บทที่ 626 ต้องไปด้วยตัวเอง
จิ้นเฟิงเฉินแสร้งทำเป็นโกรธและพูด “ตอนกินอาหารเช้า บอกให้หนูกินแพนเค้กไข่นั่นให้หมดใช่ไหม?”
แต่พูดก็ส่วนพูด เขาก็ยังคงซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะดวกและสะอาด
ให้เธอสามารถถือไว้ในมือแล้วกิน
ที่สวนสนุกมีการแสดงละครเวที เขาเลือกที่นั่งที่ค่อนข้างสูงและมองเห็นได้ชัดแล้วนั่งลง
ได้ยินเถียนเถียนร้องอย่างประหลาดใจ และกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า”แด๊ดดี๊ ดูสิ มีเสือตัวใหญ่!”
จิ้นเฟิงเฉินส่งเสียงอืมตอบรับ รีบตบฝุ่นบนตัวลูกสาวออก
เสือพยัคฆ์แมมมอธหลากสีเดินออกมาพร้อมส่ายหัว มันกระโดดขึ้นบนคาน
เถียนเถียนดูอย่างตั้งใจมาก จนไม่กินของที่ถือในมือ
จิ้นเฟิงเฉินป้อนเธอ เธอถึงจะเคี้ยว จากนั้นก็ถอนหายใจและพูดว่า “เสือสวยงามมากเลยค่ะ แด๊ดดี๊ ต่อไปพี่ชายจะโตได้ขนาดนี้ไหมคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะออกมาแล้วลูบหัวเธอ “ได้สิ พี่ชายจะดูน่าเกรงขามมากกว่าเจ้าเสือเสียอีก”
เมื่อเถียนเถียนนึกถึงในอนาคตว่าพี่ชายจะดูน่าเกรงขามเช่นนี้ เธอก็ตื่นเต้นมาก
ทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่เสียวเป่ากลับต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนอย่างเชื่อฟัง
ความจริงแล้วเขาพักต่อได้อีกสักระยะหนึ่ง แต่เขาจำคำพูดที่จิ้นเฟิงเฉินพูดก่อนหน้านี้ได้เสมอ
นั่นก็คือลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง
ตกเย็น เถียนเถียนเล่าสิ่งที่เห็นและได้ยินมาทั้งวันนี้ให้เสี่ยวเป่าฟังอย่างมีความสุข
แม้ว่าเสี่ยวเป่าจะอิจฉาเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าเถียนเถียนเที่ยวเผื่อเขาด้วยก็พอแล้ว
วันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่าสะพายกระเป๋านักเรียนแล้วไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า
เถียนเถียนตื่นช้าไปหน่อย เธอกระโดดไปมาอยู่บนเตียงอยู่พักหนึ่ง ต้องให้จิ้นเฟิงเฉินอุ้มขึ้นถึงจะลุกจากเตียง
ตอนที่จิ้นเฟิงเฉินอุ้มเธอขึ้นมา ก็เห็นเธอคลุมผ้าห่มขึ้นมา
เธอท่องว่าอูลาอูลาในปาก แล้วเลียนแบบรูปร่างของนกตัวใหญ่ที่กางปีกแล้วหันหน้าไปยิ้มให้จิ้นเฟิงเฉิน
“แด๊ดดี๊ ดูสิหนูเหมือนตำรวจหญิงน้อยเบิกฟ้าไหม?”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าพลางอุ้มเธอลงมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เถียนเถียนดื่มน้ำส้มไปหนึ่งแก้ว จิ้นเฟิงเฉินก็วางเธอไว้ตรงกลางของโซฟา
ในทีวีเปิดการ์ตูนที่น่ารักๆอยู่ และเถียนเถียนก็ทำเสียงว้าวเป็นบางครั้งบางคราว เธออมลูกอมนมวัวไว้ในปาก ภาพนั้นดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก
ในช่วงหนึ่งของเที่ยงวัน เจียงสื้อสื้อโทรมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นห่วงของลูกสาวของเธอมาก
