บทที่693 เจ็บจนอยากตาย
จิ้นเฟิงเฉินมองดูโทรศัพท์ที่โดนตัดสายทิ้งแล้วโทรกลับไปก็โดนบล็อกไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน
ที่ฝู้จิงเหวินพูดออกมาว่างานแต่งต้องหยุดลงและยังมีสื้อสื้ออีก เรื่องพวกนี้หมายความว่ายังไง?
หรือว่าจะบอกว่าเกิดเรื่องกับสื้อสื้อ?
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่สามารถจะยืนดูอย่างนิ่งดูดาย
เขากดโทรออกไปหมายเลขหนึ่งทันทีละพูดขึ้น “กู้เนี่ยน จองตั๋วกลับฝรั่งเศสให้ฉันที ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ถึงแม้กู้เนี่ยนจะไม่เข้าใจในการกระทำนี้ของจิ้นเฟิงเฉิน แต่ก็ยังรับคำ “ครับ ท่านประธาน”
ในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัย ท่านประธานเพิ่งจะกลับมาไม่ใช่เหรอ?
แต่เจ้านายจะทำอะไรคนเป็นลูกน้องอย่างพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปหักล้างอยู่แล้ว
หลังจากวางสายโทรศัพท์ จิ้นเฟิงเฉินหยิบแจ็คเก็ตที่พนักพิงและออกเดินทางไปฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุด
เขารีบออกไปสนามบินและเห็นกู้เนี่ยนยืนรออยู่ไม่ไกล
เขาขึ้นไปนั่งบนรถ และกู้เนี่ยนตามขึ้นรถไป
บนรถ จิ้นเฟิงเฉินยังคงคิดถึงเรื่องที่ฝู้จิงเหวินพูดเกี่ยวกับเรื่องของสื้อสื้อ
ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกมากมาย แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าสื้อสื้อมีเรื่องแล้ว
“ตระกูลฝู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
กู้เนี่ยนตกตะลึง หรือว่าท่านประธานจะยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับตระกูลฝู้?
“ในวันงานแต่งงาน คุณนายหายไปครับ ดังนั้นตระกูลจึงต้องหยุดงานแต่งงานไว้”
เดิมทีเขาคิดว่าท่านประธานรู้เรื่องนี้แล้วจึงได้รีบกลับมาจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์
แต่ตัวเขาอยู่ในประเทศ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเกิดเรื่องกับสื้อสื้อ แล้วเขาจะไปลักพาตัวเธอได้ยังไงล่ะ?
เช่นนั้นใครกันเป็นคนลักพาตัวสื้อสื้อไป?
ตอนนี้สื้อสื้อเป็นอันตรายหรือเปล่า?
แม้ว่าจะกระวนกระวายใจเปหมือนเสือติดจั่น แต่จิ้นเฟิงเฉินก็ต้องบังคับตัวเองให้สงบลง
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มีแผนการเบื้องต้น เขาพูด“เรียกป๋ายหลี่กับจื่อเฟิงมา!”
หลังจากนั้นรถก็วิ่งไปที่บริษัท
ป๋ายหลี่กำลังรออยู่ที่หน้าห้องทำงาน ในตอนที่ได้เห็นใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินที่ตื่นตระหนกนั้นก็มีความแปลกๆ ในใจ
เขาโยนเสื้อแจ็คเก็ตลงบนที่นั่ง จิ้นเฟิงเฉินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายกับจื่อเฟิงรีบไปตรวจดูเรื่องวันงานแต่ง กล้องวงจรปิดบริเวณใกล้ๆ โรงแรม พยายามทำทุกวิถีทาง จะต้องหาให้ได้ว่าใครเป็นคนทำ!”
เพราะความขัดแย้งกับจื่อเฟิง ป๋ายหลี่คิดจะปฏิเสธงานนี้ในตอนแรก แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้
หลังจากออกมาแล้ว เขาก็โทรหาจื่อเฟิง
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครรับสายอยู่ตลอด ในใจป๋ายหลี่อดที่จะมีลางสังหรณ์ที่เลวร้ายไม่ได้
ตอนนี้เมื่อเชื่อมโยงเรื่องที่เจียงสื้อสื้อถูกลักพาตัวกับเวลาที่จื่อเฟิงถูกลักพาตัวไปมันดูช่างบังเอิญเสียจริง?
หวังจริงๆ ว่าเธอจะไม่ทำผิดซ้ำผิดซาก
ป๋ายหลี่ถือโทรศัพท์ไว้แน่นและลังเลก่อนที่จะเคาะประตูห้องทำงาน
“คุณชายครับ ผมติดต่อจื่อเฟิงไม่ได้”
ป๋ายหลี่ไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองเดาไว้ออกมา ไม่อย่างนั้นเขากลัวว่าจิ้นเฟิงเฉินจะโกรธจนโยนความโกรธไปที่เธอ
ในตอนนี้ในหัวของจิ้นเฟิงเฉินมีแต่เรื่องที่เจียงสื้อสื้อถูกลักพาตัว ไม่มีเวลาจะไปใส่ใจเรื่องอื่น และไม่ได้สนใจเรื่องที่จื่อเฟิงหายตัวไปนัก
“นายไปตรวจสอบก่อน เรื่องของจื่อเฟิงค่อยคุยกันทีหลัง สรุปแล้ว จะต้องพยายามหาสื้อสื้อให้เจอ และจะให้เธอได้รับอันตรายไม่ได้แม้แต่น้อย!”
ป๋ายหลี่พยักหน้า และมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก “ครับ คุณชาย!”
นี่เป็นเรื่องของชีวิตคนซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยความบ้าคลั่งจื่อเฟิง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง
จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปหลายวินาทีแล้วกดโทรสายภายในและออกคำสั่ง “ตอนนี้ไปบ้านตระกูลฝู้ ไปดูสถานการณ์หน่อย”
“ครับ”
จากนั้นจิ้นเฟิงเฉินหลับตาลงและดึงปกคอเสื้อของเขาออกจากกันอย่างหงุดหงิด
สื้อสื้อ…นี่เธอไปไหนกันแน่?
กู้เนี่ยนต้องทำตามคำสั่งทันที เรื่องเกี่ยวกับสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
รถออกตัวไปอย่างรวดเร็วเพียงครู่เดียวก็ไปถึงบ้านตระกูลฝู้
ทันทีที่เข้าประตูไปก็พบกับฝู้จิงเหวินที่กำลังโทรศัพท์อยู่ เขามีอารมณ์ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทางที่อ่อนโยนและสง่างามดั่งหยกล้ำค่าในเวลาปกติไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงที่โถงทางเดิน ฝู้จิงเหวินหันกลับมามอง
เมื่อปรายตามองเห็นเป็นจิ้นเฟิงเฉิน ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ
เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับจิ้นเฟิงเฉินและถามอย่างระมัดระวัง “คุณมาทำไม? สื้อสื้อล่ะ?”
เมื่อเห็นแววตาที่เป็นคำถามของเขา จิ้นเฟิงเฉินก็พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ก่อนอื่น ผมอยากจะบอกคุณว่าผมไม่ได้ลักพาตัวสื้อสื้อ
ผมรู้ว่าสื้อสื้อเลือกที่จะแต่งงานกับคุณ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจหย่าเพื่อจะถอยออกมา แต่พอผมกลับประเทศสื้อสื้อก็หายไป เรื่องนี้ผมยังไม่คิดบัญชีกับคุณ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ เรื่องสำคัญคือการค้นหาสื้อสื้อให้เจอ ผมถามคุณก่อนสื้อสื้อถูกลักพาตัวเธอไปเจอใคร?”
