บทที่ 642 ป้าไม่ใช่หม่ามี๊ของหนู
ไม่มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ตามเธอมา
เจียงสื้อสื้อเดินโซเซไปหยุดอยู่ที่มุม เธอกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้นอย่างช้าๆ ราวกับว่าแรงกำลังหมดไป
เธอขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพง โอบมือขวาที่กำลังชาของตัวเอง ก่อนที่น้ำตาหยดโตจะร่วงหล่นลงมา
ให้เป็นแบบนี้แหละ… …
แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน
จิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่ในรถ มือขวาคีบบุหรี่
ขี้บุหรี่หล่นลงมากองโต แต่เขากลับนั่งนิ่งราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นมัน
ดวงตาที่ล้ำลึกมองต่ำ เก็บกดความเจ็บปวดเอาไว้ลึกสุด
ความรู้สึกไร้พลังอย่างรุนแรงคว้าตัวเขาไว้
เขาจะทำอย่างไรให้เจียงสื้อสื้อกลับมาหา?
ใบหน้าเย็นชาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าปรากฏร่องรอยความหงุดหงิดอยู่ลึกๆ
สื้อสื้อ เธอผ่านอะไรมา เธอกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
จำเขาไม่ได้ ขับไสไล่ส่งเขา ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยขอบและมุม ราวกับตัวเม่น
ไม่กี่วันที่ผ่านมายังดีอยู่แท้ๆ เห็นได้ชัดว่าจู่ๆคุณเปลี่ยนไปมากขนาดไหน?
บรรยากาศในรถกดดัน จิ้นเฟิงเฉินเอามือก่ายหน้าผาก เขาพยายามหาเบาะแส
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอไปประสบกับอะไรมาในช่วงไม่กี่วันมานี้ แต่จิ้นเฟิงเฉินก็รู้ว่าเธอไม่มีความสุข
จากแววตาของเธอสามารถบอกได้ว่าเธอกำลังกลั้นอารมณ์ภายในใจของตัวเอง และร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านหลายต่อหลายครั้ง
แม้ว่าเธอจะพยายามที่จะแสร้งทำว่าเป็นว่าไม่เป็นอะไร แต่จิ้นเฟิงเฉินรู้จักเธอดี
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยกันเขาจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้อย่างลึกซึ้ง
ในช่วงไม่กี่ปีนี้ที่ยิ่งคิดกลับไปมา
เจียงสื้อสื้อและฝู้จินเหวินไม่ควรมีความรู้สึกต่อกัน บางทีอาจจะไม่ได้แต่งงานกับเขา
คำพูดเหล่านั้น เพื่อที่จะผลักเขาให้ไกลออกไป
ราวกับว่า … อย่างสุดความสามารถ
เธอไม่ได้สมัครใจ จิ้นเฟิงเฉินแน่ใจ
ถ้าหากสื้อสื้อพูดออกมา เขาจะพาเธอไปโดยไม่ลังเล และจะรักเธอไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันใช้ไม่ได้แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนแปลกหน้าสำหรับเธอ
แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เขากับเธอ ก็แค่เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
