“นี่มันอะไรกัน มาลงโทษใครต่อหน้าฉัน”
เสียงของธเนศพลดังขึ้นไม่ไกล
บุริศร์ขมวดคิ้ว แล้วพูดเบาๆ ว่า “คิดว่าลูกฉันกลายเป็นลูกนายแล้วหรือไง ถึงจะกลายเป็นลูกนาย นายก็ต้องสั่งสอนเขาให้ดี ถามเขาดูสิว่าเมื่อกี้ทำเรื่องอะไร ที่พวกผู้ชายสวะชอบทำกัน”
เมื่อเจอกับอารมณ์ของบุริศร์ ธเนศพลไม่สนใจ แต่เขาเดินมาข้างหน้ากานต์ แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น บอกฉันได้”
เสียงของธเนศพลไม่ดัง แต่กานต์เม้มปากไม่พูดอะไรออกมา และวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เมื่อนึกได้ว่าคฤหาสน์นี้เป็นของพ่อแม่ไอรา เขารู้สึกขัดแย้งในใจ สุดท้ายจึงหยุดอยู่หน้าประตู เขาหันมามองนรมน แล้วถามว่า “ผมเปลี่ยนที่คิดทบทวนได้ไหม”
นรมนนึกได้ว่าเป้าหมายของการมาที่นี่ คือมารับลูกชาย แต่โดนเรื่องอื่นขัดไว้เสียก่อน
“ไปรอในรถ หม่ามี้มีเรื่องคุยกับลุงธเนศพล”
กานต์หันหลังเดินไปที่รถ
ชมพูเห็นท่าทางหดหู่ของเขา ก็รู้สึกเศร้าใจ
“แด๊ดดี้ เรื่องมันเป็นแบบนี้”
ชมพูเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟังอย่างละเอียด
ธเนศพลขมวดคิ้ว เขามองนรมนกับบุริศร์ “พวกนายว่ากานต์เป็นผู้ชายสวะเหรอ”
“หรือการที่เขาทำแบบนั้น เป็นเรื่องดีหรือไง นายดูสิว่าเขาทำอะไรลงไป”
เมื่อบุริศร์นึกถึงเรื่องที่กานต์ทำร้ายไอรา เขาก็โมโหทันที ที่น่าโมโหไปกว่านั้น กานต์ยังไม่สำนึกผิด แถมเขายังพลาดไปทำร้ายไอราด้วย ดูเหมือนว่าต้องไปหาอรรณพสักหน่อย
ธเนศพลมองนรมน แล้วถามว่า “คุณนายบุริศร์ก็คิดแบบนี้เหรอ”
นรมนไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนว่าเธอคิดว่ากานต์ทำผิดเช่นกัน
จู่ๆ ธเนศพลหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “พวกนายสนใจแต่เรื่องความรัก จนละเลยทุกอย่างไปแล้วหรือไง”
คำพูดนี้ไม่มีความเกรงใจแล้ว
ถึงธเนศพลจะยิ้มอย่างสดใส แต่ตอนนี้ ไม่ว่านรมน บุริศร์ หรือชมพู ต่างรู้สึกถึงความโกรธของธเนศพล
บุริศร์รีบดึงนรมนไปข้างหลัง
“นายมีอะไรก็จัดการกับฉัน จะยุ่งกับภรรยาฉันทำไม นายชอบกานต์ แต่กานต์คือลูกแท้ๆ ของภรรยาฉัน เราแค่อบรมการกระทำของเขาเท่านั้น”
“ไม่ผิดที่อบรมเขา”
จู่ๆ ธเนศพลรู้สึกจุกอก
เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ถึงนรมนไม่ชอบควันบุหรี่ บุริศร์ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับธเนศพล เขาทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “นายอยู่ห่างเราหน่อย มีลูกมีเมียกันหมดแล้ว ยังสูบบุหรี่อีก สำนึกสักหน่อยได้ไหม”
ธเนศพลอึ้งไปเล็กน้อย เขาหันไปมองชมพูโดยอัตโนมัติ
ชมพูรีบพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะแด๊ดดี้ หนูไม่ถือสา”
เธอยิ้ม ใบหน้าและแววตาของเธอดูมีความสุข ทำให้ธเนศพลใจอ่อนลง
เขาดับบุหรี่ จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แด๊ดดี้ไม่รอบคอบเอง ชมพูยังเด็ก มารับควันบุหรี่แบบนี้ไม่ดี ต่อไปแด๊ดดี้จะพยายามไม่สูบต่อหน้าลูกกับหม่ามี้นะ”
คำพูดนี้ ทำให้ชมพูน้ำตาคลอ
แด๊ดดี้ดีกับเธอและหม่ามี้มาก ไม่เหมือนเบิร์ด
ธเนศพลดับบุหรี่ แล้วพูดว่า “เพราะกานต์เป็นอัจฉริยะ มีความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ พวกนายเลยไม่ต้องกังวลกับเขามาก และคิดว่าเขาโตแล้วใช่ไหม”
“หมายความว่าอะไร”
เมื่อธเนศพลพูดออกมา บุริศร์ขมวดคิ้ว แต่นรมนรับรู้ได้
เธอคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้กานต์อายุเพียงเจ็ดปี ไม่ใช่สิบเจ็ดปี
ถ้ากานต์ที่อายุสิบเจ็ดปี ทำเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ชายสวะ แต่ตอนนี้กานต์อายุเพียงเจ็ดปี เป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา ความชอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรื่องพื้นฐาน และสัญชาตญาณในการทำสิ่งต่างๆ
ครั้งแรกที่ไอราเจอกับกานต์ ไม่ใช่ความทรงจำที่ดี
กานต์ถูกบังคับให้ทะเลาะกับเธอ แถมยังโดนไอรามองตอนโป๊ ถ้าเป็นเด็กคนอื่น ก็ไม่มีทางยอมเหมือนกัน ดังนั้นการที่เคียดแค้นและรู้สึกไม่ดีกับไอรา จึงเป็นเรื่องปกติ แล้วการเจอไอราอีกครั้ง เห็นเธอวิ่งมาแบบนั้น การที่กานต์จะคิดว่าไอราเข้ามาหาเรื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ดังนั้นเขาจึงปกป้องชมพู ที่เขาโมโหไอรา เป็นเรื่องปกติของเด็กอายุเจ็ดขวบ
แล้วพวกเขาล่ะ
พวกเขามองกานต์ เหมือนมองผู้ใหญ่ นี่มันไม่ยุติธรรมกับกานต์
เมื่อคิดว่าลูกชายไม่เคยทำให้พวกเขาเป็นกังวล จิตใต้สำนึกของพวกเขา จึงคิดว่ากานต์โตจนสามารถจัดการทุกอย่างได้ รวมถึงเรื่องอารมณ์ด้วย
นรมนคิดถึงอารมณ์ก้าวร้าวของลูกชาย เธออดเดินไปที่รถไม่ได้
“นรมน”
บุริศร์รู้สึกแปลกใจ ธเนศพลมองบุริศร์แล้วพูดว่า “ดูเหมือนคุณนายบุริศร์ จะฉลาดกว่านายนะ”
“ไอ้เลว”
บุริศร์ก่นด่าเบาๆ แล้วรีบเดินตามไป
กานต์อยู่ในรถคนเดียว สีหน้าของเขาเย็นชา แต่แววตาแดงระเรื่อ
เมื่อนรมนเปิดประตูรถ เขาหันไปมองอย่างรวดเร็ว และรีบหันกลับมา
กานต์เป็นแบบนี้ ทำให้นรมนเจ็บปวดใจและรู้สึกผิด
“ขอโทษนะลูก เมื่อกี้หม่ามี้ทำไม่ดี อย่าโกรธเลยนะ”
บุริศร์อยู่ข้างนอก ได้ยินนรมนพูดกับกานต์ เขายืนอยู่ข้างนอก และให้นรมนจัดการทุกอย่าง
กานต์เหมือนจะร้องไห้ เขาน้อยใจมาก
“หม่ามี้ก็คิดว่าผมผิดเหรอ”
แววตาแดงระเรื่อและดึงดันของกานต์ มองไปยังนรมน ทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
เธอรวบตัวกานต์เข้ามากอด และพูดเบาๆ ว่า “เรื่องนี้ ถ้ามองในมุมผู้ใหญ่ ลูกทำผิดจริง แต่หม่ามี้กับแด๊ดดี้ลืมไปว่าลูกอายุแค่เจ็ดขวบ กานต์ ลูกเก่งจนหม่ามี้กับแด๊ดดี้ละเลยอายุของลูก เป็นความผิดของหม่ามี้กับแด๊ดดี้เอง หม่ามี๊ขอโทษนะลูก”
ธเนศพลพูดถูก กานต์อายุเพียงเจ็ดขวบ เด็กเจ็ดขวบจะไปรู้จักคำว่าผู้ชายไม่ดี ผู้ชายสวะได้ยังไง
พวกเขาคาดหวังมากเกินไป
กานต์มองนรมนแบบมึนๆ งงๆ แต่เมื่อได้ยินนรมนขอโทษ เขารีบพูดว่า “ผมแค่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน เพราะไอราเป็นคนน่ากลัวมาก ผมเลยทำแบบนั้น”
อันตรายเหรอ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้กานต์คิดว่าอันตราย นี่ทำให้นรมนรู้สึกแปลก
แต่เธอก็พูดว่า “สองปีก่อน ไอรายังเด็ก เรื่องที่เคยทำ จึงทำให้คนไม่พอใจ แต่นี่ผ่านไปสองปีแล้ว ไม่มีใครยืนอยู่ที่เดิม และไม่พัฒนาหรอกใช่ไหม ลูกลองคิดดีๆ ไอราในตอนนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างกับไอราเมื่อสองปีก่อนเลยเหรอ ไม่ได้เติบโตขึ้นเลยเหรอ”
กานต์คิดไปคิดมา เหมือนเธอไม่ได้ลงมือแบบไม่คิด และไม่ได้บังคับเขาหรือชมพู กลับกัน เขาเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ อีกอย่างฝีมือของไอราพัฒนาอย่างรวดเร็ว สองปีก่อนเขาไม่ยอมไอรา แต่ครั้งนี้เขาเกือบโดนไอราตอบโต้กลับ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ กานต์พยักหน้า แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เหมือนเธอต่อสู้เก่งขึ้นเยอะ”
