมีความสุขแผ่ไปยังรอบข้าง ทำให้มีผู้คนสนใจขึ้นมาไม่น้อย แต่ว่าพวกเขากลับไม่สนใจ สำหรับพวกเขาแล้ว อยู่กับปัจจุบัน มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แล้วอย่างรวดเร็วลูกชิ้นก็ใกล้จะหมดลง พอเห็นว่าเหลือแค่ชิ้นเดียว อยู่ ๆ บุริศร์ก็แย่งแล้ววิ่งหนีไปเลย
“คุณนี่ไม่อายบ้างหรือไง? นี่มันเป็นของที่ฉันซื้อนะ!”
นรมนรู้สึกว่านี่มันรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว
บุริศร์เห็นว่าตัวเองร่างกายสูงใหญ่ ก็เลยวิ่งไปอย่างเร็ว เธอจะไม่เพิ่มความเร็วในการวิ่งตามไปไม่ได้เลย
“มาซิ มาซิ วิ่งตามผมทันผมก็จะให้คุณ”
บุริศร์หันหน้ากลับมายิ้มแล้วก็พูดขึ้น
นรมนรู้สึกอย่างกับว่าได้เห็นรุ่นพี่ในสมัยเรียนมหาลัย แต่ว่าก็มีความไม่เหมือนอยู่บ้าง
ตอนที่เรียนมหาลัยนั้นเขาเป็นคนที่เงียบขรึม ดูห่างเหิน เหมือนอย่างกับเทพบุตรที่เข้าใกล้ได้ยาก ได้แต่มองดูอยู่ไกล ๆ แต่เข้าไปสัมผัสไม่ได้
แต่วันนี้ชายหนุ่มได้กลายเป็นสามีของเธอแล้ว ถึงแม้ว่าจะเย็นชาอยู่บ้างแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและความอบอุ่น
“เก่งจริงคุณอย่าหนีนะ”
นรมนก้าวเท้าวิ่งตามขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนเหมือนอย่างกับเด็กวิ่งไล่กันกลางถนนไป
บุริศร์ยังไงก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ หลอกล้อให้นรมนออกกำลังกายไป
ทั้งสองคนวิ่งเล่นกันไปพักหนึ่ง รถJeepคันหนึ่งก็วิ่งเลี้ยวมาจากถนนข้าง ๆ มา
สีหน้าของนรมนดูไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อยทันที
นี่มันป้ายทะเบียนรถที่ทหารใช้นี่
นรมนนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเสนาธิการเขมทัตอะไรนั่นอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เธอได้แปลงโฉมรูปลักษณ์ภายนอกไปบ้างแล้ว แต่ว่าบุริศร์กลับไม่ได้ทำ
ในเมื่อเขาเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง และไม่ชอบแต่งหน้าเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดทั้งสองคนพบเจอกันเข้าจะทำยังไงล่ะ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ฝีเท้าของบุริศร์ก็ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง เห็นได้ชัดว่า บุริศร์เองก็เห็นรถคันนั้นเข้าแล้ว และสีหน้าก็มีการเปลี่ยนแปลงแล้วด้วย
นรมนเดินไปอย่างรวดเร็ว และจับมือบุริศร์ไว้ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ตามฉันมา”
ด้านข้างมีศูนย์การค้าอยู่แห่งหนึ่ง ขอแค่ทั้งสองคนเข้าศูนย์การค้าไป ถ้าอีกฝ่ายอยากจะหาพวกเขาให้เจอก็คงต้องใช้แรงหน่อยแล้ว ในเมื่อคนในศูนย์การค้าค่อนข้างเยอะ
บุริศร์เองก็ไม่อยากจะมีการขัดแย้งอะไรกับพวกเขา จึงรีบก้มหน้าลงทันที
ใจของนรมนเต้นตุ๊บ ๆ รู้สึกเหมือนกับว่าจะเต้นขึ้นมามาถึงลูกกระเดือกแล้ว มือของเธอก็มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
อยู่กับบุริศร์มาหลายปีนี้ คลื่นลมแรงก็เจอมาไม่น้อย ตอนนี้จะพยายามยืนหยัดต่อไปก็ยังไหวอยู่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในศูนย์การค้าเหมือนอย่างกับเป็นสามีภรรยาทั่วไป
รถJeepขับผ่านพวกเขาไป
ใจของนรมนก็ยังคงแกว่งอยู่ ในขณะที่รถสวนทางไปนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
บุริศร์กลับรักษาอาการได้อย่างดีตลอด ท่าทางสงบนิ่งมาก
นรมนรู้สึกว่ายังห่างไกลกับความสงบนิ่งของบุริศร์เป็นอย่างมาก ดูท่าจะต้องฝึกฝนอีกหน่อยแล้ว
ในขณะที่ทั้งสองคนโล่งอกไปเปลาะหนึ่งนั้น ตอนที่กำลังจะก้าวเข้าไปในศูนย์การค้า อยู่ ๆ รถJeepก็หยุดลง และกระจกรถก็โดนคนลดลงด้วย
“สองคนข้างหน้า หยุดก่อน”
นรมนและบุริศร์ค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้น แล้วก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเดินไปข้างหน้าต่อไป แต่ไม่ว่ายังไงฝีเท้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นแล้ว
“นี่ หยุดนะ! ถ้ายังไม่หยุดอีกฉันยิงแล้วนะ!”