หลังจากจิ้นเฟิงเฉินพูดสิ่งนี้ฝู้จิงเหวินก็เงียบลงและเกิดความเชื่อในใจไม่น้อย
เมื่อพิจารณาจากสีหน้ากังวล ก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ฝีมือของจิ้นเฟิงเฉินอย่างแน่นอน
หากไม่นับอคติและความแค้นที่ฝู้จิงเหวินมีต่อจิ้นเฟิงเฉิน จิ้นเฟิงเฉินทำอะไรด้วยความตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่เสมอ
คนที่ได้รับการสั่งสอนที่ดีจากครอบครัวจะเคารพความคิดเห็นของคนอื่นและจะมีมารยาทและความเคารพขั้นพื้นฐานที่สุดด้วย
ไม่เหมือนกับคนที่ใช้วิธีการที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้
ฝู้จิงเหวินเงียบไปครู่หนึ่งและพูด “ผมต้องขอโทษกับการกระทำก่อนหน้านี้ของผมด้วย”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งพวกนี้ เขาโบกมือไปมาและพูด “ผมแค่อยากจะรู้ ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับสื้อสื้อ เธอเจอกับใครบ้าง?”
“ไม่มี” ฝู้จิงเหวินตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากได้คำตอบแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็รีบออกจากบ้านตระกูลฝู้ไป
เวลานี้ ในอีกด้าน
ในโรงงานเคมีที่มืดมิดแห่งหนึ่ง เจียงสื้อสื้อนอนอยู่ที่พื้นดูรกร้างเล็กน้อย
เจียงสื้อสื้อได้สติกลับมาช้าๆ เปลือกตาเธอขยับไปมา
แสงส่องผ่านช่องว่างเข้าไปในโรงงานที่ทรุดโทรมและเธอไม่สามารถปรับตัวได้ จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย
สิ่งที่เห็นคือสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมและยุ่งเหยิงมีส่วนประกอบของเครื่องจักร ฝุ่นและขยะอยู่ทุกหนทุกแห่ง
นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างๆ
จื่อเฟิงปรายตามองหน้าที่ซีดขาวของเจียงสื้อสื้อและหัวเราะประชดประชัน
เล่นกับกริชในมือของเธอและพูดจาเหน็บแนม “เป็นไง? คุณหนูเจียง? ตื่นแล้วเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อมีอาการเจ็บไหล่และปวดหัว
เมื่อพยายามปรับอิริยาบถ แต่ก็พบว่าถูกกักขังไม่สามารถขยับได้
“เรื่องมันชัดและง่ายแบบนี้ ยังจะต้องถามอีกเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกแค่เพียงว่าจื่อเฟิงในตอนนี้บ้าคลั่งมาก จึงเตือนเธอ“ทำแบบนี้ผิดกฎหมายนะ เธอก็น่าจะรู้”
พูดแล้วจื่อเฟิงหัวเราะประชดประชัน “แล้วยังไง? ต่อให้ฉันโดนโทษประหารแต่ก่อนหน้านั้นฉันจะต้องทำให้เธอเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ขอเพียงให้เธอแย่ ฉันก็ตื่นเต้นแล้ว”
พูดไปแล้วสายตาของจื่อเฟิงก็เต็มไปด้วยความกระหายเลือด
ดูแล้วป่าเถื่อนสุดๆ
อย่างไรเสียเจียงสื้อสื้อไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมจื่อเฟิงจะต้องลักพาตัวเธอด้วย
เธอพูดความสงสัยในใจออกมาและถาม “คุณคือใครกันแน่? คุณทำแบบนี้ทำไม?”
แต่จื่อเฟิงเหมือนกับจะไม่ได้ยินสิ่งที่เจียงสื้อสื้อพูดเลย เธอหันไปจ้องเจียงสื้อสื้อตาเขม็ง
ในดวงตาของจื่อเฟิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอแทบจะไม่สามารถรอให้เจียงสื้อสื้อหายไปจากโลกนี้ในทันทีได้เลย