นรมนยกยิ้มมุมปาก
ดูเหมือนลูกชายจะโฟกัสผิดจุด
“กานต์ ตอนนี้หม่ามี้อาจไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เดี๋ยวลูกโตก็จะรู้เอง แต่สุภาพบุรุษ ไม่ควรทำร้ายผู้หญิง”
“แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ”
กานต์ยังคงดึงดันกับจุดนี้ นรมนก็ทำดีที่สุดแล้ว
“แต่คำพูดสุดท้ายของลูก ทำร้ายจิตใจคนมากเลยนะ ลูกลองคิดดู ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้กับชมพู หรือพูดกับลูก ลูกจะโกรธหรือเปล่า”
คำพูดของนรมนทำให้กานต์เงียบไป
โอเค ถ้าคนอื่นพูดกับชมพูหรือกมล เขารับรองเลยว่าจะฉีกปากคนนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อคิดแบบนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร
ถึงเรื่องนี้เกี่ยวกับไอรา ก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เขายังพูดแบบไม่ค่อยเต็มใจว่า “งั้นผมไปขอโทษเธอก็ได้ แต่เรื่องเมื่อสองปีก่อน เธอก็ควรขอโทษผมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
นี่เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจกานต์มาตลอด ถึงการขอโทษ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ไม่สามารถย้อนเวลาได้ ไม่สามารถทำให้ไอราไม่มองของลับของเขาได้ แต่ก็ต้องมีท่าทีอย่างถูกต้อง
นรมนเห็นท่าทีของกานต์ เธอหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ลูกๆ ต้องแก้ไขกันเอง แด๊ดดี้กับหม่ามี้ เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ แต่ที่ไอราโดนตบแทนลูก ลูกต้องขอบคุณเธอนะ”
“เธอจงใจทำให้ผมติดหนี้เธอ”
กานต์ขมวดคิ้ว
แค่พูดถึงไอรา เขาก็ขมวดคิ้วเป็นปม
นรมนไม่รู้จะพูดยังไง แต่ความคิดของเด็กไม่ซับซ้อน ชอบคือชอบ ไม่ชอบคือไม่ชอบ บางทีต้องรอให้พวกเขาเติบโต ถึงจะรู้ว่าความรู้สึกตอนเด็ก คือความจริงที่สุด
บุริศร์ยืนฟังสองแม่ลูกคุยกันข้างนอกจนจบ เขาจึงเคาะประตูรถ และเดินเข้าไป
“แด๊ดดี้ก็สำนึกผิดเหมือนกัน”
กานต์เอาหน้าซุกอกนรมน โดยไม่มองเขา
ไอ้เด็กนี่จงใจชัดๆ
บุริศร์เห็นจุดที่กานต์เอาหน้าซุกลงไป เขารู้สึกอิจฉา
“ให้แด๊ดดี้อุ้มนะ หม่ามี้ยังไม่ค่อยแข็งแรง”
“ไม่เอา”
กานต์ปฏิเสธทันที
นรมนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ให้กานต์จัดการเอง เราสามคนไปทานข้าวกัน แล้วค่อยกลับดีไหม”
เมื่อคิดว่าในคฤหาสน์ยังมีพนอกับเบิร์ด นรมนกับบุริศร์อดกลุ้มใจไม่ได้
นี่ก็ใกล้สองวันแล้วที่ขวัญตาหายไป แต่พวกเขายังไม่มีเบาะแสอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจตต์ หวังว่าจะทำทุกอย่างได้ทันเวลา
รถเคลื่อนตัวมายังโรงแรมแถวนั้น บุริศร์พานรมนกับกานต์เข้าไป
กานต์ถือมือถือ ไม่รู้กำลังพูดอะไรกับนรมน แต่มีรังสีแห่งความเฉยชา ที่ยากจะเข้าใกล้แผ่ออกมารอบตัว เหมือนบุริศร์แต่ก่อนไม่มีผิด
ถึงนรมนอยากพูดอะไร แต่เมื่อคิดถึงอายุของกานต์ เธอจึงไม่พูดดีกว่า
ช่างเถอะ ลูกหลานก็มีทางรอดของตัวเอง เธอไม่สนใจแล้ว
ทั้งสามทานข้าวกันอย่างมีความสุข ของหวานหลังอาหารยังไม่มาเสิร์ฟ มือถือของบุริศร์ดังขึ้น
“ประธานบุริศร์ครับ พนอฟื้นแล้ว เขาบอกว่าอยากคุยกับคุณ เขารู้ว่าเจตต์อยู่ที่ไหนครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นรมนกับบุริศร์ตกใจทันที