คลาวด์บีสต์สีแดง
หลังจากที่ไวท์เรียลจากไปแล้ว หานเซิ่นและไผ่เดียวดายก็เริ่มออกเดินทางต่อ
“นี่คือจุดสูงสุดของยอดเมฆสายรุ้ง คลาวด์บีสต์ตัวนั้นหาตัวได้ยาก” ไผ่เดียวดายนั่งลง
หานเซิ่นนั่งลงข้างๆไผ่เดียวดายและมองลงไปที่ก้อนเมฆด้านล่าง
คลาวด์บีสต์สีขาวตัวหนึ่งที่ดูเหมือนกับยูนิคอร์นกำลังวิ่งไปมารอบๆก้อนเมฆด้านล่าง มันยังมีคลาวด์บีสต์อีกตัวที่ดูเหมือนกับฟินิกซ์บินไปมาบนท้องฟ้าด้วย หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าคลาวด์บีสต์ตัวไหนกันแน่ที่ไผ่เดียวดายต้องการจับมาเป็นสัตว์ขี่
“เมื่อเจ้าได้เห็นมัน เจ้าจะได้รู้เอง” ไผ่เดียวดายพูด
“เจ้าไม่บุกเข้าไปในที่อยู่อาศัยของมันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“คลาวด์บีสต์ตัวนี้ไม่มีบ้านและเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แถมมันยังรวดเร็วเกินไปที่จะไล่ตามได้ทัน แม้แต่ดยุกก็ไม่อาจจะจับตัวมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องรอ”
ไผ่เดียวดายทำตัวผ่อนคลายและวางดาบหยกลงบนตัก
“ดาบหยกนั่นสำคัญต่อเจ้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัยว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงยังใช้ดาบหยกที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับฝึกฝน ทั้งๆเขาที่สามารถใช้ดาบเล่มไหนก็ได้แม้แต่เล่มที่เป็นระดับราชัน
ไผ่เดียวดายไม่ตอบ เขามองไปที่ทะเลก้อนเมฆตรงหน้า
หานเซิ่นปล่อยให้เรื่อยนั้นตกไป แต่เมื่อเขาคิดว่าการพูดคุยจบลงไปแล้ว ไผ่เดียวดายก็พูดขึ้นมา
“เจ้าเชื่อไหมว่ามันมีเทพเจ้าที่แท้จริงคอยเฝ้าดูโลกใบนี้อยู่?”
“มันก็ขึ้นอยู่กับคำนิยามของเจ้าว่าเทพที่แท้จริงคืออะไร บางคนนั้นถือว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าเป็นเทพเจ้าคนหนึ่ง” หานเซิ่นพูด
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ากำลังพูดถึงเทพเจ้าที่ทำให้คำอธิษฐานของผู้คนเป็นจริง” ไผ่เดียวดายพูด
หานเซิ่นแปลกใจ จากที่เขารู้มา เทพเจ้าแบบนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรื่องที่เลวร้าย ทั้งเรื่องเทพเจ้าที่ถูกพบโดยทีมเจ็ดไปจนถึงเทพนภาบนดาวอุปราคา พวกเขาต่างก็เลวร้ายในสายตาของหานเซิ่น
‘นี่ไผ่เดียวดายต้องการทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ?’
หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอยู่สักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “บางทีอาจจะมี แต่ข้าไม่ชอบเทพเจ้าแบบนั้น”
“ทำไมกัน?” ไผ่เดียวดายถาม
“ข้าเคยมีสหายหลายคนที่ทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบที่เจ้าพูดถึง แต่เรื่องราวของพวกเขาต่างก็จบไม่สวย”
หานเซิ่นตอบอย่างง่ายๆ เขาไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้น
ไผ่เดียวดายมองหานเซิ่นอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปทางเหล่าก้อนเมฆและพูดต่อ
“น้องสาวของข้าเคยอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบนั้น”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“อะไรนะ? น้องสาวของเจ้าทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ? เทพเจ้านั่นเป็นใครกัน? และมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนเมฆและตอบอย่างสงบนิ่ง
“ในตอนที่ยังเด็กมีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับข้า เพื่อนหักหลังข้า และข้าก็ถูกทอดทิ้งโดยคนรัก ข้ากลายเป็นคนที่ไร้ค่า น้องสาวของข้าได้อธิษฐานขอให้ข้ายืนหยัดกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่านางอธิษฐานต่อเทพเจ้าไหน แต่ข้าเห็นเขามาเอาตัวน้องสายของข้าไป หลังจากนั้นข้าก็ถูกลงโทษด้วยฝันร้าย”
“เจ้าเห็นเขาอย่างนั้นหรอ? เขามีหน้าตาเป็นยังไง?” หานเซิ่นถามขึ้นมาในทันที
“ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา เขาจับมือน้องสาวของข้าและดึงตัวนางเข้าไปในความมืด ข้าพยายามจะตามไป แต่ก็ล้มเหลว ในตอนที่น้องสาวของข้าถูกดึงเข้าไปในความมืด นางดูหวาดกลัวและพยายามที่จะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา แต่ข้าไม่ได้ยินเสียงของนางได้ ข้านั้นไร้ความสามารถ ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือมองดูสิ่งเกิดขึ้น”
ไผ่เดียวดายหยุดชั่วขณะ และเมื่อเขาพูดอีกครั้ง เสียงของเขาก็ยังคงดูสงบนิ่งเช่นเคย
“ชายคนนั้นยิ้มให้กับข้า แต่ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา รอยยิ้มนั้นฝังลึกในจิตใจของข้า ข้าเห็นมันซ้ำๆในฝันร้าย และนั่นเป็นเป็นความทรงจำเดียวของเขาที่ข้ามี แต่ถ้าวันหนึ่งข้าได้พบกับเขา ข้าจะจดจำเขาได้จากรอยยิ้มที่เขาทิ้งเอาไว้”
หานเซิ่นรู้สึกเจ็บปวดขณะที่ได้ยินเรื่องราวของไผ่เดียวดาย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชายคนนี้ถึงสามารถทนต่อฝันร้ายนับไม่ถ้วนได้ บางทีหัวใจของเขาอาจจะเสียหายอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถถูกทำลายไปมากกว่านี้ได้อีก
ไผ่เดียวดายพูดต่อ “ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้าจริงๆหรือไม่ ข้าก็ต้องตามหาน้องสาวของข้า ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ฆ่าเทพเจ้าคนนี้ให้ได้”
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะฆ่าเทพเจ้าคนนั้นร่วมกับเจ้า” หานเซิ่นตอบ เขาพบว่าตัวเองมีเป้าหมายที่เหมือนกันกับไผ่เดียวดาย
หานเซิ่นเองก็ต้องการจะตามหาเทพเจ้าคนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเทพเจ้าคนเดียวกับที่ไผ่เดียวดายกำลังตามหาอยู่หรือเปล่า
ไผ่เดียวดายไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่มองออกไปยังทะเลเมฆที่ดูเงียบสงบ แต่ทันใดนั้นก็มีแสงส่องสว่างมาที่ก้อนเมฆ หลังจากนั้นก็มีเมฆสีแดงมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันรวดเร็วราวกับเจ็ทและทิ้งควันสีแดงเอาไว้ตามเส้นทาง
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงบอกเขาว่าจะรู้เองเมื่อได้เห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวนั้นมีสีแดงที่สว่างไสวเป็นเอกลักษณ์ รูปร่างของมันเป็นเหมือนกับก้อนเมฆปกติ แต่สีของมันทำให้มันดูต่างออกไป
ไม่นานคลาวด์บีสต์ก็มาถึงยอด เมื่อคลาวด์บีสต์ตัวอื่นมองเห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวอื่นๆก็ถอยออกไป
คลาวด์บีสต์ตัวนั้นเดินไปรอบๆยอดเขาและทิ้งควันสีแดงเอาไว้เบื้องหลัง มันเห็นไผ่เดียวดายและหานเซิ่น แต่มันไม่ได้พยายามจะหลีกเลี่ยงพวกเขาแม้แต่น้อย
“ใครที่จับมันได้ก็เป็นเจ้าของมัน” ไผ่เดียวดายกำดาบหยกในมือและยืนขึ้น เขาเทเลพอร์ตไปตรงหน้าคลาวด์บีสต์และใช้ดาบหยกฟันใส่มัน
ไม่ว่าหานเซิ่นจะได้เห็นมันสักกี่ครั้ง การฟันของไผ่เดียวดายก็ยังคงน่าทึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ถึงมันจะดูเรียบง่าย แต่มันก็ลึกซึ้ง แถมมันยังรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย
แม้แต่หานเซิ่นเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฟันออกไปได้รวดเร็วแบบนั้นหรือเปล่า
แต่คลาวด์บีสต์ตัวนั้นปลดปล่อยลำแสงสีแดงออกมาราวกับจรวด และควันสีแดงก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังราวกับเป็นควันจากท่อไอเสีย ทันใดนั้นมันก็หายตัวไปจากสายตาของหานเซิ่น และการโจมตีของไผ่เดียวดายก็พลาดเป้า
“เร็วอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นตกตะลึง คลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นไม่ได้เทเลพอร์ต แต่มันเคลื่อนไหวได้เร็วพอที่จะดูเหมือนกับว่ามันเทเลพอร์ตได้เลย