บทที่ 282 หม่ามี๊ไม่หลอกลวง
ที่พงหญ้ารอบๆ นั้นมีความสูงกว่าตัวคนเสียอีก ซึ่งร่างกายของเธอสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้พอดี
เธอค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ต้นไม้ต้นนั้นอย่างช้าๆ
ยิ่งเข้าไปก็ยิ่งใกล้มากขึ้นทุกที
หลังจากผ่านช่องแคบพงหญ้านั้นมาได้ เธอก็มองเห็นคนๆ หนึ่งที่กำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อต้นนั้น
เป็นร่างกายที่สูงโปร่งกำยำ จนให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยพุ่งเข้ามา
เธอกัดปากเอาไว้ภายใต้จิตใต้สำนึก พร้อมกับจ้องเขม็งไปยังร่างกายนั้น ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
เป็นจิ้นเฟิงเฉินจริงๆ
พลันจิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกได้เหมือนกับว่ามีสายตากำลังมองตัวเองอยู่ จึงหันหน้าไปมองทางพงหญ้าที่สูงเทียมคน ด้วยแววตาที่ดุร้าย
เจียงสื้อสื้อก็รีบทรุดกายนั่งลงทันที
พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติไป จิ้นเฟิงเฉินก็ถอนสายตากลับมา
ฟู่!
เจียงสื้อสื้อถอนหายใจยาว
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงทุ้มราวกับเป็ดดังขึ้น “ประธานแห่งบริษัทจิ้นกรุ๊ปช่างน่าประทับใจ มาตามนัดคนเดียวจริงๆ ด้วยสินะ”
พลันเจียงสื้อสื้อได้ยินก็ตื่นตะลึง ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมอง
สิ่งที่เธอเห็นก็คือผู้ชายสี่คน ที่แต่งตัวอย่างลวกๆ กำลังเดินไปทางจิ้นเฟิงเฉิน
คนๆ นั้นน่าจะเป็นโจรเรียกค่าไถ่แน่ๆ
แล้วเสี่ยวเป่ามาด้วยหรือเปล่านะ?
เธอจึงมองไปยังด้านหลังของผู้ชายทั้งสี่คนนั้น ก็ยังไม่เห็นตัวเสี่ยวเป่าอยู่ดี
มีเพียงผู้ชายมาแค่สี่คนเท่านั้น โดยไม่ได้พาเสี่ยวเป่ามาด้วย
“แล้วเด็กล่ะ?”
พอเห็นว่าพวกโจรมาถึงแล้ว คำถามแรกที่จิ้นเฟิงเฉินถามออกไปก็คือเด็ก
ชายที่เดินนำหน้ามาก็ยิ้มจนตาปริก่อนจะถามขึ้น : “แล้วเงินล่ะ?”
พลันในแววตาของจิ้นเฟิงเฉิน ก็เหมือนส่องประกายอะไรบางอย่างออกมาอย่างรวดเร็ว จนคนไม่สามารถจับสังเกตได้เลย
จากนั้นเขาก็หยิบบัตรใบหนึ่ง ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “บัตรใบนี้มีเงินอยู่ทั้งหมดสองร้อยล้าน”
พอได้ยินจำนวนถึงสองร้อยล้าน ดวงตาของโจรเรียกค่าไถ่ทั้งสี่คนก็สว่างจ้าขึ้นทันที
รวยแล้ว!
พวกเขาจะรวยจริงๆ แล้ว!
ขอเพียงได้เงินสองร้อยล้านนี้มา พวกเขาก็สามารถจะทำในสิ่งที่อยากทำได้ทั้งหมด
“โยนมันมา” ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าสุดตะโกนขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินบีบบัตรในมือไว้ พร้อมกับพูดส่งสายตาเย็นชาไปมองพวกเขา : “ฉันอยากเห็นตัวเด็กก่อน”
“เด็กแข็งแรงดี อยู่สงบสุขดี ขอเพียงแกส่งเงินนั้นให้ฉัน ฉันจะพาเด็กออกมาส่งให้แกเอง”
“ไม่! ฉันอยากเห็นเด็กก่อน”
พลันโจรเรียกค่าไถ่คนนั้นก็โมโหขึ้น “ทำไมหัวแข็งแบบนี้ล่ะ? ฉันบอกไว้แล้วไงว่าให้ส่งเงินมาก่อน แล้วค่อยคืนเด็กให้กับแก”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ตอนพูดในโทรศัพท์ พวกนายบอกว่าเงินมาเด็กไป แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เห็นเลยว่าเด็กไม่เป็นอะไรจริงๆ แบบนี้ฉันคงจะให้เงินพวกนายไม่ได้หรอกนะ”
“นี่แก!” ชายที่อยู่หน้าสุดโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“พี่ใหญ่ครับ ถ้างั้นให้ผมไปพาเด็กออกมาไหมครับ?” หนึ่งในโจรพวกนั้นเสนอแนะขึ้น
“นี่แกโง่หรือเปล่า!” โจรที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่นั้น เอาฝ่ามือตบลงไปบนหัวของคนที่พูด ก่อนจะด่าขึ้นว่า : “ถ้าหากแกเอาเด็กส่งให้มัน แล้วเกิดมันแจ้งตำรวจขึ้นมา พวกเราทั้งหมดก็คง…”
พลันพี่ใหญ่คนนั้นก็ทำท่าทางเอามือวาดผ่านที่คอของตัวเอง ส่วนคนที่เหลือก็รีบยกมือขึ้นกุมคอของตัวเอง โดยที่ไม่พูดถึงเรื่องพาเด็กมาอีก
พาเด็กมายังงั้นหรือ?
