สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 32.1

ตอนที่ 32.1

บทที่ 32 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กลิ่นน้ำส้มลอยฟุ้ง (1)
Ink Stone_Romance
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ แผนการล้ำลึกยิ่งนัก

เซียงเฉ่าคิดแล้วหนาวเหน็บไปทั้งกาย สั่นสะท้านไปครั้งหนึ่ง กระทั่งหลัวอวี่ก่วนขึ้นเสียงอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “ยังไม่ประคองข้าขึ้นมาอีก”

“เจ้าค่ะ” เซียงเฉ่าตื่นตัวทันที รีบพยุงกายเข้าไปประคองหลัวอวี่ก่วนซึ่งอยู่ในสภาพมือเท้าอ่อนปวกเปียกเช่นกัน สองนายบ่าวจึงค่อยๆ พากันเดินกลับเรือนไป

หลัวซืออวี่ไล่บ่าวไพร่ที่มีหน้าที่เข้าเวรออกไปจนหมด จวนกั๋วกงอันแสนกว้างใหญ่แห่งนี้เงียบสงัดยิ่งนัก นอกจากเสียงร้องของแมลงแล้วก็ไม่มีเสียงอันใดอีกเลย

หลัวอวี่ก่วนอ่อนล้าไปทั้งกาย แม้กระทั่งนางเองยังไม่รู้ว่าตนกลับเรือนมาได้อย่างไร กระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้และรับน้ำชาที่เซียงเฉ่ายื่นมาให้ กระนั้นยังรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

หลัวเสียงเข้ามาจากด้านนอก ไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าซีดขาวของนาง ตรงเข้ามาสะบัดชายเสื้อคลุมนั่งลงบนเก้าอี้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปไหนมารึ? พรุ่งนี้เป็นวันพิธีออกศพของท่านแม่แล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายครั้งกลับไม่พบเจ้า หากรู้ไปถึงหูของคนเรือนใหญ่ ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะตำหนิว่าเจ้าเช่นใดบ้าง”

หลัวอวี่ก่วนกำลังอยู่ในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไฉนเลยจะได้ยินว่าเขาพูดอันใดบ้างเล่า ได้แต่นั่งดื่มชาไปอีกคำหนึ่งอย่างเย็นชา เมื่อรู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้นมาบ้าง ทว่ากลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวัง”

ระยะนี้หลัวเสียงเองก็มีเรื่องราวให้จัดการมากมาย แล้วยังต้องมาดูแลการจัดงานศพของฮูหยินรองหลัวจนเวียนหัวไปหมด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเพิ่งจะเข้าใจว่านางพูดอันใด เขาเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว

“อะไรกัน? พรุ่งนี้เป็นวันพิธีออกศพของท่านแม่”

“พรุ่งนี้เป็นพิธีออกศพของฮองเฮาเหมือนกัน” หลัวอวี่ก่วนพูด มือที่จับถ้วยน้ำชานั้นออกแรงเพิ่มขึ้นอีก สีหน้ายืนกรานหนักแน่น “ข้าต้องไปส่งนางแน่นอน เพื่อไม่เป็นการสูญเปล่าที่นางดูแลเอาใจใส่ข้ามาโดยตลอด”

หลัวเสียงขมวดคิ้วแน่น

หลัวฮองเฮานั้นไม่อยู่แล้ว ครอบครัวของมารดานางอยู่ที่นี่ ดังนั้นอำนาจบารมีที่นางเคยมีเมื่ออยู่ในตำแหน่งฮองเฮานั้นก็ได้สูญสลายหายไปด้วย นางยังจะไปแสดงความกตัญญูในเวลานี้ มีประโยชน์อันใดเล่า?