จิ้นเฟิงเฉินเม้มปากอย่างเย้ยหยัน ดวงตามืดสนิท
…
ในห้องเก็บเหล้าใต้ดิน จิ้นเฟิงเฉินเมามาก รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยขวดเหล้าเปล่า
เมื่อก่อนดื่มเพื่อเข้าสังคมเขาแทบจะไม่แตะ หลังจากที่เจียงสื้อสื้อจากไปเขาเกือบจะกลายเป็นคนขี้เหล้า
เหล้าเป็นสิ่งที่ดี มันสามารถทำให้หัวใจของคนชาไปชั่วขณะ
ปล่อยให้เขามีโอกาสได้หายใจชั่วคราว เพื่อที่เขาจะได้ไม่ตายเพราะคิดมากเกินไป
แต่ดูเหมือนว่าแอลกอฮอล์จะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
คล้ายกับว่าจิ้นเฟิงเฉินจะเห็นเจียงสื้อสื้อเดินมาทางเขา ใบหน้างดงามคล้ายกับว่าไม่พอใจ
“นี่คุณดื่มอีกแล้ว”
“ต้องให้เมาใช่ไหม คุณถึงจะยอมคุยกับผม”
จิ้นเฟิงเฉินมองไปยังใบหน้าของเจียงสื้อสื้ออย่างลุ่มหลง ไม่อาจจะถอนสายตา
เจียงสื้อสื้อคล้ายกับจะเขินอายเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างโหดร้าย “ยังไงเสียคุณก็ห้ามดื่มเหล้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่สนใจคุณอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่เอา!” จิ้นเฟิงเฉินยืนขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับเจียงสื้อสื้ออย่างรีบร้อนราวกับว่ากลัวจะเสียเธอไป
มือที่ยื่นออกไปคว้าได้แค่ความว่างเปล่า ใบหน้าของสื้อสื้อเหมือนน้ำที่กระจายหายไป
จิ้นเฟิงเฉินขยี้ตา ยืนอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึง
ร่างกายสั่นไหว ร่างสูงใหญ่กระแทกขวดเหล้าลงกับพื้น เศษแก้วกระเด็นไปทั่ว
พอตื่นขึ้นมาอีกที เขาก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว โดยมีหัวเล็กๆ สีดำฟุบอยู่ข้างเตียง
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินขยับ เสี่ยวเป่าก็เงยหน้าขึ้น
“แด๊ดดี้ ในที่สุดก็ตื่นแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเวลา ปรากฏว่าเป็นเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว
เขาลุกขึ้นนั่ง พลางลูบหัวของเสี่ยวเป่า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เสี่ยวเป่า ลูกควรไปโรงเรียนแล้ว”
เสี่ยวเป่าไม่สบายใจกับแด๊ดดี้ของเขา ปากเล็กๆ พูดขึ้นว่า “แด๊ดดี้อย่าดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นอีกนะ คุณปู่คุณย่าเป็นห่วงมาก”
จิ้นเฟิงเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนพูดด้วยเสียงอบอุ่น “รู้แล้วน่า”
เสี่ยวเป่าโอบกระเป๋าหนังสือ เดินไปข้างหน้าเหลียวหลังมามองสามครั้ง
เมื่อถึงหน้าประตูห้อง ทันใดเขาก็หันกลับมา มองไปที่จิ้นเฟิงเฉินก่อนพูด “แด๊ดดี้ ผมได้ยินมาว่า หม่ามี๊จะไปแต่งงานกับคนอื่น แด๊ดดี้เลยเสียใจ ใช่ไหม?”