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเด็กก็ต้องอยู่ใกล้ๆ นี้น่ะสิ
เธอมองไปทางจิ้นเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้วยกันกับพวกโจรเรียกค่าไถ่นั้น หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางโจรพวกนั้นอย่างแผ่วเบา
ถ้าหากเสี่ยวเป่าอยู่ใกล้ๆ นี้ล่ะก็ เธอก็อาจจะคิดหาทางช่วยเขาออกมาได้
ไม่รู้ว่าเธอโชคดีหรือว่าอะไรกันแน่ แต่เธอก็เห็นเสี่ยวเป่าอยู่จริงๆ
ซึ่งเขาอยู่ห่างจากต้นไม้ต้นนั้นเพียงประมาณร้อยเมตรเท่านั้น
เสี่ยวเป่าถูกมัดไว้กับหินก้อนหนึ่ง และยังมีของบางอย่างอุดไว้ที่ปากของเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเงียบแปลกๆ ซึ่งดูไม่เหมือนกับเด็กอายุห้าขวบเลยแม้แต่น้อย
สมกับเป็นลูกของจิ้นเฟิงเฉินจริงๆ
ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่กลับไม่ร้องไม่ตะโกนอะไรออกมาเลย เป็นเด็กที่เก่งมากจริงๆ
“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่า…” เธอตะโกนเรียกเสียงเบา
พอได้ยินว่ามีคนกำลังตะโกนเรียกตัวเองอยู่ เสี่ยวเป่าก็หันมองไปรอบๆ สุดท้ายก็เห็นเจียงสื้อสื้อ อยู่ในพงหญ้าตรงนั้น
เสี่ยวเป่าได้เห็นก็ดีใจขึ้นมาทันที “อู้อี้…อู้อี้…”
แต่ปากของเขาถูกอุดไว้อยู่ ทำให้ส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้เลย
หม่ามี๊ หม่ามี๊จริงๆ ด้วย!
เสี่ยวเป่าจ้องเขม็งไปทางเจียงสื้อสื้อ ถึงแววตาจะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะกระพริบตาเลย เพราะกลัวว่าเธอจะหายไป
พอเห็นว่าเสี่ยวเป่าร้องไห้ ในใจของเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกทุกข์อย่างมาก
เธอสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีคนอื่นอยู่อีก ดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปหาเขา ก่อนจะคลายเชือกที่มัดเสี่ยวเป่าไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหยิบผ้าที่อุดปากของเขาอยู่ทิ้งไป
“หม่ามี๊” เสี่ยวเป่าร้องไห้พลางโผเข้าหาอ้อมกอดของเธอ
“เสี่ยวเป่า” เจียงสื้อสื้อเองก็กอดเขาไว้แน่น พร้อมด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
สองเดือนเต็มๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา ให้ความรู้สึกราวกับสูญเสียอะไรไปบางอย่างอย่างประหลาด
เจียงสื้อสื้อคลายเสี่ยวเป่าออก พร้อมกับก้มหน้ามองเขา พอเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของเสี่ยวเป่า อีกทั้งเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง เธอจึงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างสะอึกสะอื้น : “ลูกต้องทนทุกข์มากเลยสินะเสี่ยวเป่า”
เสี่ยวเป่าเม้มปากส่ายหัว พร้อมทั้งน้ำตาที่ล้นเอ่อออกมาไม่หยุด
เจียงสื้อสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเขาและพูดขึ้น : “เสี่ยวเป่า พวกเรารีบไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นถ้าถูกพบเข้าจะแย่เอา”
พูดปุ้ป เธอก็อุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นทันที พร้อมทั้งหมุนตัวกำลังจะเดินจากไป
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น : “เธอเป็นใครน่ะ? รีบวางเด็กลงเดี๋ยวนี้!”