เขารู้สึกขุ่นข้องหมองใจยิ่ง

ทว่าหลัวอวี่ก่วนกลับตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของเขาเลย ยังพูดเสียงต่ำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าวังแน่นอน”

“แล้วแต่เจ้าเถิด” หลัวเสียงหงุดหงิดรำคาญใจแล้วเช่นกัน ไม่มีอารมณ์จะไปสนใจนาง เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะมาที่นี่เขาตั้งใจจะมาพูดความในใจกับนางเสียหน่อย บัดนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะกล่าวอันใด สะบัดชายเสื้อก็ลุกขึ้นเดินออกไป

เดินไปถึงหน้าประตู ราวกับเขานึกถึงเรื่องอันใดขึ้นมาได้จึงหยุดชะงักฝีเท้า เหลียวกลับมามองหลัวอวี่ก่วนด้วยสายตาสงสัยพร้อมกับถามว่า “ตกลงเจ้าไปไหนมากันแน่หายไปตั้งครึ่งค่อนวัน?”

สายตาของหลัวอวี่ก่วนมองไปข้างนอก ณ จุดใดจุดหนึ่ง ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขา

หลัวเสียงมองนางอย่างไม่ได้ดั่งใจ แล้วจึงก้าวเท้าเดินออกไป

วันต่อมา พิธีออกศพในวังฮองเฮา

ตามธรรมเนียมประเพณี สตรีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินตราตั้งและพระญาติฝ่ายหญิงจะต้องเข้าวังเพื่อร้องไห้ไว้อาลัย

สกุลหลัวเนื่องด้วยในเรือนมีงานศพให้จัดการ ฮูหยินใหญ่หลัวจึงต้องอยู่ในจวนดูแลพิธีการ จึงไม่ได้เข้าวัง หลัวอวี่ก่วนแต่งกายเตรียมตัวอย่างเรียบร้อยมาถึงหน้าประตูก่อนแล้ว

หลัวซืออวี่ออกจากประตูด้านในตามมาทีหลัง เมื่อเห็นนางกลับไม่มีท่าทางว่าแปลกใจเท่าใดนัก เพียงแต่ยกยิ้มบางๆ ให้นาง

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้คนทั้งสองเท่ากับได้กระทำการฉีกหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว ในใจของหลัวอวี่ก่วนเต็มไปด้วยความไม่ยอมจำนน แต่กลับไม่สามารถอาละวาดต่อหน้าได้ ได้แต่ฝืนปฏิบัติเหมือนในยามปกติ พูดคุยอย่างสนิทชิดเชื้อเช่นเดิมว่า “อย่างไรฮองเฮาก็เคยรักและเอ็นดูข้ามา ข้าตามพี่สาวเข้าวังไปส่งนางครั้งสุดท้ายด้วยนะเจ้าคะ”

ริมฝีปากล่างของหลัวซืออี่โค้งลงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

รอยยิ้มของนางเป็นการยิ้มตามมารยาทด้วยความเคยชิน แต่นางปฏิบัติต่อทุกคนเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เห็นว่ามีความผิดปกติอันใด

ในสายตาของหลัวอวี่ก่วนนั้น พี่สาวผู้นี้ของนางเจตนาทำตัวสูงส่ง เห็นนางขัดหูขัดตาตลอดมา แต่บัดนี้ถูกสายตาของนางที่มองจ้องมา พลันรู้สึกราวกับถูกสอดรู้สอดเห็นเข้าไปถึงในใจทีเดียว นางรู้สึกอัดอัดยิ่งนัก

นางค่อยๆ ก้มศีรษะลง เดิมทีคิดว่าหลัวซืออวี่คงจะรื้อบันไดของนางเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลัวซืออวี่เพียงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถิด”

หลัวอวี่ก่วนเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความประหลาดใจ

หลัวซืออวี่นั้นเหยียบบนแท่นแล้วขึ้นรถม้าไปทันที ทั้งยังมองลงมาจากบนรถม้าแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด”

“ข้า…” นางมีความสุขเช่นนี้ แต่หลัวอวี่ก่วนหวาดกลัวในใจ ถามอย่างลังเลว่า “ข้าเรียกให้พวกเขาเตรียมรถม้าอีกคันหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ”