จิ้นเฟิงเฉินจึงแชร์โทรวิดีโอไปบนหน้าจอทีวีขนาดใหญ่เสียเลย ให้เถียนเถียนได้เห็นแม่อย่างชัดเจนและให้เจียงสื้อสื้อได้เห็นลูกสาวอย่างชัดเจนด้วย
เถียนเถียนมองไปที่หน้าจอทีวีและหัวเราะคิกคัก เธอพูดกับเจียงสื้อสื้อและขอให้เธอร้องเพลง《Twinkle Twinkle Little Star》
เมื่อร้องเพลงถึงครึ่งหนึ่ง เธอก็วิ่งไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบผลไม้ปั่นมาให้แม่กิน
จิ้นเฟิงเฉินอดหัวเราะไม่ได้ เขาหยิบชามจากมือเถียนเถียนมา แล้วอธิบายอย่างมีความอดทนว่า “เถียนเถียน หม่ามี๊อยู่ในจอทีวี เธอกินไม่ได้ หนูกินเองก็พอ แล้วอย่าทำเลอะใส่ตัวนะ”
เถียนเถียนพยักหน้า เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินมี เจียงสื้อสื้อเองก็โล่งใจ
หลังจากที่คุยกับเถียนเถียนอยู่หลายนาที ทั้งสองจึงได้วางสายลงอย่างอาลัยอาวรณ์
จิ้นเฟิงเฉินอารมณ์ดีมาก เขานั่งบนโซฟาแล้วดูหนังกับลูกสาวไปสองเรื่อง
ในช่วงบ่ายเถียนเถียนเล่นเลโก้อย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งและพบว่ามันขาดรูปสามเหลี่ยมไปหลายชิ้น
อาจจะเป็นเพราะตอนเล่นเธอเผลอโยนมันออกนอกหน้าต่างไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย แล้วนั่งนิ่งอยู่บนพรมนุ่มๆ ไม่ขยับ
จิ้นเฟิงเฉินเห็นว่าเวลาใกล้ถึงแล้ว จึงอุ้มเถียนเถียนขึ้นมาแล้วพูดว่า “พี่ชายกำลังจะเลิกเรียนแล้ว พวกเราไปรับเขาดีไหม?”
พอได้ยินคำว่าพี่ชาย เถียนเถียนก็ลืมเรื่องที่ทำให้กุ้มใจไปเลย จากนั้นก็ตบเบาๆไปที่มือแด๊ดดี๊ ความหมายของเธอคือให้จิ้นเฟิงเฉินรีบไป
จิ้นเฟิงเฉินพาลูกสาวขึ้นรถไปอย่างระมัดระวัง ตอนที่ไปถึง เสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังขึ้นพอดี
ทั้งสองรออยู่พักหนึ่ง เสี่ยวเป่าก็ยังไม่ออกมา
เถียนเถียนเริ่มร้อนรนแล้ว เธอไปเขย่ามือของจิ้นเฟิงเฉิน “แด๊ดดี๊ ทำไมพี่ชายยังไม่ออกมาอีกล่ะคะ”
จิ้นเฟิงเฉินอุ้มเธอขึ้นมา วางบนบ่าแล้วยิ้มและพูดว่า “บางทีพี่ชายอาจจะมีเรื่องบางอย่าง พอดีเลยแด๊ดดี๊พาหนูไปดูด้านใน”
เดินไปถึงหน้าประตูห้องเรียน เขาก็เห็นเสี่ยวเป่าถือไม้กวาดเล็ก ๆ ไว้ หลังจากที่เห็นทั้งสอง เขาก็ยิ้มเบาๆ จากนั้นก็ไปทำงาน
ตอนนี้เท้าของเขายังไม่หายดี เวลาทำงานจึงจะช้าเล็กน้อย
เพื่อไม่เป็นการรบกวนเสี่ยวเป่าทำเวรห้อง จิ้นเฟิงเฉินและเถียนเถียนจึงรออยู่ข้างนอก
แม้ว่าเขาจะรักลูก ๆ ของเขา แต่เขาก็ไม่เคยตามใจพวกเธอมากเกินไปจนนิสัยเสีย
ไม่นานเสี่ยวเป่าทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เขาสะพานกระเป๋านักเรียนและเดินออกมา
เขาเดินเข้าไปหาจิ้นเฟิงเฉินและโม้ว่า “แด๊ดดี๊ วันนี้มีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งป่วยและขอลา ผมช่วยเขาจดโน้ต แล้วยังช่วยเขาทำเวรห้องอีกด้วย แด๊ดดี๊ว่าผมยอดเยี่ยมไหมครับ?”