ฟังจบ หัวใจของจิ้นเฟิงเฉินราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เจ็บจนหายใจไม่ออก แต่เขาไม่ได้แสดงออกให้เห็นบนใบหน้า
เขาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ฟังใครพูดมา ไม่จริงหรอก หม่ามี๊เป็นหม่ามี๊ของลูก จะไปแต่งงานกับใครได้ เป็นไปไม่ได้หรอก”
เขาเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะบอกตัวเอง
เขาคิดว่าเขาซ่อนอารมณ์ของตัวเองได้ดีแล้ว ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าที่ฉลาดมองทุกอย่างออก
ในใจเขายิ่งเพิ่มความแน่ใจในเรื่องนี้ : หม่ามี๊จะแต่งงานจริงๆ หม่ามี๊จะไปเป็นหม่ามี๊ของคนอื่น
เสี่ยวเป่าไม่มีทางที่จะยอมรับได้
เขาไปโรงเรียนพร้อมกระเป๋าหนังสือใบน้อยบนหลัง ทั้งวันคิดถึงแต่เรื่องของเจียงสื้อสื้อ
หลังเลิกเรียน เขาให้คนขับรถขับไปโรงพยาบาล เขาได้ยินเรื่องนี้ตอนที่แด๊ดดี้คุยกับปู่ย่า จากนั้นเขาก็จำมันไว้ในใจ
หลังจากที่เสี่ยวเป่าพบโรงพยาบาล เขาก็ถามผู้คนตลอดทาง
เขาทั้งงดงามและน่ารัก ไม่มีใครไม่ชอบเขา
แต่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าคนป่วยเป็นใคร จึงไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้
“เด็กน้อย ไปถามผู้ใหญ่ที่บ้านแล้วค่อยกลับมาใหม่ไหมจ๊ะ” พี่สาวพยาบาลให้คำแนะนำด้วยความรัก
เสี่ยวเป่าส่ายหัว เขาต้องการหาหม่ามี๊
บางทีนี่อาจเป็นโชคดีของเขา เวลานี้เจียงสื้อสื้อเพิ่งกลับมาจากการซื้อของจากของนอก
เมื่อเห็นพยาบาลสองสามคนรายล้อมอยู่รอบๆ เด็กที่งดงาม เธอก็มองแล้วมองอีก
มองครั้งนี้ เธอจำเสี่ยวเป่าได้
เจียงสื้อสื้อกังวลว่าจะเป็นเสี่ยวเป่าเองที่ป่วยและไม่มีผู้ใหญ่มาเป็นเพื่อนด้วย
เธอกังวลมาก ก่อนจะเดินไปถาม “เสี่ยวเป่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ละจ้ะ?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เสี่ยวเป่าราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ เขาเงยหน้าทันที ดวงตาเป็นประกาย
“หม่ามี๊!”
เมื่อพยาบาลเห็นคนในครอบครัวแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกไป
เจียงสื้อสื้อมองเสี่ยวเป่าอย่างละเอียด ก่อนถามอย่างวิตกกังวล“มีตรงไหนไม่สบายหรือเสี่ยวเป่า?”
เสี่ยวเป่าอ้ำอึ้ง ถ้าเขาบอกว่าสบายดี หม่ามี๊จะเลี่ยนสีหน้าไหม?
ท้ายที่สุด เสี่ยวเป่าก็รู้อย่างชัดเจนแล้ว หม่ามี๊ที่กลับมาใหม่ในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อน
แต่เธอยังคงมีความห่วงใยตัวเขา ซึ่งทำให้ใจของเสี่ยวเป่ามีความสุขมาก
“หม่ามี๊ หนูสบายดี หนูมาหาหม่ามี๊”ดวงตาของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความรักและอาลัยอาวรณ์
เมื่อได้ยิน มือของเจียงสื้อสื้อที่อังอยู่บนหน้าผากของเสี่ยวเป่าค่อยๆถอนออก สีหน้าสับสนวุ่นวาย
“หนูมาหาฉันทำไม ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
มือเล็กๆ ยังคงดึงแขนเสื้อของเจียงสื้อสื้อ ก่อนพูดเสียงเบา “หม่ามี๊ อย่าไปเป็นหม่ามี๊ของใครได้หรือเปล่า?”
เจียงสื้อสื้อตะลึง
ใช่ จิ้นเฟิงเฉินให้เขามาที่นี่แน่ ทำไมเขาถึงใช้เด็กตัวแค่นี้มา?
เจียงสื้อสื้อรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอารมณ์ที่เข้มข้นแผ่ขยายเข้ามา นั้นก็คือไร้เรี่ยวแรงและเศร้าใจ
แต่ในเมื่อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจากชีวิตของพวกเขาสองพ่อลูก เธอก็ต้องตัดให้ขาด
เธอหลับตาลง ก่อนจะพูดอย่างไร้ความรู้สึกเมื่อลืมตาขึ้นมา “เสี่ยวเป่า ป้าไม่ใช่หม่ามี๊ของหนู ภายหลังหนูจะมีหม่ามี๊ของตัวเองจ้ะ”