“เวลาฝังศพของฮองเฮานั้นกำหนดไว้แน่นอนแล้ว หากยังเสียเวลาอีกคงไปไม่ทัน” หลัวซืออวี่พูดแล้วก็ผลุบเข้าไปในรถม้า

หลัวอวี่ก่วนลังเลใจนัก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ฝืนขึ้นรถม้าไป

รถม้าค่อยๆ เดินไปช้าๆ มุ่งหน้าสู่วังหลวง

บนรถม้าของหลัวซืออวี่มีสะดึงปักผ้าวางอยู่ นางจึงหยิบขึ้นมาปักผ้าอย่างเงียบๆ

เยียนเอ๋อร์นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง นางใช้หางตามองหลัวอวี่ก่วน สีหน้าเหยียดหยามนั้นมีความสุขปะปนอยู่ด้วย

หญิงผู้นี้ไม่มีความละอายแก่ใจ ทั้งยังมีความลับตกอยู่ในมือของคุณหนูของตน ต่อไปมีหรือจะไม่ถูกบีบจนตายคามือ? ดูว่านางจะสร้างสถานการณ์อันใดได้อีก

หลัวอวี่ก่วนรับรู้ได้ถึงสายตาของนาง ในใจนั้นหงุดงหงิดรำคาญยิ่งนัก กี่ครั้งแล้วที่นางอยากอาละวาดออกมาแต่

ไม่สามารถทำลายภาพลักษณ์ที่ตนเสแสร้งแกล้งทำได้ จึงทำได้เพียงคิดแล้วคิดอีกอยู่นาน ในที่สุดก็ถามขึ้นอย่างลังเลว่า

“พี่ใหญ่ เรื่องเมื่อคืน ท่านคงต้องเข้าใจผิดข้าแน่ๆ ข้า…ข้าเพียงแต่…”

นางพูดแล้วก็ขยำผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดว่า “แรกเริ่มทีข้าทำไปด้วยความจำเป็น วันนั้น…วันนั้นเป็นซูหว่านที่ต้องการฆ่าข้า ข้าทำลงไปเพื่อต้องการรักษาชีวิตจึง…”

หลัวซืออวี่ฟังนางร่ำไห้รำพึงรำพันด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

หลัวอวี่ก่วนเกรงว่านางจะไม่เชื่อ พูดได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงลุกขึ้นยกชายกระโปรงคุกเข่าลงข้างกายนาง ยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อของนาง พูดทั้งน้ำตานองหน้าว่า “พี่ใหญ่ ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ข้าก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นซูหลินที่บีบบังคับข้า ท่านเชื่อข้าเถิด เมื่อวานข้าตกใจจนแทบบ้า ดังนั้นจึงต้องหน้าด้านมาขอร้องท่าน ข้าไม่มีเจตนาจริงๆ เจ้าค่ะ”

“อ้อ?” หลัวซืออวี่หัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่ง ถูกนางยื้อยุดจึงวางเข็มกับด้ายลง มองนางและพูดว่า “เมื่อพูดเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการเข้าใจผิดทั้งนั้น?”

“อืม” หลัวอวี่ก่วนพยักหน้าแรงๆ ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตานั้นดูไปแล้วช่างน่าสงสาร

“ลุกขึ้นมาเถิด” หลัวซืออวี่ประคองนางลุกขึ้นมา

หลัวอวี่ก่วนนั่งลงใกล้ๆ นาง

หลัวซืออวี่รินน้ำแก้วหนึ่งมาถือไว้ในมือจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “เช่นนั้นต่อไปเจ้าคิดจะทำเช่นใดเล่า?”