จิ้นเฟิงเฉินก้มตัวลง หอมแก้มเขาแล้วพูดว่า “ลูกชายของพ่อ ย่อมเก่งที่สุดอย่างแน่นอน”
ทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน และมีอาหารทะเลมื้อใหญ่รอพวกเขาอยู่
เถียนเถียนชอบล็อบสเตอร์เป็นพิเศษ เธอกินจนหน้าเลอะเทอะเหมือนลูกแมวน้อย ลืมไปเลยว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังร้องเรียกหาหม่ามี๊อย่างขมขื่นใจอยู่เลย
ฝั่งเจียงสื้อสื้อก็มีข่าวดีอยู่เล็กน้อย ในที่สุดแม่ฝู้ก็พ้นจากขีดอันตรายแล้ว และย้ายออกจากห้องผู้ป่วยหนักแล้ว
หลายวันมานี้ฝู้จิงเหวินเหนื่อยมามาก เขานั่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยและมองดูแม่อยู่ตลอดเวลา
นอกจากเจียงสื้อสื้อที่มาเปลี่ยนเวรแทนเขาแล้ว คนอื่นๆ นอกจากนี้ก็ไม่สนใจอะไรมาก
ตอนนี้แม่ฝู้หลุดพ้นจากขีดอันตรายไปแล้ว พวกเขาก็โล่งอกไปที รู้สึกว่าทั้งตัวนั้นสั่นเล็กน้อย
เขาไปที่ห้องน้ำล้างหน้าและตบแก้มของตัวเองอย่างแรง จึงจะตื่นขึ้นมา
เจียงสื้อสื้อเฝ้าอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย เมื่อเห็นเขากลับมาเธอก็เหลือบมองไปที่มือถือแล้วพูดว่า “วันนี้คุณไปพักผ่อนเถอะ ฉันเฝ้าอยู่ก็พอแล้ว แม่ดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็น่าจะฟื้นขึ้นมา”
ฝู้จิงเหวินมองเห็นใต้ตาของเธอก็เป็นสีเขียวดําเช่นกัน ความอ่อนโยนในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
สุดท้ายเขาถอนหายใจแล้วโบกมือกล่าวว่า “ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อคุณแม่ได้พ้นจากขีดอันตรายแล้ว คุณไปพักผ่อนกับผมเถอะ เราจ้างพยาบาลมาดูแลดีๆ ก็พอแล้ว เงินแค่นั้นไม่เดือดร้อนที่บ้านเราหรอก”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง และนวดที่ขมับของเขา
“วันนี้กินอะไรดี? หลายวันก่อนหน้านี้เราหาอะไรกินไปอย่างเร่งรีบ ผมว่าคุณเองก็ผมลงเยอะมาก”
เจียงสื้อสื้อได้ยินเช่นนี้ ดังนั้นก็พูดอย่างไม่แยแสว่า “ผอมลงก็ไม่เป็นไร แต่เถียนเถียนอยู่ที่บ้านคนอื่นตลอดก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในที่สุดวันนี้ก็ว่างแล้ว ฉันคิดว่าจะไปรับเธอกลับมาก่อนดีกว่า”
พอได้ยินเธอพูดจบ ฝู้จิงเหวินก็ตบที่หัวตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
หลายวันที่ผ่านมานี้เขายุ่งจนสมองเบลอไปแล้ว สนใจแต่แม่ของตน
เขานึกถึงเถียนเถียนเพียงแค่แวบเดียว เดาว่าเจียงสื้อสื้อคงจ้างพี่เลี้ยงมาดูแล ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
ฟังน้ำเสียงของเธอแล้ว เถียนเถียนน่าจะอยู่ที่บ้านจิ้นเฟิงเฉินมาตลอด
แบบนี้จะปล่อยได้อย่างไร เช่นนั้นเขาต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมจุดขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน
ฝู้จิงเหวินรู้สึกขมขื่นในใจ สีหน้าของเขาก็ย่อมต้องแสดงออกมาเล็กน้อย
เจียงสื้อสื้อเองก็ดูออก ทันใดนั้นบรรยากาศก็ค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย
สุดท้ายเธอไอออกและปฏิเสธว่า “วันนี้ฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”