เขาคือพวกโจรลักพาตัวนั่นเอง
เจียงสื้อสื้อเห็นแบบนั้น ก็รีบอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมกอด แล้วออกวิ่งทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
พออีกฝ่ายเห็นว่าเธอออกวิ่ง เขาก็รีบวิ่งตามมาทันที “หยุดนะ! ฉันบอกให้เธอหยุดเดี๋ยวนี้”
เจียงสื้อสื้อวิ่งเข้าไปในพงหญ้านั้น พร้อมด้วยใบหน้าของเสี่ยวเป่าที่ซุกอยู่ในเสื้อผ้าของเธอ พร้อมทั้งรู้สึกไม่สงบใจลงเลย
เสียงลมก็พัดผ่านข้างหูไป เจียงสื้อสื้อรู้สึกเหมือนกับว่ารอบข้างเงียบลง ซึ่งได้ยินเพียงเสียงดัง “ตึกตัก” ในหัวใจของตัวเองอย่างรวดเร็วเท่านั้น
“ถ้าเธอยังวิ่งอีกฉันจะยิงแน่!” เสียงเตือนจากอีกฝ่ายดังขึ้น แต่เธอก็ยังไม่คิดจะหยุดฝีเท้าลง
“ปัง!” พลันเสียงปืนก็ดังขึ้นในอากาศหนึ่งนัด
จิ้นเฟิงเฉินที่กำลังจะยื่นบัตรให้กับพวกโจรนั้นไป ก็สะดุ้งตกใจขึ้น ก่อนจะชักมือกลับมา พร้อมทั้งหรี่ตาถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
พอพวกโจรเหล่านั้นได้ยินเสียงปืน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พอเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินเก็บบัตรกลับไป อีกทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อีก ทำให้พวกเขาต่างก็หันหลังวิ่งทันที
ในขณะนั้นเอง ตำรวจที่ซ่อนตัวอยู่นานก็พุ่งออกมา รวบพวกโจรเหล่านั้นไว้อย่างรวดเร็ว
“ยกมือขึ้น! คุกเข่าลงไป!”
เพราะตำรวจมีเยอะกว่า ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะต่อต้าน จึงทำได้เพียงทำตามอย่างว่าง่าย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จิ้นเฟิงเฉินกับตำรวจสองสามนาย ก็รีบวิ่งไปทางทิศที่มีเสียงปืนดังขึ้น
ปวดเหลือเกิน!
ถึงเจียงสื้อสื้อจะถูกกระสุนปืนเข้า แต่เธอก็ยังคงวิ่งไปด้านหน้าไม่หยุด
พอความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะหายใจรวยระริน
เสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดเธอ เห็นว่าสีหน้าเริ่มจะดูไม่ปกติ จึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ : “หม่ามี๊เป็นอะไรไป?”
“หม่ามี๊ไม่เป็นอะไรหรอก” เจียงสื้อสื้อยิ้มให้กับเขา พร้อมทั้งอดทนฝืนความเจ็บปวดนั้นเอาไว้
ยิ่งวิ่งเท่าไหร่เท้าของเธอก็ยิ่งอ่อนแรง เธอรู้ดีว่าตอนนี้พลังกายของเธอมาถึงขีดจำกัดแล้ว ใกล้จะทนไม่ไหวเต็มทน
เธออุ้มเสี่ยวเป่าแน่น ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว : “เสี่ยวเป่า อีกเดี๋ยวหม่ามี๊จะวางลูกลงนะ แล้วลูกรีบวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ลูกต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว เข้าใจไหม?”
“แล้วหม่ามี๊ล่ะครับ?”
เจียงสื้อสื้อเองก็ยิ้มพูด พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะสะอื้น : “เอาไว้เจอกันอีกทีที่บ้านนะ ตกลงไหม?”
“ตกลงครับ” เสี่ยวเป่าพยักหน้า “แต่หม่ามี๊อย่าหลอกผมนะครับ”
“หม่ามี๊ไม่หลอกลูกอยู่แล้ว”
“ปัง!”
พลันมีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดหนึ่ง
พลันเจียงสื้อสื้อก็ล้มลงไปด้านหน้า พร้อมกับแววตาที่เบิกโพลง แต่มือที่กุมมือของเสี่ยวเป่าไว้ ยังคงกุมแน่นอยู่แบบนั้น