“ข้า…” หลัวอวี่ก่วนพูดแล้วก็มีท่าทีปวดใจจนน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าตา สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กล้ำกลืนพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าพูดหลายครั้งแล้วว่าอย่าพบหน้ากันอีกเลย แต่เขา…”

พูดแล้วก็มีท่าทีราวกับยากที่จะเอ่ยยิ่งนัก จึงร้องไห้ด้วยความทุกข์ออกมาอีก

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม หากแพร่งพรายออกไปเขาเป็นผู้ชาย อย่างมากก็ถูกฝ่าบาทตำหนิและอบรมเพียงไม่กี่ประโยค แต่เจ้า…” หลัวซืออวี่คลายคิ้วที่ขมวดลงเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องที่ความสัมพันธ์ไม่มีช่องว่างระหว่างกันเลยทีเดียว

หลัวอวี่ก่วนได้ยินแล้วจึงร่ำไห้ด้วยความทุกข์ระทมขึ้นมาอีกครา ทว่ากลับแอบสังเกตสีหน้าท่าทางของหลัวซืออวี่ผ่านร่องนิ้วมือของตน พร้อมถามหยั่งท่าท่าว่า “พี่ใหญ่ท่านจะ…ทางท่านป้าใหญ่…”

“นิสัยของท่านพ่อข้ามิใช่เจ้าจะไม่รู้ ขนาดพี่ห้าทำผิดเขายังไม่ยอมละเว้น หากรู้เรื่องนี้เข้ายังจะนิ่งเฉยอยู่ได้หรือ?” หลัวซืออวี่ไม่ได้รอกระทั่งนางพูดจนจบก็กล่าวขัดขึ้น น้ำเสียงนั้นยืนกรานหนักแน่น “เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาว ข้าจะช่วยเจ้าปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ท่านพ่อและท่านแม่รู้ แต่…ความลับไม่มีในโลก ทางจวนอ๋องฉางซุ่นนั้น เจ้าคงต้องหาวิธีไปจัดการตัดความสัมพันธ์เสีย”

หลัวอวี่ก่วนถูกคำพูดที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ของนางตัดบทคำพูดของตน ดวงตาทั้งคู่จึงแดงก่ำ ภายในใจนั้นอัดแน่นเต็มไปด้วยความไม่ได้ดั่งใจ

หลัวซืออวี่ผู้นี้ ช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง

เมื่อครู่นางคิดใช้น้ำตาทำให้นางใจอ่อน หวังให้นางไปขอร้องฮูหยินใหญ่หลัวออกหน้าเพื่อให้ซูหลินรับผิดชอบ เรื่องนี้จะได้ทำให้มันจบลงเสียที หลัวซืออวี่กลับไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น

ให้นางตัดความสัมพันธ์กับซูหลินเช่นนั้นหรือ? ยามนี้นางไร้ซึ่งบิดาและมารดา พูดให้ไม่น่าฟังอีกสักหน่อยก็คือเป็นคนนอกที่มาอาศัยอยู่เหมือนกาฝากในจวนหลัวกั๋วกง ร่างกายก็ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกแล้ว หากนางต้องละทิ้งซูหลิน ต่อไปนางจะแต่งให้กับคนชนิดใดกันเล่า?

สกุลหลัวเพื่อรักษาชื่อเสียง ย่อมต้องส่งนางออกไปยังแดนไกลเป็นแน่ คงได้แต่หาคู่ครองที่อยู่แถบชานเมืองไกลออกไปสักครอบครัวหนึ่ง เป็นอันสิ้นเรื่องสิ้นราว

หลัวซืออวี่คิดว่านางเป็นคนเขลา?

ยามนี้แสดงตัวให้น่าเวทนาสงสารไม่ได้ผล หลัวอวี่ก่วนเองก็คร้านจะสิ้นเปลืองน้ำตาต่อไป จึงค่อยๆ หยุดอาการสะอื้นไห้

หลัวซืออวี่เองก็ไม่ได้สนใจนางจึงหยิบสะดึงปักผ้าขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มปักผ้าต่อไป

หลัวอวี่ก่วนได้แต่บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ หลัวซืออวี่ ระยะทางที่เหลือนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมิได้สนทนากันอีกแม้แต่ประโยคเดียว

รถม้าค่อยๆ มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาหยุดลงหน้าประตูวังบูรพาของวังหลวง

—————————————

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท