บทที่ 702 ยังคงเป็นเพราะว่ามารดาของเขา
ผู้ชายวัยกลางคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น เสื้อผ้าที่อยู่บนกายเต็มเปี่ยมด้วยเลือด เขาสั่นระริกเซไปเซมาพูดว่า “คือบริษัทคารัน……”
ได้ยินเสียง คิ้วของจิ้นเฟิงเฉินขมวดเล็กน้อย สายตาเย็นชาจ้องมองผู้ชายวัยกลางคนที่หมอบอยู่กับพื้นขอร้องยกโทษให้
ในเวลานี้ เมืองเป่ยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
แม่จิ้นถือถ้วยชามลงไปข้างล่าง พ่อจิ้นเห็นเข้าไปรับทันที
เห็นถ้วยชามลักษณะก็ยังเป็นเหมือนเดิม ใบหน้าปรากฏสีหน้าที่กังวลพูดว่า “เสี่ยวเป่ายังคงไม่ยอมกินหรือ?”
“อืม ไม่ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมยังไง เสี่ยวเป่าก็ไม่ยอมเปิดประตูเช่นกัน”
ใบหน้าแม่จิ้นปรากฏหน้าตาโศกเศร้า หลังจากถอนหายใจหนึ่งทีส่งถ้วยชามให้กับคนรับใช้
นั่งอยู่บนโซฟาขยี้ระหว่างคิ้วอยู่ เหมือนดั่งแก่ลงสิบกว่าปี
ตั้งแต่หลังจากรู้ข่าวนั้นแล้ว เสี่ยวเป่าก็กลุ้มมากไม่มีความสุขมาโดยตลอด
เริ่มแรกกินอาหารไม่ลง จิตใจเซื่องซึม ถึงสุดท้ายขังตนเองอยู่ในห้องเสียเลย ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมก็ไม่ยอมออกมาเช่นกัน
พ่อจิ้นแม่จิ้นรักใคร่โปรดปรานเสี่ยวเป่ามาโดยตลอดเหลือเกิน ก็จะแข็งใจเห็นเสี่ยวเป่าทุกข์ลำบากอีกได้ยังไงล่ะ
เปลี่ยนรูปแบบเกลี้ยกล่อมเสี่ยวเป่าทั้งวัน แต่เสี่ยวเป่าไม่ยอมออกมาเหมือนเดิม
ทั้งวันทั้งคืนทั้งสองคนใจร้อนรุ่มเพราะเรื่องนี้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ บรรยากาศในคฤหาสน์ต่ำลงถึงขีดสุด
พ่อจิ้นแม่จิ้นทั้งสองคนมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง โทรหาจิ้นเฟิงเหรากับส้งหวั่นชีงให้มา
หวังว่าพวกเขาทั้งสองจะได้ช่วยออกไอเดียหน่อย
ทันทีที่จิ้นเฟิงเหรากับส้งหวั่นชีงได้ยินว่าเสี่ยวเป่าเกิดเรื่องแล้ว รีบขับรถเข้ามาในทันที
คนทั้งสองเดินขึ้นข้างบนพร้อมกัน หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเสี่ยวเป่า
ส้งหวั่นชีงย่อมรู้ดีว่าเสี่ยวเป่าประสบเจออะไรแล้ว เม้มปากแล้วเม้มปากอีก ปล่อยเสียงให้อ่อนโยนหน่อยเอ่ยปากพูดว่า “เสี่ยวเป่าแกอยู่ข้างในใช่ไหม? ฉันคืออาหญิง เอ่ยปากสักคำได้ไหม?” ผ่านไปนานมากๆในห้องนอนส่งเสียงที่กลุ้มมากออกมาเสียงหนึ่ง
“อืม”
ส้งหวั่นชีงเห็นเสี่ยวเป่าตอบกลับ เหมือนดั่งได้รับกำลังใจ
สบตากันกับจิ้นเฟิงเหราที่อยู่ข้างกายหนึ่งที เอ่ยปากกล่อมต่อพูดว่า “เสี่ยวเป่า วันนี้อาหญิงมาก็คือจะมาช่วยแก อยากจะช่วยแก้ปัญหาให้แก
ถ้าหากว่าแกล็อกตนเองอยู่ในห้องนอนตลอด หากว่าร่างกายเกิดอะไรขึ้นมา แด๊ดดี้หม่ามี๊ ยังมีคุณปู่คุณย่าคนมากมายล้วนจะเสียใจมาก แกว่าถูกหรือไม่?”
“แต่ว่า……แต่ว่าพวกคุณล้วนไม่แคร์ผม ล้วนละทิ้งผมแล้ว……”
เสียงที่สะอึกสะอื้นของเสี่ยวเป่าส่งออกมา ทำให้ใจของส้งหวั่นชีงล้วนแตกสลายแล้วจริงๆ
เธอจับความสำคัญในคำพูดของเสี่ยวเป่าอย่างฉลาดหลักแหลม ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก
“เสี่ยวเป่า แกอย่าคิดเหลวไหล ไม่มีคนจะละทิ้งแกล่ะ แกดูสิแกยังมีคุณปู่คุณย่า อาชายกับอาหญิง พวกเราไม่ใช่อยู่ข้างกายแกมาโดยตลอดหรือ?
ได้ยินคุณปู่คุณย่าว่าช่วงนี้แกล้วนไม่ชอบกินข้าว ถ้าหากเพราะอย่างนี้ร่างกายไม่สบาย งั้นก็ไม่คุ้มแล้วล่ะ เชื่อฟังคำพูดของอาหญิง พวกเรากินข้าวก่อนดีไหม?”
พูดถึงตรงนี้ส้งหวั่นชีงหยุดชะงักหนึ่งที พูดต่ออีกว่า “เพียงแค่รับปากอาหญิง มีข้อเรียกร้องอื่นๆอะไรฉันล้วนสามารถทำให้แกพึงพอใจได้”
เสี่ยวเป่าดูเหมือนใจสั่นไหวแล้ว ลังเลสักพัก เอ่ยปากพูดว่า “จริงๆหรือ……แต่ว่า……”
ส้งหวั่นชีงเห็นเสี่ยวเป่ากำลังพิจารณาอยู่ ในใจมีไหวพริบหนึ่งที เกลี้ยกล่อมยั่วยุต่ออีกพูดว่า “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง แกลองคิดดูสิ แกขังตัวเองไว้ในห้องโดยตลอด อะไรก็ทำไม่ได้ ถึงแม้ว่ามีคนที่อยากจะเจอ ก็เจอหน้ากันไม่ได้ แกเชื่อคำพูดของอาหญิงให้อาหญิงช่วยแกสักหน่อย”
เสี่ยวเป่าพัวพันกันอุตลุดสักพักพูดว่า “ได้ ผมรับปากอาหญิง แต่ว่าอาหญิงก็ผิดคำพูดไม่ได้เช่นกัน”
ได้รับการเห็นด้วยของเสี่ยวเป่า ในที่สุดส้งหวั่นชีงก็โล่งอกหนึ่งที
พ่อจิ้นแม่จิ้นที่อยู่ข้างๆเห็นแบบนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นเยอะมากเช่นกันจิ้นเฟิงเหราเห็นแบบนี้ติดต่อกับเซิ่นมู่ป๋ายในทันที ติดต่อเขามาตระกูลจิ้น
ตอนที่เซิ่นมู่ป๋ายมาถึง ก็ได้เห็นหลายคนที่นั่งอยู่บนโซฟา เหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ
เห็นตัวเขาเองมาถึงเหมือนดั่งเห็นผู้ช่วยให้รอด เข้าไปพูดว่า “ในที่สุดคุณก็มาแล้ว เสี่ยวเป่าอยู่ข้างบน”
“ได้ พวกคุณก็อย่ากลุ้มใจเกินไปเช่นกัน”
ปลอบโยนพ่อจิ้นกับแม่จิ้นสักหน่อยแล้ว เซิ่นมู่ป๋ายก็เลยมาถึงหน้าประตูของเสี่ยวเป่าพร้อมกับส้งหวั่นชีง
เคาะไปหลายเสียง ประตูห้องของเสี่ยวเป่าถูกเปิดออก
เสี่ยวเป่าผอมไปเยอะมาก สีหน้าก็ซีดขาวอย่างมากด้วย เขานั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเป็นเด็กดีก้มหัวเล็กน้อย เห็นแล้วทำให้คนรักเอ็นดูเป็นพิเศษ
เซิ่นมู่ป๋ายส่งสายตาให้กับพ่อจิ้นแม่จิ้นและคนอื่นๆหนึ่งที ให้สัญญาณพวกเขาออกจากที่นี่
ถ้าหากว่าอารมณ์ของเสี่ยวเป่าเกิดปัญหาใหญ่มากแล้ว ตามสภาพการณ์ปกติล้วนถือสาคนเยอะมาก
พ่อจิ้นแม่จิ้นและคนอื่นๆชัดเจนด้วยใจ ลงไปข้างล่างทันที
ในห้องนอน เซิ่นมู่ป๋ายนั่งตรงข้ามกันกับเสี่ยวเป่า
เขาหยิบกระดาษขาวใบใหญ่ๆหลายใบออกจากกระเป๋า และหยิบดินสอออกมาแท่งหนึ่งอีก ส่งให้กับเสี่ยวเป่า อมยิ้มพูดว่า “เสี่ยวเป่า ยังจำลุงมู่ป๋ายได้ไหม?”
เสี่ยวเป่าเม้มปากไม่เอ่ยสักคำ พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
“ดีมาก งั้นเสี่ยวเป่าใช้ภาพวาดใบหนึ่งมาแสดงถึงความคิดในใจสักหน่อยเถอะ” มุมปากของเซิ่นมู่ป๋ายแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มพูด
พูดจบ เสี่ยวเป่าหยิบดินสอขึ้นมาวาดคนแคระคนหนึ่งอยู่บนกระดาษ
รับภาพวาดของเสี่ยวเป่ามา ลักษณะของเซิ่นมู่ป๋ายสีหน้าพอใจ เปลี่ยนกระดาษขาวใหม่เอี่ยมใบหนึ่งให้กับเขา
“เสี่ยวเป่าเก่งมาก ภาพเมื่อกี้ดูดีมาก งั้นเสี่ยวเป่ามีสิ่งของอะไรที่อยากจะครอบครองมากที่สุดไหม? หรือพูดได้ว่า หวังจะทำอะไรมากที่สุดหรือ?”
เสี่ยวเป่าฟังจบนัยน์ตาค่อยๆเกิดความใฝ่หาขึ้นมาเล็กน้อย
เขาหยิบดินสอขึ้นมาวาดผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่งอย่างจริงๆจังๆอยู่บนกระดาษ
คนทั้งสองจับมือกันอย่างแน่น ดูแล้วอบอุ่นหวานชื่นใจเป็นพิเศษ
เซิ่นมู่ป๋ายเพียงแค่มองหนึ่งทีก็เข้าใจความคิดในใจของเสี่ยวเป่าอย่างชัดเจน และเปลี่ยนกระดาษขาวใหม่อีกใบหนึ่ง
ครั้งนี้ไม่ได้ให้เสี่ยวเป่าวาด แต่คือตนเองหยิบดินสอขึ้นมาวาดภาพภาพหนึ่งอยู่บนกระดาษ
ในภาพวาดมีคนแคระคนหนึ่งบริเวณรอบๆเต็มไปด้วยเมฆดำมืดครึ้ม แต่ข้างบนของเขามีดวงอาทิตย์เล็กๆดวงหนึ่ง แสงสว่างเจิดจ้า สาดส่องคนแคระไว้อยู่
“นี่เป็นของขวัญที่ลุงให้กับแก”
เสี่ยวเป่านิ่งอึ้งไปรับภาพวาดมา จ้องมองสักพักเอ่ยปากพูดว่า “ขอบคุณลุงมู่ป๋าย”
สนทนากันกับเสี่ยวเป่าอีกสักพัก เซิ่นมู่ป๋ายออกจากห้องนอน
เพิ่งถึงข้างล่าง พ่อจิ้นแม่จิ้นก็รอไม่ไหวถามว่า “คุณเซิ่น มีผลลัพธ์อะไรหรือ”
เซิ่นมู่ป๋ายได้ยินคำพูดทอดถอนใจหนึ่งที เอ่ยปากพูดว่า “สาเหตุของอาการเสี่ยวเป่ายังคงเนื่องเพราะมารดาของเขา”
คำพูดนี้พูดออกมา บรรยากาศตกเข้าสู่ความเงียบ
จ้องมองใบหน้าหลายคนที่หน้าตาโศกเศร้า เซิ่นมู่ป๋ายพูดต่ออีกว่า “อาการของเสี่ยวเป่าในตอนนี้ยังไม่ได้บรรลุถึงสภาพที่ร้ายแรงที่สุดเพียงแค่ในเวลานี้ยังไม่สามารถยอมรับข่าวนั้น
ในเมื่อมารดาของเขาตอนนี้ไม่สามารถอยู่ข้างกายได้ พวกคุณก็พูดคุยกับเด็กมากหน่อย อย่าให้เขามักจะขังตัวเองในห้องคนเดียว ผมกลับไปประมวลผลให้กับเสี่ยวเป่าใหม่อีกครั้ง พวกคุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปก่อน”
จากนั้นเซิ่นมู่ป๋ายกำชับเรื่องบางอย่างอีก หลังจากขอบคุณเซิ่นมู่ป๋ายหลายคนก็เลยไปส่งออกไปแล้ว
แม่จิ้นกลับตกอยู่ในความกลัดกลุ้มอีก แม้ว่าทำความเข้าใจสาเหตุที่เสี่ยวเป่าเสียใจแล้ว แต่จะจัดการเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ?
จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อตอนนี้ยังไม่ได้หย่ากัน แต่เรื่องนี้ที่กำหนดไว้ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ไม่มีช่องทางที่ยังเหลือให้เอากลับคืนมา
“ไฮ่ว……นี่ต้องทำยังไงดีจึงจะได้ล่ะ” แม่จิ้นพูดอย่างหน้าตาโศกเศร้าเต็มใบหน้า
จิ้นเฟิงเหราที่เงียบอยู่ข้างๆในเวลานี้อยู่ดีๆเอ่ยปากว่า “ผมไปหาพี่ชายพูดคุยเรื่องนี้สักหน่อย เสี่ยวเป่าเป็นลูกชายของเขา เขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้”